ภูสอยดาว ฉบับคนรักเที่ยวแต่งบไม่เป็นใจ
ประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัวเเล้ว แต่เอ๊ะทำไมยังรู้สึกไม่หนาวสักที อยากสัมผัสอากาศหนาวอะ เอาอย่างนี้ Rabbit Care มีที่เที่ยวที่จะทำให้คุณฟินกับอากาศหนาว แม้ไม่ต้องไปถึงเชียงใหม่ เพราะเราจะพาคุณไป ภูสอยดาว
เมื่อไม่นานมานี้ Rabbit Care ได้ขึ้นไปพิชิตมาแล้ว บอกเลยไม่ใช่เล่นๆ ก็ภูสอยดาวเนี่ยถือเป็นยอดเขาสูงอันดับ 4 ในประเทศไทย เชียวนะ ได้ยินแบบนี้ทำหลายคนถอดใจแล้วใช่ไหม แต่จริงๆ มันไม่ได้ยากเลย เดี๋ยว Rabbit Care จะเป็นไกด์พาเที่ยวให้เอง
เริ่มต้นเดินทางไปพิชิต ภูสอยดาว ฉบับคนรักเที่ยวแต่งบไม่เป็นใจ
บอกไว้ก่อนเลย ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะความอยากเที่ยวล้วนๆ ติดตรงที่งบมันมีจำกัดนี่สิ แต่ไม่ได้เราต้องทำตามเสียงหัวใจ ยังไงก็ต้องไปหาเพื่อน แพลนทริป ฟิตร่างกาย จัดไป 3 วัน 2 คืน พร้อมลุย!
ด้วยความที่งบน้อยเราเลือกที่จะนั่งรถไฟจากสถานีกรุงเทพฯ ไปลงสถานีพิษณุโลก นั่งรถไฟชั้น 3 ขบวนที่ 51 ออกจากกรุงเทพฯ 22.00 น. ถึงพิษณุโลก 04.37 น. (เวลาอาจจะไม่แน่นอน) เรานัดพี่เก่ง คนขับรถสองแถวที่จะพาไปส่งอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตอนตี 5
และแล้วพี่เก่งก็มา จากสถานีพิษณุโลกไปอุทยานแห่งชาติภูสอบดาว ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หลับยาวๆ ไปเลย แต่ระหว่างทางพี่เก่งจะแวะ ตลาดชาติตระการ ซื้อเสบียงระหว่างขึ้นภู แล้วก็เตรียมเสบียงไว้อยู่ข้างบน 3 วัน 2 คืน ทริปนี้เราไปกัน 5 คน เราลงเงินกองกลางกันคนละ 1,200 บาท
เราซื้อทั้งเสบียงของสดของแห้ง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ น้ำดื่ม ข้าวกลางวัน ลูกอม เอาไว้ทานระหว่างเดินขึ้นภู ถ้าไม่มีพวกนี้คือ จบเกม!
เมื่อซื้อเสบียงเสร็จ เราก็นั่งรถพี่เก่งไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงอุทยานประมาณ 9 โมง เติมพลังด้วยข้าวเช้าจากอุทยาน อ๋องานนี้เราไม่จ้างลูกหาบ แบกเสบียง แบกเต็นท์ แบกเองหมด ขึ้นภูแบบมีอรรถรสสุดๆ แต่ถ้าร่างกายใครไม่ฟิตแนะนำจ้างลูกหาบก็ได้
หลังจากเสียค่าเข้าอุทยาน ค่ากางเต็นท์ เรายังต้องเสียค่าขยะ 200 บาท ซึ่งเป็นค่ามัดจำ ถ้าขาลงเราเอาขยะของเราลงมาด้วย เราจะได้ 200 บาท คืน
ก้าวแรกของการเดินขึ้น ภูสอยดาว ขุ่นพระฉันมาทำอะไรที่นี่!
ด้วยความบ้าบวกกับความลุย มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย ที่จะแบกกระเป๋า 10 กิโล ขึ้นภูสอยดาว ยิ่งภูสอยดาวเป็นยอดเขาสูงอันดับ 4 ของประเทศไทย ความสูง 2,102 เมตร แล้วเส้นทางคือ ชันมาก บางจุดก็มีบันได บางจุดก็ไม่มีต้องใช้มือ ใช้ไม้ค้ำ ปีนขึ้นไป
จากจุดเริ่มต้นไปยังลานสน ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร จะต้องผ่านเนินทั้ง 5 ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง แล้วเนินสุดท้ายคือ เนินมรณะ แค่ชื่อก็ถอดใจแล้วใช่ไหม พอขึ้นจริงๆ เนินส่งญาติ กับเนินมรณะเนี่ยแหละที่หินสุด ชันสุด อยากโยนกระเป๋าที่แบกมาทิ้งไว้กลางทางเลย
ต้องบอกหเลยว่าเนินส่งญาติคือ ไม่ธรรมดากว่าจะผ่านมาได้เหงื่อแตก เหนื่อยร่างแทบขาด เราเลยแวะกินข้าวเที่ยงเติมพลังสักหน่อย ข้าวเหนียวไก่ย่างช่วยชีวิตได้ดีจริงๆ ให้เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง ถึงจะเป็นทางชันบ้างแต่เดินชิลล์ๆ ได้เลย
ไม่ทันขาดคำ เราก็มาถึงเนินมรณะซะแล้ว แค่ชื่อก็ทำเอาใจสั่น แต่ไม่ได้มันต้องไปต่อจะหันหลังกลับตอนนี้ไม่ได้แล้ว ลุย!
เนินปราบเซียนว่ายากแล้ว เนินมรณะคือ ยากกว่าค! แง…เหนื่อยมาก ต้องแวะพักบ่อยๆ แล้วแดดก็ร้อนมาก แต่บอกเลยวิวข้างบนคือที่สุดจริงๆ มองวิวแล้วลืมไปเลยว่าเคยเหนื่อย พร้อมลุยให้ถึงลานสน เดินต่อไม่รอแล้วนะ
ในที่สุดเราก็มาถึงป้าย “ผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว” ด้านบนตอน 16:00 น. ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง! ถ่ายรูปสักนิด แล้วเดินไปลานสนจุดกางเต็นท์เลย
ด้านบนจะมีจุดกางเต็นท์ มีห้องน้ำแยกชายหญิงแต่จะต้องตักน้ำจากลำธารธรรมชาติ ที่แสนเย็นยะเยือกมาอาบ แล้วก็ด้านบนมีน้ำดื่มจากน้ำฝนด้วย รสชาติไม่แย่ ไม่มีกลิ่น แถมเย็นสดชื่นเหมือนดื่มน้ำเย็นด้วยล่ะ
ถึงเวลากางเต็นท์ เรามาร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ระหว่างที่พวกเรากำลังยุ่งกับเต็นท์ อยู่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานวิ่งมาแล้วบอกว่า “ไปดูพระอาทิตย์ตกเร็ว วันก่อนๆ ฝนตกไม่เห็นเลยนะ เพิ่งมีวันนี้” เอ้าพูดขนาดนี้วางเต็นท์เลย รออะไร
หลังจากดูพระอาทิตย์ตกเราก็รีบมาจัดเต็นท์ต่อ ทำอาหารเย็นแสนอร่อย เช่าเตาถ่าน ซื้อถ่าน ย่างหมูกิน ท่ามกลางอุณหภูมิ 12 องศา ฟินสุด แต่อุณหภูมิขนาดนี้แน่นอนว่า เรื่องอาบน้ำขอยกยอดไปอีกวันก็แล้วกัน ทำใจไม่ได้ที่ต้องโดนน้ำเย็นขนาดนี้~
เที่ยวบนลานสนต่อไม่รอแล้วนะ
หลังจากที่หลับเต็มตื่นแล้ว วันที่ 2 เราจะเที่ยวบนลานสนให้เต็มอิ่มกันเลย ในเดือนพฤศจิกายน อุทยานภูสอยดาว จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นยอดภูสอยดาว แต่เราไปเดือนตุลาคมทำให้ส่วนนี้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้น แต่ด้านบนก็มีที่เที่ยวให้เที่ยวเยอะเลย เดี๋ยวเราจะมาแนะนำให้รู้จักเอง
ลานสนเป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ เป็นที่ราบบนภูสอยดาว ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,633 เมตร มีพันธุ์ไม้ที่เป็นไฮไลท์ประจำที่นี้อย่าง ต้นสนสามใบ ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ และในช่วงฤดูฝนเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี จะมีดอกหงอนนาคสีม่วงขึ้นให้เห็น ให้นักท่องเที่ยวได้ไปชมกัน
น้ำตกสายทิพย์
น้ำตกขนาดเล็กบนลานสน มีทั้งสิ้น 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร ด้วยความที่สภาพป่ามีความชุ่มชื้น จึงมีต้นมอสส์สีเขียวขึ้นปกคลุมตามก้อนหิน ทางลงไปดูน้ำตกอาจจะยากสักนิด
ตามหาหลักเขตแดนระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เนื่องจากอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพราะฉะนั้นด้านบนจะมีหลักเขตไทยลาวอยู่นั่นเอง แต่ต้องเดินหาหน่อย แล้วอย่าเดินไปฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวล่ะ ไม่งั้นโดนจับไม่รู้ด้วยนะ ว้าย…
ใครอยากไปเที่ยวต่างประเทศเพียงแค่ไม่กี่ก้าวล่ะก็ ตามหาหลักเขตแดนให้เจอล่ะ
ชมพระอาทิตย์ตกดินสุดฟิน
แม้ลานสนแห่งนี้จะไม่ขึ้นชื่อเรื่องพระอาทิตย์ตก แต่บอกเลยว่าการเฝ้ามองพระอาทิตย์ตกท่ามกลางอากาศเย็นๆ ลมแรงๆ รายล้อมไปด้วยต้นสน มันก็จะฟินหน่อยๆ กระซิบสักนิดแถวๆ ที่ดูพระอาทิตย์มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วยนะจ๊ะ
ตกดึกเงยหน้ามองหาทางช้างเผือก
ลานสนนับเป็นแลนด์มาร์กอันดับต้นๆ ของเหล่าช่างภาพที่มาตามล่าทางช้างเผือก ณ ดอยสอยดาว ที่นี่คือที่สุดของการดูดาวจริง ๆ ท้องฟ้าจำลอง ก็สู้ไม่ได้ เพราะแค่คุณเงยหน้าขึ้นไป คุณก็จะเจอดาวเต็มท้องฟ้าแบบนับไม่ถ้วน แถมยังเห็นทางช้างเผือกอีก นึกว่าฝันไป
วันที่ 3 ของทริป และแล้ววันกลับก็มาถึง ไม่อยากลงดอยสอยดาวเลย แง…บอกลาลานสน บ๊ายบายดอกหงอนนาค ขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยานด้านบนที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับเรา
ถึงเวลาลงเราลงมาพร้อมกับขยะจากด้านบนของภูสอยดาว เพื่อนำมาทิ้งข้างล่างเราก็จะได้เงินมัดจำ 200 บาท แล้วรู้ไหม ขาลงเราทำเวลาได้ดีมากๆ ใช้เวลาลงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น! ผิดกับขาขึ้นเลย
เพราะลงมาเร็วเวลาเลยเหลือ เราแวะเล่นน้ำตกสักนิด อาบน้ำ กินข้าวเที่ยง นั่งรถสองแถวพี่เก่งไปที่สถานีรถไฟพิษณุโลก ขึ้นรถไฟขบวน 52 จากสถานีพิษณุโลกลงสถานีกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ ครั้งหน้าเราจะมาพิชิตยอดภูสอยดาวอีกรอบแน่นอน
ค่าเสียหายสำหรับทริปภูสอยดาวนี้ ตลอด 3 วัน 2 คืน เราลงเงินกองกลางคนละ 1,200 บาท 5 คนก็ 5,000 ใช้ออกค่าใช้จ่ายดังนี้
- ค่าเหมารถสองแถวไปกลับ 3,000 บาท
- ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 x 5 = 200 บาท
- ค่ากางเต็นท์บนลานสนคนละ 30 x 5 = 150 บาท
- ค่าเช่าอุปกรณ์ทำครัว 190 บาท
- ค่าอาหาร ค่าเสบียง ค่าน้ำ ค่าขนม ตลอดทั้งทริป 1,500 บาท
- ค่าอื่นๆ 500 บาท
- ส่วนค่ารถไฟไปกลับรวมแล้ว 398 บาท (ส่วนนี้ต่างคนต่างออก)
รวมค่าเสียหายที่โดนไป 1,598 บาท ตลอดทั้งทริป 3 วัน 2 คืน งบน้อย แต่สนุกสุดขีด ! เราก็เที่ยวได้ แต่ทั้งนี้เราสามารถเลือกทริปได้ว่าจะไปถูกหรือแพง ร่างกายฟิตแพงก็แบกขึ้นไปเองประหยัดค่าลูกหาบ ไม่อยากนั่งรถไฟจะนั่งรถทัวร์ก็ได้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ซึ่งสำหรับทริภูสอยดาวสายลุยแบบนี้ หากใครอยากเที่ยวแบบสบายใจ ฟินสุด ๆ แรบบิท แคร์ แนะนำ ประกันอุบัติเหตุ อุ่นใจคุ้มครองตลอดทั้งทริป
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี