Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

สอบใบขับขี่ ทำใบขับขี่ใหม่ 2567 เตรียมอะไรบ้าง

การขอใบขับขี่ครั้งแรกอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายคน เพราะนอกจากต้องผ่านการอบรมความรู้ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และการสอบปฏิบัติแล้ว ยังต้องสอบภาคทฤษฎีและทำคะแนนให้ได้อย่างน้อย 90% ทำให้เกิดคำถามว่า การทำใบขับขี่ใหม่ยากแค่ไหน? ต้องได้กี่คะแนนจึงจะผ่าน? และหากทำใบขับขี่ใหม่ไม่ผ่านต้องทำอย่างไร? วันนี้ แรบบิท แคร์ ได้รวบรวมขั้นตอนการสอบใบขับขี่ 2567 อย่างละเอียดมาให้ผู้ทำใบขับขี่ใหม่ได้ศึกษาเพื่อเตรียมตัวก่อนสอบ

ทำใบขับขี่ใช้อะไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรบ้าง

สำหรับการสอบใบขับขี่ เตรียมอะไรบ้าง สอบใบขับขี่ ใช้อะไรบ้าง การทำใบขับขี่ครั้งแรกจำเป็นต้องเตรียมเอกสารและปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างครบถ้วน โดยสิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้

สอบใบขับขี่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง

  1. บัตรประชาชนตัวจริง (ยังไม่หมดอายุ)
  2. สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 1 ชุด
  3. ใบรับรองแพทย์ ใบขับขี่ ที่ออกโดยโรงพยาบาลหรือคลินิก (ไม่เกิน 1 เดือน)
  4. หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  5. หลักฐานการจองคิวอบรมออนไลน์เพื่อใช้แสดงกับเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานขนส่ง

สอบใบขับขี่ ใช้เอกสารอะไรบ้าง สำหรับชาวต่างชาติ

  • หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมสำเนา
  • ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
  • ใบรับรองแพทย์ ที่ออกโดยโรงพยาบาลหรือคลินิก (ไม่เกิน 1 เดือน)
  • หลักฐานการจองคิวอบรมออนไลน์เพื่อใช้แสดงกับเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานขนส่ง

นอกจากสอบใบขับขี่ เอาอะไรไปบ้าง เหล่านี้แล้ว ยังต้องเตรียมตัวสำหรับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับขี่, การทดสอบสมรรถภาพร่างกายอย่างการมองเห็นสีและการตอบสนอง รวมทั้งการสอบข้อเขียนภาคทฤษฎีและการสอบปฏิบัติการขับขี่บนสนามทดสอบอีกด้วย

สอบใบขับขี่ ทําอะไรบ้าง

สอบใบขับขี่ สอบอะไรบ้างนั้น การสอบจะแบ่งเป็นการสอบใบขับขี่ 2567 ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่คุมสอบแจ้งว่า สอบใบขับขี่ ต้องทําอะไรบ้าง ตามรายละเอียดดังนี้

1. การอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับขี่

การอบรมใบขับขี่จะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง โดยผู้ที่อบรมจะต้องจองคิวอบรมใบขับขี่ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th เพื่อมาอบรมที่สำนักงานขนส่งที่สะดวกที่สุด

ในการอบรมเพื่อทำใบขับขี่ใหม่สำหรับผู้ที่ทำครั้งแรกนั้นจะต้องไปอบรมที่สำนักงานเท่านั้น ไม่มีบริการอบรมออนไลน์ โดยการจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงเช้า (9.30 – 12.00 น.) และช่วงบ่าย (13.00 – 15.30 น.) ซึ่งผู้มาอบรมใบขับขี่ใหม่จะต้องอยู่ร่วมการอบรมให้ครบทั้ง 2 ช่วง

2. การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย

การทดสอบสมรรถภาพร่างกายจะดำเนินการในวันที่มาอบรม โดยจะทดสอบในช่วงก่อนเริ่มการอบรม ประกอบไปด้วยการทดสอบดังต่อไปนี้

  • ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว เหลือง แดง)
  • ทดสอบความสามารถในการรับรู้ความลึกของสายตา
  • ทดสอบมุมมองสายตาที่กว้าง
  • ทดสอบปฏิกิริยาของเท้า โดยให้เหยียบเบรกทันทีเมื่อเห็นสัญญาณไฟ

แต่ละการทดสอบจะมีโอกาสในการทดสอบทั้งหมด 3 ครั้ง ถ้าพลาดการทดสอบทั้ง 3 ครั้งจะถือว่า ไม่ผ่านการทดสอบและต้องมาทำการทดสอบใหม่ในครั้งถัดไป

3. สอบใบขับขี่ ทฤษฎี

การทดสอบภาคทฤษฎีจะเริ่มขึ้นในวันเดียวกับวันอบรมโดยจะเริ่มขึ้นหลังจากที่การอบรม 5 ชั่วโมงเสร็จสิ้น การสอบข้อเขียนจะดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์โดยใช้ระบบ Electronic Examination (E-exam) ข้อสอบประกอบด้วย 50 ข้อ โดยผู้สอบต้องตอบถูกอย่างน้อย 90% หรือ 45 ข้อจึงจะผ่าน หากไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด ผู้สอบจะต้องทำการสอบใหม่ในวันถัดไป หรือภายใน 90 วันหลังจากการอบรม

สอบใบขับขี่ ต้องผ่านกี่ข้อ

สำหรับการสอบใบขับขี่ กี่คะแนนผ่าน ต้องทำได้อย่างน้อย 90 คะแนนจาก 100 คะแนนถึงจะผ่าน หรือถ้านับการสอบใบขับขี่ ผ่านกี่ข้อ ผู้สอบก็ต้องตอบถูกอย่างน้อย 45 ข้อจากทั้งหมด 50 ข้อ

4. สอบใบขับขี่ ปฏิบัติ

การสอบใบขับขี่ ภาคปฏิบัติจะเริ่มดำเนินการในวันถัดไปของการสอบใบขับขี่ โดยจะมีท่าปฏิบัติ สอบใบขับขี่เพื่อทำใบขับขี่ใหม่ดังต่อไปนี้

- ท่าเดินหน้าและถอยหลัง

การเดินหน้าและถอยหลังเป็นท่าพื้นฐานที่ผู้เข้าสอบจะต้องควบคุมรถตามเส้นทางตรงที่กำหนดด้วยลูกศร โดยผู้ทำใบขับขี่ใหม่จะต้องขับในช่องทางที่กำหนดระยะทาง 12 เมตร จากนั้นทำการขับเดินหน้า 1 ครั้ง และถอยหลัง 1 ครั้ง โดยต้องไม่ชนหรือเฉี่ยวเสาที่วางเรียงอยู่ทั้งสองข้าง และต้องระมัดระวังไม่ให้เครื่องยนต์ดับระหว่างการทดสอบ

- ท่าจอดรถเทียบทางเท้า

ต่อมาคือการทดสอบท่าจอดรถเทียบทางเท้า ซึ่งเป็นท่าพื้นฐานที่สำคัญและนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผู้ทำใบขับขี่ใหม่จะต้องจอดรถขนานกับขอบทาง โดยให้ล้อหน้าและล้อหลังทับเส้นสีที่กำหนดไว้ และระยะห่างจากขอบทางต้องไม่เกิน 25 เซนติเมตร จากนั้น ขับตรงไปอย่างระมัดระวังไม่ให้ชนขอบทาง แล้วหยุดรถในบริเวณที่กำหนด โดยมีระยะห่างจากเส้นหยุดรถไม่เกิน 1 เมตร

- ท่าขับรถถอยเข้าซอง

สุดท้ายคือการทดสอบท่าถอยเข้าซอง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในท่าที่ท้าทายที่สุดและทำให้ผู้ขอใบขับขี่ใหม่หลายคนสอบไม่ผ่าน นอจากนั้น ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า ผู้ทดสอบสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง และจะต้องไม่ชนหรือเบียดเสา รวมทั้งกระจกข้างจะต้องไม่เกินเส้นในพื้นที่ที่กำหนด อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การถอยเข้าซองสามารถทำได้ง่ายขึ้นหากปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

  • เริ่มต้นด้วยการขับรถให้ขนานกับเส้นจอด โดยให้ล้อหลังตรงกับเสาต้นที่ 3
  • หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายจนสุด แล้วถอยหลังช้าๆ ทำมุมประมาณ 45 องศา โดยคอยมองกระจกด้านขวาเพื่อดูเสาให้ครบทั้ง 3 ต้น (เสาหมายเลข 4, 5, และ 6) จากนั้นหยุดรถ
  • หมุนพวงมาลัยกลับมาให้ล้อตรง และถอยหลังตรงๆ จนหัวรถด้านซ้ายตรงกับเสาต้นที่ 3 แล้วหยุด
  • หมุนพวงมาลัยไปทางขวาจนสุด แล้วถอยหลังช้าๆ เพื่อให้รถเข้าไปอยู่ในซอง โดยให้ขนานกับเส้นจอด

สอบใบขับขี่ ต้องเอารถไปไหม

การสอบใบขับขี่ในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องนำรถไปเองในขั้นตอนการสอบขับขี่ เนื่องจากกรมการขนส่งทางบกจะมีรถสำหรับการสอบขับขี่ให้บริการอยู่แล้ว โดยจะคิดราคาค่าเช่ารอบละ 100 บาท มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ โดยสามารถติดต่อในบริเวณพื้นที่เช่ารถสอบได้

อย่างไรก็ตาม แรบบิท แคร์ ขอแนะนำให้ผู้ทำใบขับขี่ใหม่เตรียมรถยนต์มาเองในการเข้าสอบ เพราะจะได้คุ้นชินกับรถที่เคยขับและซ้อมประจำ นอกจากนั้น การสมัครสอบเพื่อขอใบอนุญาตสำหรับการขับขี่รถบรรทุกหรือรถพิเศษบางประเภท อาจมีข้อกำหนดเพิ่มเติมให้ใช้รถที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องนำรถมาเองด้วย

สอบใบขับขี่ กี่วัน

สำหรับสอบใบขับขี่ ใช้เวลากี่วันนั้น การทำใบขับขี่ใหม่ 2567 จะใช้เวลาประมาณ 2 วัน โดยจะมีทดสอบสมรรถภาพ, การอบรม และการสอบข้อเขียนภาคทฤษฎีในวันแรก และเป็นมีการสอบภาคปฏิบัติในวันต่อมา

สอบใบขับขี่ อายุเท่าไหร่

ผู้ที่จะสอบใบขับขี่ อายุจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามประเภทของยานพาหนะ โดยแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดด้านอายุที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์)

    • รถจักรยานยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 110 ซีซี: ต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป
    • รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 110 ซีซี: ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป

  2. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล (รถยนต์ทั่วไป) ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป

  3. ใบขับขี่รถโดยสารสาธารณะ หรือรถบรรทุก ต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป

สอบใบขับขี่ เสาร์ อาทิตย์ 2567 ได้ไหม

ในปี 2567 การสอบใบขับขี่ที่กรมการขนส่งทางบก ไม่สามารถทำได้ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ การให้บริการจะมีเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00-15.30 น. ดังนั้น หากคุณต้องการสอบใบขับขี่ในปี 2567 ควรวางแผนเข้ารับการสอบในวันทำการของกรมการขนส่ง

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถจองคิวล่วงหน้าได้ผ่านแอป DLT Smart Queue เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว โดยเลือกวันและเวลาที่ต้องการ

สอบใบขับขี่ ที่ไหน

คุณสามารถสอบใบขับขี่ รถยนต์ได้ที่สำนักงานขนส่งทางบกทั่วประเทศ แต่ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ สถานที่สอบที่สำคัญมี 5 แห่ง ดังนี้

  1. สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 (บางขุนเทียน) ติดต่อ: 0-2415-7338
  2. สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 (ตลิ่งชัน) ติดต่อ: 0-2882-1620-35
  3. สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 (พระโขนง) ติดต่อ: 0-2332-9688-89
  4. สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 4 (มีนบุรี) ติดต่อ: 0-2543-5500-2
  5. สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 (จตุจักร) ติดต่อ: 0-2271-8888

หากคุณอยู่นอกกรุงเทพฯ สามารถตรวจสอบสำนักงานขนส่งในพื้นที่ใกล้เคียงหรือติดต่อโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมขนส่งทางบกเพื่อลงทะเบียนสอบใบขับขี่ได้เช่นกัน

สอบใบขับขี่ แต่งกาย อย่างไร

สำหรับการสอบใบขับขี่ รถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบกในประเทศไทย ผู้เข้าสอบควรแต่งกายสุภาพและเหมาะสม ซึ่งหมายถึง:

  1. เสื้อผ้าเรียบร้อย: ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด ไม่สวมเสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว หรือเสื้อที่เปิดเผยเนื้อหนังมากเกินไป
  2. กางเกงหรือกระโปรงยาว: ไม่ควรสวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น ควรเลือกกางเกงหรือกระโปรงที่ยาวถึงเข่าหรือยาวกว่า
  3. รองเท้าหุ้มส้น: หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าแบบเปิดส้น ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นเพื่อความสุภาพและปลอดภัยในระหว่างการทดสอบขับขี่

การแต่งกายสุภาพจะช่วยให้การเข้ารับการสอบและการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก

สอบใบขับขี่ ยากไหม

การสอบใบขับขี่ รถยนต์ในประเทศไทยอาจถือว่า ไม่ยากเกินไป แต่มีหลายขั้นตอนที่ต้องผ่าน รวมถึงการเตรียมตัวที่ดี หากคุณฝึกฝนมาก่อนและมีความรู้เกี่ยวกับกฎจราจรอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ การสอบใบขับขี่จะง่ายขึ้นถ้าคุณเตรียมตัวดี ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ การฝึกขับรถและศึกษากฎจราจรล่วงหน้าจะช่วยให้คุณผ่านการสอบได้อย่างไม่ยากเย็น

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา