Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

user profile image
เขียนโดยTawan A.วันที่เผยแพร่: Mar 20, 2023

อยากดูแลสีรถ เคลือบเงารถยนต์ เคลือบสีรถ หรือ เคลือบแก้ว แบบไหนดี แบบไหนเหมาะ?

การทำความสะอาดรถยนต์เป็นสิ่งที่ต้องทำกันเป็นประจำกันอยู่แล้วสำหรับคนรักรถ เพราะคงไม่มีใครที่ชื่นชอบที่ต้องเห็นรถคันโปรดของตัวเอง เต็มไปด้วยคราบฝุ่น สิ่งสกปรกติดอยู่ที่บอดี้รถยนต์เป็นแน่ แต่การไปล้างรถแต่ละครั้ง ก็มักจะได้รับข้อเสนอจากคาร์แคร์กันอยู่เสมอใช่หรือไม่ว่า เคลือบสีรถด้วยหรือไม่ หรือเคลือบแก้วรถด้วยรึเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าในมุมของคนที่ไม่รู้ว่าแบบไหนดีกว่า หรือเหมาะกว่าย่อมตัดสินใจไม่ได้แน่นอน

วันนี้เราก็เลยมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการเคลือบเงารถยนต์ เคลือบสีและเคลือบแก้วมาฝากกัน รับรองว่าอ่านจบได้รู้คำตอบแน่นอนว่าการเคลือบสีรถ คืออะไร และเคลือบสีรถแล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหน

เคลือบสีรถ คืออะไร?

การเคลือบสีรถ คือ การขัดแว็กซ์หรือการใช้น้ำยาชนิดพิเศษในการเคลือบสีของตัวรถ เพื่อที่จะสร้างความเงา แวววาว ให้กับรถยนต์ รวมทั้งยังคงความสวยของสีตัวรถให้ดูเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนชื่นชอบการเคลือบสีรถก็คือ ช่วยป้องกันผิวของรถไม่ให้เกิดสิ่งสกปรกเกาะติดง่าย รวมทั้งยังเป็นการลบรอยเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวรถให้จางลงได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เคลือบสีกับเคลือบแก้วคล้ายกันนั้นก็คือ การป้องกันน้ำเกาะผิวรถจนเกิดคราบนั่นเอง

จำเป็นต้องเคลือบสีรถหรือไม่?

เมื่อมีการนำรถเข้าไปใช้บริการในคาร์แคร์มักจะมีคำแนะนำของผู้ให้บริการว่าอยากให้ลอง เคลือบสีที่รถยนต์ของคุณดูด้วยแพ็กเกจ และโปรโมชั่นต่างๆ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าการเคลือบสีรถยนต์นั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในระดับความจำเป็นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในทุกครั้ง เพราะการเคลือบสี สิ่งที่เจ้าของรถจะได้รับก็คือความสวยงาม สะอาดเหมือนใหม่ของตัวรถ ซึ่งหลายคนอาจเกิดคำถามที่ว่า เคลือบสีรถแล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ด้วย เพราะหากจอดรถยนต์กลางแดด หรือขับฝ่าช่วงฝนตก พายุกระหน่ำเป็นประจำหลังเคลือบสี โอกาสที่น้ำยาเคลือบจะหลุดออกไปก็มีมากขึ้นด้วย

ข้อดีของการเคลือบสีรถ

ก่อนที่จะตัดสินใจเคลือบสีให้กับตัวรถ ลองมาดูข้อดีของการเคลือบสีรถกันก่อน ว่าข้อดีของการเคลือบสีรถคืออะไรบ้าง และคุ้มค่าต่อการที่ต้องเสียเงินหรือไม่

1. ช่วยให้รถสะอาดเหมือนใหม่ แน่นอนว่าการวัตถุประสงค์ของการล้างรถก็เพื่อให้เกิดความสะอาด ดูเหมือนใหม่ ซึ่งการเคลือบสีที่ตัวรถเพิ่มเติมไปด้วยก็จะยิ่งช่วยให้ดูสะอาด สวยงามเหมือนใหม่มากขึ้นกว่าการล้างรถแบบปกติ

2. ช่วยปกป้องสีจากแสง UV หลังจากทำการเคลือบด้วยน้ำยาแล้วสิ่งที่เป็นข้อดีที่น่าสนใจมากๆ ของการ เคลือบสีรถ คือน้ำยาที่เคลือบผิวรถจะช่วยให้สีรถยังคงดูสว่างสดใสอยู่เหมือนเคย แม้ว่าจะต้องผ่านการขับหรือการจอดในที่โล่งที่ต้องรับแสง UV จากแดดอยู่เสมอ ช่วยยืดอายุของสีรถให้ยาวนานขึ้น

3. ช่วยป้องกันคราบสกปรก อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าการเคลือบสีรถนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ด้วย แต่ที่แน่ๆ การเคลือบสีจะช่วยป้องกันคราบสกปรกจากการใช้งานได้ดีมากในช่วงแรก ทั้งนี้หากต้องการให้น้ำยาเคลือบอยู่ได้นานขึ้นก็ต้องระมัดระวังการใช้งานให้เหมาะสมด้วย

4. ช่วยป้องกันคราบน้ำ เรียกว่าเป็นข้อดีของการเคลือบสีรถคนไทยชอบมากๆ สำหรับข้อนี้ เพราะน้ำยาเคลือบสีจะช่วยให้ผิวรถมีเกราะป้องกันการยึดเกาะของน้ำ คราวนี้ไม่ว่าฤดูฝนจะยาวนานแค่ไหน ก็สบายใจได้ว่ารถจะไม่เลอะคราบน้ำง่ายๆ แน่นอน

5. ช่วยให้การดูแลรถง่ายขึ้น หลังจากที่ทำการเคลือบที่ตัวรถแล้ว น้ำยาที่เคลือบสีรถจะช่วยให้การดูแลรักษารถยนต์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นอีกเยอะ เพราะเจ้าของรถจะสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องล้างหรือเช็ดทำความสะอาดเลย เพราะคราบสกปรกที่เจอในแต่ละวันอาจจะทำให้เกิดการสะสมจนกลายเป็นคราบใหญ่ขึ้นได้ เพราะฉะนั้นแล้วหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอด้วยการเช็ดรถ ก็จะช่วยให้คราบสกปรกไม่เกิดการสะสมได้ดีขึ้น

การเคลือบเงารถยนต์สำคัญอย่างไร?

เคลือบเงารถยนต์ คือ การขัดแว็กซ์หรือเคลือบด้วยน้ำยาสำหรับเคลือบเงารถโดยเฉพาะ เพื่อช่วยป้องกันผิวรถไม่ให้มีสิ่งสกปรกฝังลึก ปกปิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ทำให้รถดูใหม่ขึ้นเมื่อใช้คู่กับน้ำยาลบรอยขีดข่วน แล้วยังทำให้รถมีความเงางามรักษาสภาพสีรถให้สดใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ เป็นความสุขทางใจของคนรักรถอย่างหนึ่ง รวมถึงดูแลรักษารถได้ง่ายขึ้นและประหยัดค่าซ่อมบำรุง เพราะนอกจากจะป้องกันรอยขูดขีดต่างๆ แล้วยังปกป้องพื้นผิวรถไม่ให้ถูกกัดกร่อนจากคราบฝนกรด ที่ตกผ่านสิ่งสกปรกมากมายที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ ช่วยยืดอายุสีรถไม่ให้สีรถซีดหมองก่อนเวลา ซึ่งการเคลือบเงารถก็สามารถทำได้หลายแบบ ดังนี้

  1. เคลือบเงาแว็กซ์ เป็นการเคลือบเงาที่คนคุ้นเคยมากที่สุดเพราะราคาถูกที่สุด และร้านล้างรถยนต์คาร์แคร์ทั่วไปจะมีบริการนี้หรือจะทำเองก็ได้ แต่อายุการเคลือบเงารถอยู่ได้เพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ วิธีเคลือบคือ ใช้ครีมขัดสีรถพร้อมการเคลือบเงารถไปด้วย
  2. เคลือบเงาน้ำ หรือ โพลิเมอร์ซีลแลนท์ เป็นการเคลือบฟิล์มกันรอยรถยนต์บาง ๆ ทั่วทั้งคัน โดยการเคลือบนี้จะสามารถทนความร้อนและอุณหภูมิได้สูงถึง 140 องศา โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ได้นานถึง 4-8 สัปดาห์ ทำเพื่อรักษาสีของรถยนต์ให้สวยสดใสเป็นหลัก จึงเหมาะสำหรับรถที่ต้องใช้งานบ่อย ๆ และไม่ได้เน้นให้เกิดความเงางามมาก
  3. เคลือบเงาซิลิโคน คือ การเคลือบรถด้วยซิลิโคนที่มีลักษณะเป็นยางใสครอบไปทั้งตัวรถเพื่อปกป้องไม่ให้สีรถจางจากรังสียูวี และป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ได้ แถมยังมีความเงางามเหมือนกับการเคลือบแว็กซ์ แต่การเคลือบชนิดนี้ป้องกันรอยขีดข่วนไม่ดีเท่าแบบอื่น ๆ และมีราคาค่อนข้างสูง ในขณะที่ข้อดีคือ ติดทนนานมีอายุการใช้งานที่อยู่ได้ยาวนานเป็นปี
  4. เคลือบแก้ว เป็นการเคลือบรถยนต์โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนประกอบหลักของ ซิลิกา หรือ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ลงบนผิวชั้นแลคเกอร์ของรถในระดับ 3-5 ไมครอน และความแข็งระดับ 7-9 H (H มาจาก Hardness Scale ใช้วัดความแข็ง) ปัจจุบันถือเป็นเทคโนโลยีการเคลือบรถยนต์ที่ดีที่สุดแต่ก็แพงที่สุดด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับการเคลือบเงารถแบบอื่น ๆ ดังนั้นรถคนนำมาที่เคลือบแก้วมักจะเป็นกลุ่มรถหรูราคาแพงเป็นส่วนใหญ่ คุณสมบัติของการเคลือบแก้วจะช่วยป้องกันได้ทั้งคราบน้ำ และคราบสิ่งสกปรกไม่ให้มีการฝังแน่นบนผิวรถ สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน และสีซีดจากแสงแดดได้ดีเยี่ยม รวมทั้งมีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 3-5 ปี
  5. เคลือบเซรามิก เป็นการเคลือบรถยนต์แบบเดียวกับการเคลือบแก้วทุกประการ เพียงแต่ใช้น้ำยาต่างชนิดกัน โดยการเคลือบเซรามิกจะใช้สาร Silicon carbide (SiC) หรือซิลิคอนคาร์ไบด์ เพิ่มความเงาให้กับสีรถและมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นจากการเคลือบแก้วในเรื่องความแข็งแรงและยืดหยุ่นด้วย ระยะเวลาของการเคลือบเซรามิกทำครั้งเดียวอยู่ได้ถึง 1-2 ปี หรือบางคันอยู่ได้ถึง 5 ปี

เราเคลือบเงารถยนต์ด้วยตัวเองได้หรือไม่?

ปัจจุบันเจ้าของรถก็สามารถเคลือบเงารถเองที่บ้านได้แบบไม่ต้องง้อคาร์แคร์ โดยก่อนจะลงมือเคลือบรถต้องล้างรถให้สะอาดและเช็ดให้แห้งสนิทดีเสียก่อน และถ้าหากรถไม่มีรอยลึกหรือคราบฝังแน่น ก็สามารถเคลือบได้เรื่อย ๆ ตามประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เคลือบ แต่ถ้าเป็นการเคลือบแก้วรถยนต์ ก็ควรทำการเคลือบใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษารถยนต์ในส่วนของพื้นผิวรถให้ดูดีอยู่เสมอ ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเคลือบเงารถ ยี่ห้อไหนดี ถัดจากนี้ก็จะมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์เคลือบเงารถยนต์ที่นิยมเป็นอันดับต้น ๆ มาแบ่งปันกันเล็กน้อย โดยอย่าลืมพิจารณาจากประเภทของน้ำยาเคลือบเงารถ, สภาพผิวของรถ, และปัญหาของรถ ประกอบไปด้วย

  • น้ำยาเคลือบเงาน้ำยี่ห้อ Meguiar’s ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาแบบน้ำ สูตรโพลิเมอร์สังเคราะห์ น้ำยาสามารถใช้มือและเครื่องลงได้ โดยจะแถมมากับมาพร้อมผ้าไมโครไฟเบอร์ และฟองน้ำขัดสีไว้สำหรับการลงน้ำยา
  • แว็กซ์เคลือบเงารถยี่ห้อ 3M เป็นรูปแบบสเปรย์ มีส่วนผสมสำคัญคือ แว็กซ์ซินเตติก ซึ่งเป็นโพลีเมอร์แวกซ์หรือแวกซ์สังเคราะห์ ช่วยป้องสีรถจากความชื้นและความร้อน ให้ความเงางามและช่วยยืดอายุความเงางามของสีรถให้นานขึ้น ใช้งานด้วยการฉีดแล้วเช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์
  • แว็กซ์เคลือบเงารถยี่ห้อ TurtleWax เป็นแว็กซ์เคลือบเงารถยนต์รูปแบบขี้ผึ้ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะใช้งานง่าย มีสารโพลีไดเมธทิลซิลิโคนช่วยให้ความเงาและให้ความทนทานต่อการชะล้างของแชมพูเมื่อล้างรถ สามารถใช้กับเครื่องขัดสีหรือ ใช้ผ้าแห้ง ขัดเช็ดผลิตภัณฑ์กับพื้นผิวที่ต้องการ เช็ดจนแห้ง
  • น้ำยาเคลือบแก้วยี่ห้อ Bullsone Crystal Coat รูปแบบสเปรย์นำเข้าจากประเทศเกาหลีจึงอาจจะหาซื้อยาก ใช้ได้กับแทบจะทุกส่วนของรถยนต์ ใช้งานง่าย เพียงฉีดน้ำยาเคลือบเงารถตัวนี้แล้วเช็ดออก
  • สเปรย์น้ำยาเคลือบเซรามิก ROCKZ X CERAMIC ผ่านมาตรฐาน VOC ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารเคมีอันตราย มีกลิ่นหอม เช็ดได้ทั้งภายนอก และภายใน เพราะน้ำยาใช้ฉีดดูแลรักษาได้ทุกส่วนของรถยนต์

ขั้นตอนการเคลือบเงารถด้วยตัวเอง

  • ล้างรถโดยการฉีดน้ำเอาฝุ่นและคราบสกปรกออกไปและใช้ฟองน้ำถู
  • เช็ดรถด้วยผ้าชามัวร์ให้แห้งสนิทก่อนใช้น้ำยาเคลือบทุกชนิด
  • เทลงน้ำยาบนใช้ฟองน้ำสำหรับเคลือบเงารถโดยเฉพาะ
  • ลงน้ำยาเคลือบเงารถทีละส่วนจนครบทั่วทั้งคัน
  • ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีหรือตามแต่ละผลิตภัณฑ์
  • ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดออก

เคลือบเงารถยนต์ราคาเท่าไรถ้าทำที่ร้าน?

สำหรับคนที่ไม่อยากลงมือทำเอง สามารถนำรถยนต์ไปยังคาร์แคร์หรือศูนย์ให้บริการเคลือบเงาแว็กซ์จะมีค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เคลือบเงารถราคาประมาณ 300-1,500 บาท ส่วนเคลือบเงาแก้วมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ หลายราคา ส่วนใหญ่จะจัดโปรโมชันไว้เป็นแพ็กเกจ เช่น เคลือบแก้ว 2 ปี ราคาประมาณ 15,000 บาท 3 ปี ราคาประมาณ 30,000 5 ปี ราคา 40,000 บาท เป็นต้น ผู้ที่จะใช้บริการควรศึกษาก่อนว่าศูนย์บริการนั้นใช้วิธีเคลือบแก้วแบบไหน โดยปัจจุบันนิยมทำอยู่ 2 รูปแบบคือ ระบบทาด้วยมือ ที่จะทำให้สามารถลงน้ำยาเคลือบแก้วได้หนาเต็มที่ แต่อาจทาได้ไม่ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม ส่วนอีกแบบหนึ่งจะเป็นแบบระบบพ่นที่น้ำยาเข้าไปถึงได้ทุกซอกทุกมุม แต่จะสิ้นเปลืองน้ำยามากกว่า และต้องมีค่าบริการอุปกรณ์พ่นเพิ่มเติม

วิธีการดูแลสีรถและเงาเคลือบรถ

การดูแลหลังเคลือบเงารถยนต์ จะมีขั้นตอนการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้นเพียงแค่ใช้ผ้าขนนุ่มชุบน้ำยาล้างรถแล้วเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องนำรถไปล้างทั้งหมดก็ได้ นอกจากนี้การล้างรถเป็นประจำสามารถช่วยรักษาสภาพการเคลือบให้ยังคงเงางามและคงสีของรถยนต์ให้สดใสเหมือนใหม่ได้ อย่าลืมใช้แว็กซ์เคลือบเงารถเสมอตามระยะเวลาของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เคลือบรถ นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวัง คือ เมื่อเห็นคราบสกปรกบนผิวรถห้ามนำผลิตภัณฑ์สำหรับขัดสีรถมาใช้เด็ดขาด เพราะจะทำให้ฟิล์มที่เคลือบสีรถหลุดลอก เพียงแค่ใช้ผ้าขนนุ่มชุบน้ำยาเช็ดคราบก็เช็ดออกได้ รวมถึงหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด เพราะรังสี UV ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ กับ สีรถ ส่งผลให้สีรถดูซีด ดูเก่าเร็วยิ่งขึ้น หรือถ้าหากจะต้องนำรถมาจอดกลางแดดนานจริง ๆ ก็ต้องลงแว็กซ์ป้องกันไว้อีกชั้นก่อน และต้องเข้าไปตรวจสภาพสีรถที่ศูนย์เป็นประจำตามระยะเวลาที่กำหนด

เคลือบแก้ว จำเป็นมั้ย? มีข้อดีอย่างไร?

สำหรับคนรักรถแล้ว การได้เห็นรถยนต์ของตัวเองมีความสะอาด สวยงาม ก็คงจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ใจฟูได้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าการที่ต้องใช้รถทุกวันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาสภาพรถให้คงความสวยงาม แวววาวได้อยู่ตลอดไม่ว่าจะฝุ่นละออง หรือน้ำจากฝนที่มักจะรอยทิ้งคราบกวนใจอยู่เสมอ การล้างรถและเคลือบแก้ว จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้รถยนต์ของคุณมีความสวยงามเหมือนใหม่ได้อีกครั้ง

แต่เดี๋ยวก่อน! เพราะไม่ใช่ว่าการเคลือบผิวรถนั้นจะมีเพียงข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะมันก็มีข้อเสียบางประการที่คนรักรถควรทราบด้วยเหมือนกัน แต่เคลือบจะดียังไง และมีข้อเสียอย่างไรบ้างนั้น ไปลองติดตามอ่านกันได้ในบทความนี้เลย

เคลือบแก้ว คืออะไร?

การเคลือบแก้ว หรือ Glass Coating คือการที่นำน้ำยาสูตรพิเศษที่เป็นน้ำยามีส่วนผสมของ ซิลิกา เข้ามาเช็ดถูกที่ตัวรถเพื่อเป็นการเคลือบและปกป้องผิวของรถยนต์ โดยการทำ Glass Coating นั้นก็มีระดับความหนาของชั้นเคลือบด้วย คือ 1-9 และสูงสุดอยู่ที่ 9H สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังทำการเคลือบก็คือผิวรถจะมีความวิบวับ แวววาว เป็นประกายที่ดูเงาสวยงาม พร้อมทั้งยังมีเกราะป้องกันให้กับผิวและสีของรถยนต์ด้วย โอกาสที่จะเกิดคราบสกปรก หรือรอยขีดข่วนก็จะลดลง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความหนาของชั้นเคลือบผิวด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทนต่อรอยขีดข่วนระดับเล็กน้อยได้

สำหรับใครที่ชอบการทำความสะอาดรถด้วยตัวเองก็อาจจะรู้สึกว่าการส่งรถไปทำความสะอาดพร้อมกับเคลือบแก้วราคาแพงและไม่คุ้มค่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรักษาผิวรถด้วยวิธีนี้บ้างบางครั้งก็เป็นการยืดอายุให้กับผิวและสีของรถยนต์ได้เหมือนกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลด้วย

เคลือบแก้ว มีข้อดีอย่างไรบ้าง?

แน่นอนว่าการส่งรถเคลือบแก้วมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสียทีเดียว เพราะค่าใช้จ่ายในการเคลือบแก้วนั้นก็แลกมาด้วยข้อดีหลายประการเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น

1. ช่วยสร้างความเงางามให้รถ ข้อดีอย่างแรกที่หลายคนน่าจะทราบอยู่แล้วว่าการเคลือบแก้วดียังไง ก็เพราะว่ามันช่วยสร้างความเงางาม แวววาวให้กับผิวของรถ ซึ่งก็ทำให้ดูสวยงาม และดูโดดเด่นได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นรถยนต์ที่มีบอดี้ที่สวยงามด้วยแล้ว การทำความสะอาดผิวรถเช่นนี้ช่วยให้ดูหรูหรา มีออร่าของความสวยเพิ่มไปอีก

2. ปกป้องรถจากรอยขีดข่วน ใครที่เป็นคนรักรถคงจะไม่ชอบใจแน่ๆ ที่ต้องเห็นรถยนต์ของตัวเองเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ หรือรอยขนแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่มีสีเข้มอย่างสีดำ เทา แดง และน้ำเงิน ที่มักจะเห็นรอยได้ชัดเจนการ Glass Coating จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยเล็กรอยน้อยเหล่านี้ได้ และการปกป้องรถจากรอยขนแมวนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเคลือบแก้วในราคาที่แพงแต่อย่างใด เพราะนี่คือคุณสมบัติที่จะได้รับอยู่แล้วหลังจากการเคลือบผิวรถ

3. ป้องกันสิ่งสกปรกบนผิวรถ แน่นอนว่าการเคลือบแก้วในราคามาตรฐานส่วนใหญ่คุณสมบัติอีกประการที่จะได้มาก็คือช่วยปกป้องรถยนต์จากสิ่งสกปรกที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นมูลนก หรือฝุ่นละอองจากดินทรายต่างๆ ที่จะต้องเผชิญระหว่างเส้นทาง ซึ่งแม้ว่าจะมีการเกาะของสิ่งสกปรกเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีการเกาะจนกลายเป็นคราบฝังลึก ต่างจากรถยนต์ที่ไม่ได้เคลือบแก้วเมื่อมีสิ่งสกปรกเหล่านี้เกาะที่ผิวรถ ไม่นานก็จะกลายเป็นคราบเกาะติดทำความสะอาดได้ยาก

4. เคลือบแก้วช่วยลดการเกาะของน้ำบนชั้นสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝนการเคลือบผิวรถยนต์นั้นถือได้ว่าเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะช่วยลดปัญหาน้ำเกาะบนชั้นสีรถและทิ้งคราบเอาไว้ได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อมีน้ำมากระทบบนผิวรถยนต์จะเกิดการกลายเป็นหยดน้ำขึ้นที่ชั้นสีรถอย่างเห็นได้ชัด และหยดน้ำนั้นก็ยังกลิ้งไปมาได้อีกด้วย การเคลือบแก้วจึงเปรียบเสมือนสร้างเกราะป้องกันให้กับผิวรถยนต์ได้นั่นเอง

5. ช่วยป้องกันแสง UV อีกหนึ่งประการที่ว่าเคลือบแก้วนั้นดียังไง ก็เพราะมันช่วยป้องกันแสง UV ที่เกิดจากแสงแดดอันร้อนแรงในช่วงเวลากลางวันได้เป็นอย่างดี ใครที่มักจะต้องจอดรถกลางแดดอยู่เป็นประจำ การนำรถไปเคลือบแก้วจะช่วยลดความเสียหายให้กับสีผิวรถยนต์ที่มาจากแสง UV ได้เป็นอย่างดี

6. ทำความสะอาดรถได้ง่าย ด้วยความที่มีการเคลือบแก้วรถยนต์มาแล้ว ในการที่จะต้องล้างรถก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงขัดออกแรงถูให้มากมาย เพราะเพียงแค่ล้างเช็ด ก็เป็นอันเสร็จได้ไม่ยากเลย เหมาะกับคนที่ขี้เกียจล้างรถมากๆ สำหรับข้อดีข้อนี้

7. ยืดอายุการใช้งานให้สีรถ แม้ว่าคอร์สในการเคลือบแก้วมีราคาที่หลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละผู้ให้บริการก็ตาม แต่สิ่งที่ผู้ใช้บริการจะได้รับแน่นอนก็คืออายุการใช้งานของสีรถยนต์นั้นจะนานขึ้น ทำให้สียังดูสดได้ยาวนานกว่าการเคลือบรถด้วยแว็กซ์ทั่วไป นอกจากนี้แล้วการเคลือบเพียงครั้งเดียวยังอยู่ได้ยาวนานสูงสุดคือหนึ่งปีเลยทีเดียว

ก็คงจะทราบกันไปแล้วว่าการเคลือบแก้วนั้นดียังไง และแม้ว่าจะต้องจ่ายค่าเคลือบแก้วในราคาที่สูงแต่ก็มีข้อดีหลายประการที่ยอมรับได้ ซึ่งเมื่อมีข้อดีแล้วก็มีข้อเสียที่เป็นข้อสังเกตอยู่บ้างเหมือนกัน

เคลือบแก้ว มีข้อเสียอย่างไร?

สำหรับการเคลือบผิวรถด้วยวิธีนี้ก็มีข้อเสียที่เราสรุปรวมมาได้ทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน คือ

1. การเคลือบแก้วอาจไม่ได้ช่วยป้องกันริ้วรอยได้ทุกครั้ง อย่างที่ได้ระบุไปในส่วนของข้อดีกันแล้วว่าเคลือบแก้วนั้นดียังไงกับการปกป้องริ้วรอย แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่ามันไม่ได้มีผลกับทุกกรณี เพราะบางคนอาจจะเข้าใจว่าแค่ทำการเคลือบผิวรถแล้วรถก็จะไม่เป็นรอย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจริงๆ แล้วแม้ว่าการเคลือบจะมีส่วนช่วยป้องกันรถจากริ้วรอยขีดข่วนได้ แต่เมื่อต้องเจอกับรอยขีดข่วนหนักๆ ก็ไม่สามารถป้องกันได้ ฉะนั้นแล้วนอกจากจะเสริมเกราะป้องกันด้วยการเคลือบแก้วแล้ว การขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความเสียหายจากริ้วรอยได้มากขึ้น

2. เคลือบแก้วราคาค่อนข้างสูง เรื่องของราคานั้นยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้หลายคนเลือกตัดสินใจที่จะไม่เคลือบ เพราะการเลือกให้ได้คุณภาพอย่างน้ำยาที่แพงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การเคลือบแก้วมีข้อเสียมากขึ้นไปอีกเพราะต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น รวมทั้งหากเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ มีตัวถังใหญ่ การจ่ายค่า Glass Coating ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามมาซึ่งผู้ที่จะเลือกใช้บริการเคลือบแก้วก็ต้องคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ ซึ่งในบางศูนย์ให้บริการราคาเริ่มต้นก็อยู่ที่หลักหมื่นเลยทีเดียว

3. เกิดความไม่สม่ำเสมอในการเคลือบแก้ว สาเหตุหลักของการเคลือบผิวรถที่ไม่สม่ำเสมอส่วนใหญ่แล้วจะมาจากเรื่องของอุปกรณ์และเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในรถยนต์บางรุ่นด้วยแล้ว ยิ่งอาจจะทำให้บางจุดของตัวรถไม่ถูกน้ำยาเคลือบได้ ทำให้สีรถดูไม่สม่ำเสมอตามมาด้วย ทั้งนี้ก็ต้องเลือกศูนย์บริการที่มีมาตรฐาน และได้รับการยอมรับในเรื่องของความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญด้วย

เรียกได้ว่าแม้จะจ่ายเงินหลักหมื่นแต่การเคลือบแก้วก็ยังคงมีข้อเสียที่ต้องพิจารณาด้วยเหมือนกัน ว่าสามารถยอมรับได้หรือไม่ และต้องมั่นใจด้วยว่าจะได้บริการที่คุ้มค่าในราคาที่ต้องจ่ายสำหรับงานเคลือบผิวรถแต่ถึงอย่างไรก็ตามหากมองในเรื่องของระยะเวลาที่จะช่วยปกป้องสีรถยนต์แล้ว การทำความสะอาดด้วยวิธีนี้บ้างในบางโอกาสก็ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของการซ่อมแซมตัวสีรถยนต์ในอนาคตได้เหมือนกัน

เปรียบเทียบ เคลือบสีรถ กับ เคลือบแก้ว

นอกเหนือจากนี้สิ่งที่หลายคนสงสัยกันว่าความแตกต่างระหว่าง เคลือบแก้ว กับ เคลือบสีรถคืออะไร ก็ต้องบอกว่ามีข้อแตกต่างที่น่าสนใจอยู่ 5 ข้อด้วยกันคือ

  • ระยะเวลาในการใช้งาน ทั้งสองวิธีนี้มีช่วงระยะเวลาในการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะในการเคลือบแก้วนั้นจะสามารถอยู่ได้ยาวถึง 1 ปี ต่อครั้ง ส่วนระยะเวลาของการเคลือบสีรถ คืออยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นกับการใช้งานของรถด้วย
  • การปกป้องสีของรถยนต์ การเคลือบสีรถทั้งสองวิธีนั้นช่วยในเรื่องของการปกป้องสีของรถยนต์ทั้งคู่แต่หากต้องการคุณภาพสูงจริงๆ การเคลือบแก้วถือว่าทำได้ดีกว่ามาก เพราะเป็นการเคลือบผิวรถที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นเกราะป้องกันสีของรถยนต์อย่างแท้จริง
  • เรื่องความสวยงาม สำหรับการเคลือบทั้งสองวิธีจะใช้น้ำยาในการเคลือบทั้งสองแบบ แต่ความแตกต่างคือคุณภาพของน้ำยาที่แตกต่างกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ การเคลือบสีรถจะช่วยขับสีของรถให้ดูสดใส สว่างขึ้นอย่างชัดเจน แต่การเคลือบแก้วจะเน้นไปที่ความเงางาม แวววาว มากกว่า
  • ประสิทธิภาพในการป้องกันสิ่งสกปรก ในแง่ของการป้องกันสิ่งสกปรก เคลือบแก้วถือว่าเป็นทางเลือกที่ทำได้ดีกว่า เพราะแม้ว่าจะต้องเจอกับคราบฝุ่น หรือสิ่งสกปรก การเช็ดทำความสะอาดจะทำได้ง่ายกว่ามากๆ เมื่อเทียบกับการเคลือบสีรถ
  • ความคุ้มค่าของราคา การเคลือบสีรถมีราคาค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อย และแพงที่สุดอยู่ที่หลักพัน ซึ่งเป็นราคาไม่สูงจนเกินไป แต่สำหรับการเคลือบแก้ว ราคาค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเริ่มต้นที่หลักพัน และสูงสุดที่หลักหมื่นเลยทีเดียว โดยขึ้นอยู่กับการเลือกคุณภาพน้ำยา และขนาดของรถที่จะทำการเคลือบสีรถด้วย

จะเปลี่ยนสีรถใหม่ทั้งทีต้องทำยังไงบ้าง

เชื่อว่าเป็นปัญหาที่หลายๆคนน่าจะเคยเจอกันบ้าง ซื้อรถสีนี้มาใช้ไปนานๆเริ่มเบื่ออยากเปลี่ยนเป็นสีอื่น มีคนทักออกรถสีนี้ไม่เป็นมงคล อยากเปลี่ยนสี หรืออยากติดสติกเกอร์ลายต่างๆ แต่ไม่ใช่อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย การเปลี่ยนสีรถจำเป็นต้องแจ้งต่อกรมขนส่งทางบก ไม่เช่นนั้นถ้าเจอตำรวจเรียกตรวจขึ้นมาได้เสียค่าปรับบานแน่นอน วันนี้เราเลยมีขั้นตอนวิธีการแจ้งเปลี่ยนสีรถในคู่มือจดทะเบียนมาฝากทุกคนกัน บอกเลยขั้นตอนง่ายนิดเดียว

แจ้งเปลี่ยนสีรถต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ต้องแจ้งเปลี่ยนภายในกี่วัน

การเปลี่ยนสีรถต้องทำการแจ้งต่อนายทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก หากไม่แจ้งแล้วถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจเอกสารจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย แล้วการแจ้งเปลี่ยนสีรถต้องใช้เอกสารอะไรบ้างมาดูกัน

  • ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
  • ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน
  • หลักฐานการเปลี่ยนสีรถ เช่น ใบเสร็จค่าจ้างในการทำสี (ในใบเสร็จต้องระบุวันที่ในการเปลี่ยนสีรถไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิน 7 วัน ต้องชำระค่าปรับจำนวน 200 บาท)

แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนสีรถไม่ถึง 30% ของตัวรถหรือเฉพาะจุด เช่น เฉพาะฝาถังน้ำมัน ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อนายทะเบียน แต่ถ้าหากเปลี่ยนสีกระโปรงรถ หรือส่วนอื่นๆ เกิน 30% ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนหากไม่แจ้งจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 13 และมาตรา 60 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งหากมีการเปลี่ยนสีรถต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ 7 วัน

ขั้นตอนการแจ้งเปลี่ยนสีรถ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

หลังเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าขั้นตอนการยื่นแจ้งเปลี่ยนสีรถมีขั้นตอน และค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนการแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์

  1. ยื่นคำขอเพื่อแจ้งความประสงค์เปลี่ยนสีรถยนต์ สามารถยื่นความประสงค์ได้ที่กรมขนส่ง
  2. หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ให้ยื่นคำขอตรวจสอบพร้อมเอกสารต่างๆและหลักฐานในการเปลี่ยนสีรถยนต์ รวมถึงเอกสารผลการตรวจสอบสภาพรถยนต์
  3. เมื่อดำเนินการทุกขั้นตอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการชำระค่าธรรมเนียมที่ขนส่ง

ไม่ใช่เจ้าของรถ แจ้งเปลี่ยนสีรถได้หรือไม่
ไม่ใช่เจ้าของรถก็สามารถแจ้งเปลี่ยนสีรถได้เพียงมีเอกสารสำคัญ ดังนี้

  1. สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ หรือผู้มอบอำนาจ
  2. หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของรถ ติดอากรแสตมป์ (กรณีผู้ดำเนินการไม่ใช้เจ้าของรถ)

รถติดไฟแนนซ์สามารถแจ้งเปลี่ยนสีรถได้ไหม
รถติดไฟแนนซ์ก็สามารถแจ้งเปลี่ยนสีรถเพียงใช้แค่สำเนาเล่นทะเบียนโดยไม่ต้องเบิกเล่มทะเบียนตัวจริง พอเปลี่ยนกับทางกรมขนส่งทางบกเรียบร้อยให้แจ้งทางไฟแนนซ์แก้ไขข้อมูลภายในคู่มือจดทะเบียน

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

  1. ค่าดำเนินการขอแก้ไขสีในทะเบียนรถยนต์ 50 บาท
  2. ค่าตรวจสอบสภาพรถยนต์ 50 บาท ที่กรมขนส่งไม่รับโอนทุกกรณี กรุณาชำระด้วยเงินสดเท่านั้น

หลักเกณฑ์การระบุสีรถ

ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2560 กรมขนส่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการระบุสีรถในคู่มือจดทะเบียนให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการสับสน โดยในการจดคู่มือทะเบียนสามารถกำหนดสีหลักได้สูงสุด 3 สี หากกรณีรถยนต์มีลวดลายหลากสีสันให้ระบุในคู่มือทะเบียนว่า “หลายสี” โดยการระบุหลักเกณฑ์ระบุสีรถยนต์ในคู่มือการจดทะเบียนมีการกำหนดไว้ 3 สี ดังนี้

1. ตัวรถยนต์มีสีเดียว

ให้กำหนดสีหลักเพียงสีเดียว ไม่ต้องคำนึงถึงความเข้มหรืออ่อนของโทนสี

2. ตัวรถยนต์มี 2 หรือ 3 สี

หากแต่ละสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ฝากระโปรงหน้า - ท้าย, ประตู, หลังคา ให้กำหนดเป็นสีหลักของตัวรถยนต์มี 2 - 3 สี แต่กรณีตัวรถมีสีขาวแต่หลังคามีสีดำให้กำหนดในคู่มือทะเบียนเป็นสีขาว - ดำ หากตัวรถมี 3 สี เช่น ขาว ดำ น้ำเงิน ให้กำหนดในคู่มือทะเบียนเป็นสีขาว - ดำ - น้ำเงิน

3. ตัวรถยนต์มีมากกว่า 3 สี

ตัวรถยนต์มีมากกว่า 3 สี ให้กำหนัดจาก 2 สีหลัก เช่น สีหลักเป็นสีดำและแดง ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถให้ระบุเป็น สีดำ - แดง - หลายสี

แล้วถ้าเราติดสติกเกอร์สีอื่นแทนล่ะ ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถหรือไม่

หากแปะสติกเกอร์รอบคัน คาร์บอนเคฟล่า หรือวัสดุอื่นๆ หากไม่เกิน 30% ไม่ต้องแจ้งเปลี่ยนคู่มือทะเบียนรถกับทางกรมขนส่ง

จะเห็นได้ว่าการรักษาและดูแลสีรถยนต์ในปัจจุบันมีรูปแบบและมีวิธีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการและงบประมาณของแต่ละคน ซึ่งถ้าหากไม่มีความรู้หรือมีผู้รู้คอยชี้แนะ ก็อาจจะเป็นเรื่องยากในการเลือกให้เหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด ประกันรถยนต์ ก็เช่นกัน แม้จะมีให้เลือกหลากหลาย แต่ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญจาก แรบบิท แคร์ วิเคราะห์ให้ก็จะสบายใจหายห่วงได้ชัวร์!

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา