

ใบขับขี่ตลอดชีพหายต้องสอบใหม่ไหม? จะยังได้ใบขับขี่ตลอดชีพอยู่หรือเปล่า?
ใบขับขี่คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร?
ใบขับขี่หรือใบอนุญาตให้ขับรถ เป็นเอกสารที่ออกโดยกรมขนส่งทางบก ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารที่สำคัญมากสำหรับผู้ใช้รถทุกท่าน เนื่องจากใช้เป็นหลักฐานว่าผู้ถือครองใบขับขี่ ผ่านการทดสอบโดยกรมขนส่งทางบก และได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถประเภทต่างๆ ตามที่ใบขับขี่ได้ระบุไว้ การไม่มีใบขับขี่สำหรับผู้ใช้รถนับว่าผิดกฎหมาย อาจจะโดนเรียกปรับจากตำรวจจราจร หรือไม่ได้รับการชดเชยค่าสินไหมจากบริษัทประกันภัยได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีใบอนุญาตขับขี่จึงสำคัญ ผู้ที่ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี มีค่าปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าใครไม่ได้พกใบขับขี่มานั้นจะมีโทษปรับ 1,000 บาท
สำหรับการทำใบขับขี่ ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อเริ่มแรกทำจะได้เป็นใบขับขี่ชั่วคราว แต่หลังจากใช้งานมาแล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี ก็จะได้เป็นใบขับขี่ส่วนบุคคลแทน ส่วนใบขับขี่ตลอดชีพนั้นในปัจจุบันไม่สามารถทำได้แล้วอีกต่อไป
ใบขับขี่ตลอดชีพคืออะไร และต่างจากใบขับขี่ประเภทอื่น ๆ อย่างไร?
ใบขับขี่ตลอดชีพคือใบอนุญาตในการขับขี่รถที่ผู้ขับสอบผ่านแล้วสามารถใช้งานได้ตลอดไป ไม่ต้องต่อใบขับขี่หรือทำการทดสอบใบขับขี่ใหม่เหมือนใบขับขี่รถยนต์ในยุคปัจจุบัน หรือกล่าวได้ว่าใบขับขี่ตลอดชีพเป็นเอกสารรับรองให้คุณขับรถได้ตลอดชั่วชีวิตนั่นเอง จนกระทั่งเมื่อถึงปี พ.ศ. 2546 ทางกรมขนส่งทางบกได้ออกนโยบายใหม่ ให้ผู้ที่ทำใบขับขี่ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไปจะเป็นใบอนุญาตขับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งาน 5 ปี พอหมด 5 ปี แล้วต้องต่อหรือทดสอบขับรถใหม่ ทำให้ใบขับขี่ตลอดชีพหลังจากปีดังกล่าวจะไม่ถูกออกมาใช้งานอีกต่อไป แต่ถ้าใครได้มาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ของผู้ขับเอง เพราะคุณยังคงสามารถใช้งานใบขับขี่ตลอดชีพใบเดิมได้ไม่ต้องออกใหม่แต่อย่างใด
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ช่วงก่อนปี พ.ศ. 2531 การออกใบขับขี่เป็นหน้าที่ของกองทะเบียน กรมตำรวจ ซึ่งจะเป็นแบบทะเบียนกระดาษ ใบขับขี่ตลอดชีพจึงถูกออกมาด้วยเหตุผลเพื่อลดปริมาณงานการติดต่อราชการของประชาชน และภายหลังปี พ.ศ. 2531 หน้าที่นี้ถูกย้ายโอนมายังกรมขนส่งทางบก จนกระทั่งถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ทำให้ใบขับขี่ตลอดชีพ ถือว่าหาได้ยากในปัจจุบัน เพราะเป็นใบขับขี่ที่ออกเพียงหนึ่งครั้ง สามารถใช้ได้ตลอดไป ต่างจากปัจจุบันที่จะกำหนดอายุใบขับขี่ และมีการต่ออายุ เพื่อตรวจสอบสมรรถภาพร่างกายของผู้ขับขี่ใหม่ทุกครั้งเมื่อมีการต่ออายุใบขับขี่ นับเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากความเสื่อมถอยของสมรรถภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
สรุปคือ ใบขับขี่ตลอดชีพเป็นใบขับขี่ระบบเก่าก่อนปี พ.ศ. 2546 หากใครมีแล้วก็ใช้ในนี้ได้ไปจนชั่วชีวิต แต่ถ้าใครทำใบขับขี่หลังปี พ.ศ. 2546 ก็จะเป็นใบขับขี่ที่มีอายุการใช้งาน ต้องต่อทุก ๆ 5 ปี นั่นเอง
แม้ว่าใบขับขี่ตลอดชีพจะไม่สามารถทำได้แล้วในยุคปัจจุบัน แต่ผู้ที่มีใบขับขี่แบบนี้ก็ไม่ต้องตกใจไปเพราะคุณสามารถใช้งานใบขับขี่ใบเดิมได้ แม้ว่าใบขับขี่ใบเดิมอาจเก่าหรือเสื่อมโทรมตามอายุการใช้งานไป คุณก็สามารถติดต่อขนส่งทางบกให้ออกใบขับขี่ตลอดชีพใบใหม่ได้เช่นกัน (ขนส่งจะออกใบขับขี่แบบตลอดชีพให้ใหม่เฉพาะผู้ที่เคยมีใบเก่ามาแล้วเท่านั้น)
ใบขับขี่ตลอดชีพ ต้องเปลี่ยนใหม่หรือไม่ อยากขอใบขับขี่ตลอดชีพต้องทำอย่างไร?
หลายคนคงรู้ถึงข้อดีของใบขับขี่ตลอดชีพ และอยากได้มาครอบครอง แต่ประเด็นคือจะทำเรื่องขอด้อย่างไร? ปัจจุบันยังทำได้หรือไม่? ซึ่งเราขอดับฝันทุกท่านด้วยการบอกว่าตอนนี้ไม่สามารถขอใบขับขี่ตลอดชีพได้แล้ว เพราะใบขับขี่แบบนี้ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 แล้ว หากคุณติดต่อทำใบขับขี่ตอนนี้ก็จะได้ใบขับขี่บุคคลปกติที่ต้องต่ออายุทุก ๆ 5 ปี เท่านั้น เนื่องจากนโยบายของกรมขนส่งทางบกที่ต้องการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนมากขึ้น ด้วยการให้ผู้ขับขี่ต้องมาทดสอบสมรรถภาพบ่อย ๆ ว่าพร้อมในการขับขี่หรือไม่ ซึ่งเป็นการช่วยคัดกรองให้คนขับรถรุ่นใหม่ขับขี่อย่างมีคุณภาพมากขึ้น เท่านั้น ถ้าใครยังมีใบขับขี่ตลอดชีพอยู่ก็ถือว่าโชคดี ไม่ต้องมาต่อใบขับขี่หรือทดสอบสมรรถภาพทุก ๆ 5 ปี นั่นเอง
ใบขับขี่ตลอดชีพหายต้องสอบใหม่หรือไม่ จะยังได้ใบขับขี่ตลอดชีพอยู่หรือเปล่า?
เพราะในปัจจุบัน ไม่มีการออกใบขับขี่ตลอดชีพให้สำหรับผู้ใช้รถอีกต่อไปแล้ว ทำให้ใครหลายคนที่ถือครองใบขับขี่แบบนี้อาจจะกังวลว่า ถ้าใบขับขี่หายจะต้องสอบใหม่หรือไม่ ก็สามารถคลายกังวลได้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องสอบใหม่ เพราะเราสามารถติดต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อทำบัตรใหม่ได้เลย เนื่องจากกรมขนส่งทางบกจะมีข้อมูลและประวัติการถือใบขับขี่และประเภทการอนุญาตของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว รวมไปถึงการทำบัตรใหม่ก็ยังคงได้รับเป็นใบขับขี่ตลอดชีพอยู่เช่นกัน
เอกสารที่ต้องใช้กรณีใบขับขี่ตลอดชีพสูญหาย
- บัตรประชาชน หรือเอกสารยืนยันตัวตนที่หน่วยงานราชการออกให้
- ใบแจ้งความ (กรณีเป็นใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สาธารณะหรือ แท็กซี่)
ขั้นตอนการจองคิวใบขับขี่ตลอดชีพใหม่
ในปัจจุบันนั้นการต่ออายุใบขับขี่หรือการทำบัตรใหม่มีความสะดวกสบายมากขึ้น เพียงแค่เราจองคิวการทำใบขับขี่ล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ที่รองรับทั้งระบบ Android และ iOS เริ่มต้นจากการเลือกรายชื่อสำนักงานขนส่งใกล้บ้าน จากนั้นเลือกประเภทบริการงานใบอนุญาต พร้อมกรอกรายละเอียดต่างๆ ในระบบและทำการเลือกวันเวลาที่สะดวก ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้เราก็สามารถเข้าไปที่สำนักงานขนส่งพร้อมเอกสารตามวันเวลาที่นัด เพื่อขอใบขับขี่ตลอดชีพใบใหม่โดยไม่ต้องรอคิวยาวอีกต่อไป
ใบขับขี่ตลอดชีพควรถูกยกเลิกหรือไม่?
นับว่าเป็นประเด็นทางสังคมกันมาสักพักแล้วกับปัญหาใบขับขี่ตลอดชีพ เพราะผู้ที่ครอบครองใบขับขี่ประเภทนี้มักเป็นผู้สูงอายุที่ทำใบขับขี่ก่อนปี พ.ศ. 2546 ซึ่งประเด็นก็คือผู้สูงอายุบางคนที่มีใบขับขี่ตลอดชีพเริ่มประสบปัญหาด้านร่างกาย สายตา การตัดสินใจ จนเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนบ่อยครั้ง ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าควรมีมาตรการให้ผู้ที่มีใบขับขี่ตลอดชีพเข้ามาทดสอบสมรรถภาพร่างกายใหม่หรือไม่
จากสถิติสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่ามีผู้ใช้งานใบขับขี่ตลอดชีพ 12 ล้านคน รวมถึงผู้ขับขี่ในช่วงอายุ 50 - 80 ปี นั้น มีการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากกว่าช่วงอายุ 25 - 50 ปี อย่างเห็นได้ชัด จึงอนุมานได้ว่ายิ่งถึงวัยชราภาพ สมรรถภาพร่างกายย่อมเสื่อมถอยทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจริง ๆ นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโรคร้ายและอาการป่วยต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน เส้นประสาท ฯลฯ อาจทำให้เกิดภาวะหมดสติเฉียบพลัยขณะขับขี่ได้เช่นกัน การมีใบขับขี่ตลอดชีพจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สร้างความเสี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนน
ปัญหาของใบขับขี่ตลอดชีพนั้นยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และต้องมีการประเมินสถิติและผลวิจัยอื่น ๆ มาประกอบ เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ไม่ว่าทิศทางใบขับขี่ตลอดชีพในอนาคตนั้นจะออกมาเป็นเช่นไรเรามิอาจคาดการณ์ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรายังสามารถดูแลและปกป้องความปลอดภัยของตัวเราเองได้ก็คือการขับขี่ด้วยความไม่ประมาทและเคารพต่อกฎจราจร
เห็นได้ชัดเลยว่า ใบขับขี่นั้นมีความสำคัญกับผู้ใช้รถมากจริงๆ เพราะมีผลทางกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้น อย่าลืมพกใบขับขี่ไว้กับตัวเสมอเมื่อมีการขับขี่รถยนต์ ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญกับผู้ใช้รถไม่แพ้กันเลยก็คือ การทำ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้กับรถที่เราขับขี่เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจว่า เรามีความคุ้มครองที่เพียงพอสำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ หากยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกใช้ความคุ้มครองแบบไหน ลองให้บริษัทประกันในเครือ Rabbit Care เป็นคำตอบที่ตรงกับโจทย์ความต้องการของคุณ เพราะประกันชั้น1 ที่ Rabbit Car เริ่มต้นเพียง 10,000 บาท และไม่เพียงแค่มอบความคุ้มครอง แต่ยังรวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทั้งบริการช่วยเหลือบนท้องถนน มีรถใช้ระหว่างซ่อม เพราะ Rabbit care ให้คุณมากกว่าความคุ้มครอง
ถ้ามีใบขับขี่ตลอดชีพ ควรซื้อประกันรถยนต์ชั้นไหนดี
การเลือกซื้อประกันรถยนต์ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น สภาพการใช้งานรถ งบประมาณ และความต้องการความคุ้มครอง แม้ว่าจะมีใบขับขี่ตลอดชีพแล้วก็ไม่เกี่ยวกับการเลือกประเภทประกันภัยรถโดยตรง ดังนั้นสามารถพิจารณาได้ตามความต้องการดังนี้:
1. ประกันชั้น 1
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด รวมถึงการซ่อมรถตัวเองและคู่กรณี ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝัน เช่น รถชน รถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ
- ข้อดี : คุ้มครองครบถ้วนทั้งรถเราและคู่กรณี รวมถึงกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด
- ข้อเสีย : ค่าเบี้ยประกันแพงที่สุดเมื่อเทียบกับชั้นอื่นๆ
2. ประกันชั้น 2+
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่จ่ายเบี้ยประกันน้อยกว่า โดยเฉพาะกรณีรถชน รถหาย หรือไฟไหม้
- ข้อดี : เบี้ยประกันถูกกว่าและยังครอบคลุมกรณีรถหายและไฟไหม้
- ข้อเสีย : ไม่คุ้มครองกรณีรถชนโดยไม่มีคู่กรณี เช่น ขับชนกำแพงหรือเสาไฟฟ้า
3. ประกันชั้น 2
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกันไว้เพื่อคุ้มครองคู่กรณี แต่อาจจะเพิ่มความคุ้มครองพิเศษ เช่น กรณีรถหาย หรือไฟไหม้
- ข้อดี : เบี้ยประกันค่อนข้างถูกและยังคุ้มครองรถที่เอาประกันในกรณีรถหายและไฟไหม้
- ข้อเสีย : ไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
4. ประกันชั้น 3+
เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถไม่บ่อย หรือมีการใช้งานในพื้นที่ที่ความเสี่ยงต่ำ และต้องการความคุ้มครองเฉพาะกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเท่านั้น
- ข้อดี : เบี้ยประกันถูกที่สุดเมื่อเทียบกับประกันชั้น 1 และ 2+
- ข้อเสีย : ไม่คุ้มครองกรณีรถหายหรือไฟไหม้ และความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
5. ประกันชั้น 3
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกันไว้เพื่อคุ้มครองคู่กรณีเท่านั้น เช่น รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือรถเก่า
- ข้อดี : ค่าเบี้ยประกันถูกที่สุด
- ข้อเสีย : คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของคู่กรณีเท่านั้น ไม่คุ้มครองรถของเรา
ดังนั้น ถ้าคุณต้องการความคุ้มครองสูงสุดและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แนะนำให้เลือก ประกันชั้น 1 แต่หากต้องการประหยัดและยังคงมีความคุ้มครองเพียงพอในกรณีฉุกเฉิน ควรพิจารณา ประกันชั้น 2+ หรือ ชั้น 3+ ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานรถและงบประมาณที่คุณมี