รถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield
ประวัติและวิวัฒนาการของแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield
มอเตอร์ไซค์ Royal Enfield (รอยัล เอ็นฟีลด์) ตำนานแห่งบิ๊กไบค์สไตล์ผู้ดีอังกฤษ ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิก มากด้วยประสบการณ์อันล้ำค่า เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แห่งการสร้างวัฒนธรรมการขับขี่มาเป็นเวลากว่า 120 ปี ยิ่งได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ Royal Enfield มากเท่าไหร่ ยิ่งรักและหลงใหลในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield มากเท่านั้น
มอเตอร์ไซค์ Royal Enfield เริ่มต้นจากการก่อตั้งบริษัทชื่อ Townsend Cycle Company โดย R.W. Smith และ Albert Eadie ในปี ค.ศ. 1891 โดยผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ให้โรงงานชื่อ Royal Enfield Small Arms Factory ณ เมืองเรดดิทช์ (Redditch) แห่งสหราชอาณาจักร ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Enfield Manufacturing Company Limited หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา (ค.ศ. 1893) ได้กำเนิดปรัชญาทางการค้า “Made Like a Gun, Goes Like a Bullet” จึงเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Royal Enfield โดยมีที่มาจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของโรงงานผลิตอาวุธปืนนั่นเอง
Royal Enfield ถูกใช้เป็นชื่อยานพาหนะรถสี่ล้อ Quadricycle คันแรกในปี ค.ศ. 1894 โดยติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นต้นแบบ De Dion-Bouton จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1900 เมื่อ Quadricycle ได้โชว์ศักยภาพในวงการมอร์เตอร์สปอร์ตครั้งแรกในการแข่งขันระยะทาง 1,000 ไมล์ ทำให้รถ Royal Enfield เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และยังเป็นจุดเริ่มต้นในก้าวสำคัญของการผจญภัยครั้งใหม่อีกด้วย
การผจญภัยของ Royal Enfield
1901 : แจ้งเกิดมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield คันแรกของโลก
เมื่อ Bob Walker Smith และ Jules Gobiet ได้คิดค้นมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield คันแรก โดยมีเครื่องยนต์ติดตั้งอยู่บนล้อหน้า ขนาด 150 ซีซี กำลัง 1.5 แรงม้า เปิดตัวครั้งแรกในงาน Stanley Cycle ณ กรุงลอนดอน ถือเป็นจุดกำเนิดแห่งการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของ Royal Enfield อย่างแท้จริง
1914 : สงครามโลกครั้งที่ 1 และบทบาทสำคัญของ Royal Enfield
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 Royal Enfield เข้ามามีบทบาทสำคัญในกองทัพ โดยมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ได้ถูกจัดส่งให้กองทัพอังกฤษและรัสเซีย เน้นการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่นใหญ่ เครื่องยนต์สองสูบ รูปตัว V ขนาด 770 ซีซี มีพละกำลัง 6 แรงม้า และยังคงพัฒนาการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ออกมาอย่างต่อเนื่อง
1924 : Royal Enfield ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
เป็นปีแห่งการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield หลากหลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่น Sports Model 351 ซึ่งเป็นรถ Royal Enfield รุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังเครื่องยนต์ JAP ขนาด 350 ซีซี 4 จังหวะ ด้วยดีไซน์ล้ำสมัยที่ใช้วิธีการเปลี่ยนเกียร์ด้วยเท้าคันแรก และตามมาด้วยรุ่น Ladies Model ขนาดเครื่องยนต์ 225 ซีซี 2 จังหวะ เป็นมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ สไตล์วินเทจ มีน้ำหนักเบา ติดตั้งไฟและแตรเพิ่มด้านหน้าของตัวรถ
Royal Enfield ไม่เคยหยุดคิดค้นและพัฒนามอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ และยังคงต่อเนื่องความสำเร็จมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1930 รอยัล เอ็นฟีลด์ได้เผยโฉมมอเตอร์ไซค์รวมแล้วทั้งสิ้นถึง 11 รุ่นด้วยกัน
1931 : Royal Enfield ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
เป็นช่วงที่ Royal Enfield ได้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ให้กับกองทัพทหารเพื่อใช้ในสงครามอย่างเต็มรูปแบบ มีขนาดของเครื่องยนต์หลากหลายด้วยกัน เช่น เครื่องยนต์แบบวาล์วบนฝาสูบ (Overhead-Valve) เครื่องยนต์แบบวาล์วข้างลูกสูบ (Side-Valve) มีขนาด 350 ซีซี และ 500 ซีซี
1932 : “Bullet” หัวใจแห่งตำนานของ Royal Enfield
มอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่น Bullet คือที่สุดแห่งยานยนต์ของ Royal Enfield สร้างตำนานและเปิดประสบการณ์แห่งการขับขี่และยังคงโลดแล่นบนท้องถนนจนถึงปัจจุบัน นับเป็นประวัติศาสตร์แห่งการผลิตมอเตอร์ไซค์อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดของโลก
Royal Enfield เปิดตัว Bullet ครั้งแรก มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 ขนาด 250 ซีซี, 350 ซีซี และ 500 ซีซี ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบสูบคู่ ติดกันเอียงไปด้านหน้า (In line) ออกแบบวิธีการเปลี่ยนเกียร์ด้วยเท้า ใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดสูง และได้ทำการจัดแสดง Bullet ครั้งแรกในงาน Earls Court Motorcycle Show ณ กรุงลอนดอน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1932
1939-1945 : มอเตอร์ไซค์โดดร่มคันแรกของ Royal Enfield
ปรากฎการณ์ครั้งสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Royal Enfield คิดค้นมอเตอร์ไซค์โดดร่มคันแรกของโลกได้สำเร็จ ชื่อรุ่น Airborne หรือเป็นที่จดจำกันในชื่อว่า Flying Fea ใช้วิธีการขนส่งทางเครื่องบิน ออกแบบให้ทิ้งร่มชูชีพกลางอากาศติดกับโครงเหล็กเพื่อปล่อยลงสู่ภาคพื้นดิน เพื่อส่งรถไปหลังแนวรบข้าศึก ด้วยดีไซน์เครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 125 ซีซี สองสูบ และยังเป็นแรงบันดาลใจในการผลิตรถรุ่น Royal Enfield Classic 500 Pegasus ในปี ค.ศ. 2018 อีกด้วย
1948 : G2 Bullet จุดตำนาน Royal Enfield Classic 350
กำเนิดรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่น G2 Bullet 350 ซีซี มรดกต้นแบบมอเตอร์ไซค์อันล้ำค่าสู่รุ่น Royal Enfield Classic 350 ในปัจจุบัน
G2 Bullet 350 ซีซี ออกแบบมาพร้อมระบบกันสะเทือนช่วงล่างด้านหลังแบบ Radical Swinging ต่อมาได้เข้าร่วมการแข่งขัน ISDT (International Six Day Trial) ที่อิตาลี จนได้รับชัยชนะคว้าเหรียญทองแห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ G2 Bullet เป็นที่รู้จักและยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
1949 : บทบาทใหม่ของ Royal Enfield สู่ประเทศอินเดีย
ปีแห่งการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่น Bullet 350 ซีซีใหม่ และ 500 ซีซี ในสหราชอาณาจักร และเป็นปีแห่งก้าวสำคัญของ Royal Enfield กับการจับมือร่วมกับ K.R. Sundaram Iyer บริษัท Madras Motors ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทยานยนต์ชั้นนำของโลกในขณะนั้น เพื่อนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษสู่อินเดียเป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นบริษัท Madras Motors 1 ได้กลายเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ทั้งหมดของรถ Royal Enfield ก่อนประกอบชิ้นส่วนสมบูรณ์เพื่อส่งออกสู่โลกแห่งการขับขี่
1955 - 1956 : โรงงาน Royal Enfield ที่ประเทศอินเดีย
Royal Enfield เซ็นสัญญาเป็นหุ้นส่วนร่วมกับ Madras Motors ร่วมกันก่อตั้ง Enfield India สร้างโรงงานขึ้นที่เมือง Tiruvottiyur ประเทศอินเดีย และในปี ค.ศ. 1956 ได้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield รุ่น Bullet จำนวน 163 คัน และนี่คือรถมอเตอร์ไซค์เชื้อชาติอังกฤษสัญชาติอินเดียรุ่นแรกของ Royal Enfield โดยผลิตและนำเข้าเครื่องยนต์จากประเทศอังกฤษ มาประกอบชิ้นส่วนที่ประเทศอินเดีย
2008 : เปิดตัว Royal Enfield Classic 350
การออกแบบเรียบง่ายสุดคลาสสิคของ Royal Enfield Classic 350 คงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมเหนือกาลเวลาของต้นแบบรุ่น G2 ในช่วงสงคราม ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีระบบกันสะเทือนหลังแบบสวิงอาร์ม
Royal Enfield Classic 350 ออกแบบโครงสร้างตัวรถใหม่ทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวและสะดวกสบายทุกการขับขี่ ดีไซน์ตัวถังน้ำมันทรงหยดน้ำ ไฟหน้าทรงหมวก และไฟหรี่รูปแบบใหม่ แผงหน้าปัดแบบ Digi-analog มาพร้อมจอแสดงผล LCD และ จุดชาร์จ USB ไฮไลท์สำคัญของ Royal Enfield Classic 350 รุ่นนี้ คือ การบอกลาอาการตัวสั่นมือชาระหว่างขับขี่ ด้วยการพัฒนาระบบการสั่นสะเทือนด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อตอบสนองประสบการณ์การขับดีให้ดียิ่งขึ้น จากการพัฒนา Royal Enfield Classic 350 ในครั้งนี้ทำให้ Royal Enfield ได้ก้าวขึ้นสู่ผู้นำแห่งวงการบิ๊กไบค์อย่างแท้จริง
Royal Enfield Classic 350 มีด้วยกัน 4 รุ่น 9 โทนสี ได้แก่ รุ่น Classic Chrome, รุ่น Classic Signals, รุ่น Dark series และ รุ่น Halcyon series ราคาเริ่มต้นที่ 139,900 บาท
2017 : Royal Enfield Interceptor 650 ย้อนรอยปี 1960
เปิดตัวพลังขับเคลื่อนรุ่นใหม่ Royal Enfield Interceptor 650 ซึ่งใช้ระยะเวลาการพัฒนามากว่า 4 ปี โดยมีตัวต้นแบบจากปี ค.ศ. 1960 แรงบันดาลใจจากยุคสมัยนิยมขับรถเลียบชายฝั่งแคลิฟอเนียร์ ต่อยอดดีไซน์ความคลาสสิค ผสานความทันสมัยของเครื่องยนต์สองสูบ 648 ซีซี เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้สนุกและเร้าใจ แต่ยังคงไว้ซึ่งสเน่ห์ของโรดสเตอร์ เปิดตัวราคาในไทยอยู่ที่ 213,000 บาท
2018 : Royal Enfield Classic 500 Pegasus
Royal Enfield Classic 500 Pegasus ได้แรงบรรดาลใจจากเรื่องจริงสมัยสงครามของจักรยานยนต์รุ่น Flying Fea มอเตอร์ไซค์น้ำหนักเบาคันแรก ขนส่งผ่านร่มชูชีพทางอากาศของกองทัพอังกฤษ
Royal Enfield Classic 500 Pegasus มีเพียงแค่ 2 สีเท่านั้น คือสีน้ำตาล และ สีเขียว เพื่อระลึกถึงสีเดิมของรถในสมัยสงคราม ผลิตเพียง 1,000 คันทั่วโลก และจำหน่ายในไทยเพียง 90 คันเท่านั้น และทุกคันของ Royal Enfield Classic 500 Pegasus จะมีเลขซีเรียลนัมเบอร์ระบุเลขรถแต่ละคันบริเวณถังน้ำมันไว้ด้วย
Royal Enfield Classic 500 Pegasus สไตล์วินเทจ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1 สูบ 499 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ เปิดตัวราคาประมาณ 220,000 บาท
ปัจจุบันคาดว่า Royal Enfield Classic 500 Pegasus ราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเป็นรุ่น Limited ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัดในช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 เท่านั้น
2019 : Royal Enfield Thailand
ครั้งแรกกับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย กับการจัดตั้งบริษัท Royal Enfield Thailand อย่างเป็นทางการ และเป็นการเปิดโรงงานฐานการผลิตนอกประเทศอินเดียครั้งแรก โดยจัดตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา
สิทธัตถะ ลาล CEO ของบริษัท Royal Enfield เผยว่า จากการจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ผ่านตัวแทนในประเทศไทยช่วง 3 ปีก่อนหน้า ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศที่มียอดขายสูงสุด สร้างผลตอบรับที่ดีเกินคาด และยังคงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2021 : Royal Enfield ฉลองครบรอบ 120 ปี
รอยัล เอ็นฟีลด์เปิดตัวรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นพิเศษ ฉลองครอบรอบ 120 ปีแห่งจิตวิญญาณการขับขี่ ประกอบไปด้วย Royal Enfield Interceptor 650 จำนวนเพียง 60 คัน และ Royal Enfield Continental GT 650 จำนวนเพียง 60 คันเช่นกัน โดยประเทศไทยได้โควต้าเฉพาะรุ่น Royal Enfield Interceptor 650 จำนวนจำกัดเพียง 10 คันเท่านั้น
Royal Enfield Interceptor 650 รุ่นครบรอบ 120 ปี
การออกแบบดีไซน์ของรถจักรยานยนต์รุ่น Royal Enfield Interceptor 650 คือผลงานการร่วมมือกันระหว่าง 2 สัญชาติ อังกฤษ และ อินเดีย สะท้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์อันล้ำค่าตั้งแต่ก่อร่างสร้างแบรนด์ในปี ค.ศ. 1901
Royal Enfield Interceptor 650 ถูกออกแบบด้วยดีไซน์พิเศษโทนสีดำทั้งหมด ทั้งเครื่องยนต์ ท่อไอเสีย หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น กระจกปลายแฮนด์, กระจกมองหลัง, กระจกบังลม, อุปกรณ์ป้องกันส้นเท้า, ชุดป้องกันเครื่องยนต์ เป็นต้น ออกแบบตัวถังน้ำมันสีดำโครเมียมรูปแบบใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีการชุบโครเมียมจากโรงงานดั้งเดิมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 ตกแต่งลวดลายการวาดด้วยมือบนถังน้ำมัน มีซีเรียลนัมเบอร์ระบุเลขรถแต่ละคัน ตั้งแต่ 01 ไปจนถึง 60 และยังมีโลโก้ Royal Enfield ทองเหลืองอร่ามข้างถังน้ำมัน ผลิตด้วยมืออย่างพิถีพิถันร่วมกับ Sirpi Senthil ช่างฝีมือจากอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญการสร้างหุ่นจำลองทองเหลืองให้กับศาสนสถานต่างๆ และบนตัวรถยังมีลวดลาย Decal เป็นงาน Handmade เพื่อระลึกถึงตำนานของรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield เปิดตัวราคา Royal Enfield Interceptor 650 ในประเทศไทยอยู่ที่ราคา 290,000 บาท เพียง 10 คันเท่านั้น
หากใครได้ครอบครอง Royal Enfield คุณไม่ได้แค่ซื้อรถบิ๊กไบค์มาขับ แต่คือการ ซื้อตำนานที่ยังมีลมหายใจ ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สมรรถนะเหนือระดับ แข็งแรง ขับขี่คล่องตัว การซ่อมบำรุงง่าย และมีศูนย์บริการคอยให้คำปรึกษา เพิ่มความมั่นใจอีกระดับด้วยประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 1 คอยคุ้มครองตัวคุณ และ มอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ให้โลดแล่นอยู่บนถนนได้อย่างสวยงาม ขับขี่ปลอดภัยอย่างมั่นใจไปกับ แรบบิท แคร์ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ เช็คราคาง่าย การันตีราคาคุ้มค่า ศูนย์ซ่อมครอบคลุมทั่วไทย ที่เราใช้ใจแคร์ ดูแลครบในที่เดียว
ราคาของรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield
รุ่นรถ | ราคา |
Super Meteor 650 | ราคาเริ่มต้น 269,000 |
Scram 411 | ราคาเริ่มต้น 175,900 |
Hunter 350 | ราคาเริ่มต้น 133,900 |
Classic 350 | ราคาเริ่มต้น 159,500 |
Meteor | ราคาเริ่มต้น 159,900 |
Interceptor | ราคาเริ่มต้น 237,800 |
Continental GT | ราคาเริ่มต้น 246,700 |
Himalayan | 189,700 |
ความคุ้มครองและผลประโยชน์
ตารางความคุ้มครอง | ผลประโยชน์ | ||||
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 1 | ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 2+ | ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 2 | ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 3+ | ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 3 | |
คู่กรณี | |||||
บุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
ทรัพย์สินของคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
รถของผู้เอาประกันภัย | |||||
การชนแบบมีคู่กรณี | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
การชนแบบไม่มีคู่กรณี | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ | ❌ |
ไฟไหม้ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
รถหาย | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ |
ภัยธรรมชาติ | ✔️ | ✔️ | ❌ | ✔️ | ❌ |
ช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง | ✔️ | ✔️ | ❌ | ❌ | ❌ |
ความคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนบุคคล | |||||
อุบัติเหตุส่วนบุคคล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การรักษาพยาบาล | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |
การประกันตัวผู้ขับขี่ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ | ✔️ |