ต่อใบขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือทําใบขับขี่รถยนต์ ปัจจุบันมีอะไรอัพเดทบ้าง?
สำหรับการอัพเดทประจำปี 2563 นั้น ยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงขั้นตอนหลักในการสอบใบขับขี่ แต่ทางขนส่งทางบกได้มีการพิจารณาถึงหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับรถ หรือใบขับขี่ ให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับเนื้อหาของข้อสอบปรนัย เปลี่ยนเป็นแบบทดสอบความจำให้เหลือเพียง 10% - 20% ส่วนอีก 80% - 90% จะเป็นข้อสอบเน้นความเข้าใจ วิเคราะห์เชิงทัศนคติ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการตัดสินใจเมื่อเจอเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยข้อสอบยังคงมีเพียง 50 ข้อ และยังมีตัวอย่างข้อสอบโพสต์ลงเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบกเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการต่อใบขับขี่ สามารถฝึกอบรมสอบใบขับขี่ออนไลน์ได้ และยังสามารถจองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์ได้อีกด้วย โดยการใช้แอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเข้าเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th แล้วลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบเพื่อเข้าใช้บริการ เลือกสำนักงานขนส่งที่คุณสะดวกจะเข้ารับบริการ
จากนั้นเลือกประเภทของงานบริการ ถ้าหากต้องการต่อใบขับขี่ให้เลือก “งานใบอนุญาต” > “ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล” > “ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ” แล้วเลือกประเภทยานพาหนะที่คุณต้องการต่อใบอนุญาต จากนั้นจึงกรอกวันหมดอายุ และชนิดของรถ และเมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วน เลือกวันเวลาที่คุณสะดวกเข้ารับบริการได้เลย
นอกจากจากจองคิวเข้ารับการฝึกอบรมใบขับขี่แล้ว คุณยังสามารถจองคิวเพื่อไปทำธุรกรรมอื่นได้เช่นกัน เช่น การต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ การเข้ารับการตรวจสภาพรถยนต์ทั้งเพื่อต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ หรือทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งช่วยให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้อง Walk-in เข้าไปนั่งรถคิวนาน ๆ อีกต่อไป
ขั้นตอนการต่อใบขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือทําใบขับขี่รถยนต์ มีอะไรบ้าง?
เมื่อถึงวันที่นัดหมายแล้ว ผู้ที่จะมาต่อใบขับขี่จะมีการทดสอบต่าง ๆ ดังนี้
ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
โดยจะทดสอบได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสถานีทดสอบ ถ้าหากไม่ผ่านจะต้องมาทดสอบใหม่ ดังนี้
- ทดสอบการมองเห็นสี (สีแดง เขียว เหลือง)
- ทดสอบสายตาทางลึก
- ทดสอบสายตาทางกว้าง
- ทดสอบปฏิกิริยาเท้า (ในการใช้เบรกเท้า)
เข้ารับการอบรม
เมื่อทดสอบร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การอบรมด้วยการดู VDO โดยจะใช้ระยะเวลา ประมาณ 1 ชม. จะเป็นการอบรมเกี่ยวกับ การขับขี่อย่างปลอดภัย, ข้อบังคับ, กฎจราจรที่ควรรู้ รวมถึงมารยาทในการขับขี่
ทดสอบข้อเขียนและภาคปฎิบัติ
เมื่อจบการอบรมแล้ว ในกรณีที่คุณเป็นมือใหม่ที่เริ่มทำใบขับขี่ ส่วนต่อไปคือการทดสอบข้อเขียน โดยข้อสอบมีจำนวน 50 ข้อ จะต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 90% หรือ 45 ข้อ หากไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องมาสอบใหม่ในวันถัดไป หรือไม่เกิน 90 วันหลังอบรม เมื่อสอบผ่านจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบภาคปฎิบัติต่อไป
ซึ่งในส่วนของการอบรมและการสอบข้อเขียนออนไลน์นั้น ในปัจจุบันสามารถทำได้อบรมสอบใบขับขี่ออนไลน์ได้ เมื่อทำการอบรวมและสอบข้อเขียนแล้วให้บันทึกหน้าจอเป็นหลักฐานสำหรับการทำใบขับขี่ใบใหม่ได้เลย
แต่หากใครที่มาต่ออายุใบขับขี่ส่วนนี้จะถูกข้ามไป ซึ่งการทดสอบภาคปฎิบัติจะแยกตามประเภทใบขับขี่ได้ ดังนี้
ทดสอบการขับขี่รถจักรยานยนต์ จะมีท่าบังคับทั้งหมด 5 ท่า ดังนี้
- ท่าที่ 1 การขับรถมอเตอร์ไซค์โดยปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร
- ท่าที่ 2 การขับรถทางตัวบนทางแคบ โดยให้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปบนทางแคบ และให้ทรงตัวไว้ไม่ให้เท้าแตะพื้นเป็นเวลาประมาณ 10 วินาที
- ท่าที่ 3 การขับรถผ่านทางโค้งรัศมีแคบรูปตัว Z
- ท่าที่ 4 การขับรถผ่านทางโค้งซ้ายและโค้งขวารูปตัว S
- ท่าที่ 5 การขับรถหลบหลีกสิ่งกีดขวาง
ทดสอบภาคปฎิบัติทำใบขับขี่รถยนต์ โดยใช้ท่าทดสอบ ทั้งหมด 3 ท่าบังคับ ดังนี้
- ท่าเดินหน้าและถอยหลัง
- ท่าจอดรถเทียบทางเท้าไม่เกินป้ายหยุด
- ท่าถอยรถเข้าซองโดยใช้ไม่เกิน 7 เกียร์
ชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการต่อใบขับขี่
สำหรับใครที่มาเพียงต่อใบขับขี่ จากนี้จะเป็นการยื่นเอกสารต่าง ๆ ก่อนจะทำการชำระค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ โดยมีราคาดั่งนี้
- ค่าธรรมเนียมขอทําใบขับขี่รถยนต์ รถจักรยานต์ 5 บาท
- ค่าทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 100 บาท
- ค่าถ่ายรูปบัตรสมาร์ตการ์ด 100 บาท
- ค่าทําใบขับขี่รถยนต์ 5 ปี 500 บาท
- ค่าทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์ 5 ปี 250 บาท
ทั้งหมดนี้ คือวิธีการเบื้องต้นในการขอทําใบขับขี่รถยนต์ และต่อใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งจะมีความต่างอยู่ที่ราคาค่าออกใบขับขี่นั่นเองนอกจากการต่อใบขับขี่แล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการต่อประรถยนต์นั่นเอง สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์อยู่ ต้องนี่เลย บริการเปรียบเทียบรถยนต์ออนไลน์ จาก แรบบิท แคร์ ที่นี้พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องการทำประกันรถอย่างครอบคลุมมากที่สุด
สอบใบขับขี่ออนไลน์ สามารถต่ออายุใบขับขี่ได้ทุกชนิดเลยหรือไม่?
เบื้องต้นแล้ว การสอบใบขับขี่ออนไลน์นั้น สามารถสอบต่ออายุใบขับขี่ส่วนบุคคล, ใบขับขี่ พรบ.ขนส่ง และใบขับขี่สาธารณะได้ แต่ผู้สอบใบขับขี่ออนไลน์นั้น จะต้องเข้าอบรมให้ครบชั่วโมงที่ทางกรมขนส่งกำหนดไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำใบขับขี่ หรือต่อใบขับขี่ได้ ซึ่งรายละเอียดของการเข้าอบรมนั้น มีข้อมูลดังต่อไปนี้
- ใบขับขี่ส่วนบุคคลแบบ 5 ปีเป็น 5 ปี (ต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน) อบรม 1 ชั่วโมง
- ใบขับขี่ พรบ.ขนส่ง (ต่อล่วงหน้าได้ 6 เดือน) อบรม 2 ชั่วโมง
- ใบขับขี่สาธารณะ (ต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน) อบรม 3 ชั่วโมง
โดยผลการอบรมการต่ออายุใบอนุญาตขับรถมีอายุ 90 วันนับจากวันที่ผ่านการอบรมเท่านั้น หากเลยกำหนดจะต้องทำการอบรมใหม่
ปัจจุบันยังสามารถสอบใบขับขี่ตลอดชีพได้หรือไม่?
ในปัจจุบัน ทางกรมขนส่งได้ระบุไว้ว่าไม่มีการทำใบขับขี่ตลอดชีพแล้วไม่ว่าจะเป็นใบขับขี่แบบรถยนต์ หรือใบขับขี่รถจักรยานยนต์ มีแต่การทำใบขับขี่ชั่วคราวในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น โดยอายุจะอยู่ที่ประมาณ 2-5 ปี ตามประเภทของใบขับขี่
สำหรับผู้ที่ต่อใบขับขี่ คุณสามารถต่อล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน ยกเว้นใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราว จะต่ออายุล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วัน และสามารถไปต่อใบขับขี่ได้ที่กรมการขนส่งทางบกทุกเขต ที่สะดวกได้เลย ซึ่งเอกสารที่เตรียมไป มีต่อไปนี้
- ใบขับขี่เก่าที่หมดอายุ
- บัตรประชาชน
- กรณีที่เคยเปลี่ยน ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่ ให้นำหลักฐานเอกสารการเปลี่ยนชื่อแนบมาด้วย
- ในกรณีที่ต้องการต่อใบขับขี่ ถ้าต่อ 2 ปี เป็น 5 ปี ใช้ใบรับรองแพทย์ (อายุไม่เกิน 1 เดือน)
- กรณีต่อใบขับขี่ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป