
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
ถึงแม้เราจะเข้าสู่ปีพุทธศักราชใหม่กันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับเราไม่ว่าจะปีไหน ๆ ก็คือ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เจ้าฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีฤทธิ์ไม่เบากับร่างกายของเรา ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเป็นกังวลเรื่องปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการสูดรับเอาฝุ่น PM 2.5 เข้าร่างกายเป็นอย่างมาก วันนี้น้องแคร์จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับค่าฝุ่น PM 2.5 ให้ดีมากขึ้น เพื่อเตรียมตัววางแผนรับมือให้อยู่หมัด!
ฝุ่น PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและมีขนาดเล็กมากจนขนในรูจมูกของคนเราไม่สามารถที่จะทำหน้าที่กรองฝุ่นได้เลย ฝุ่นที่เราสูดเข้าจมูกจึงสามารถที่จะแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และกระแสเลือดได้ทันที โดยที่เราไม่สามารถรู้ตัวได้เลย เป็นพาหะนำสารอื่น ๆ อย่างเช่น สารปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ เข้ามาสู่ร่างกายของเราได้ ซึ่งหากวันไหนที่มีปริมาณฝุ่นสะสมในอากาศปริมาณสูงมาก ๆ สภาพอากาศในวันนั้นก็จะดูคล้ายท้องฟ้ามีหมอกหรือมีควัน ก็อาจทำให้ไม่สามารถแยกออกได้ว่าสภาพอากาศนั้นเป็นฝุ่นหรือหมอก ควันกันแน่
คำว่า PM นั้น ย่อมาจากคำว่า Particulate Matters ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้สำหรับการตรวจวัดคุณภาพอากาศ และสำหรับตัวเลข 2.5 ก็คือ ค่าอนุภาคของฝุ่นละอองในอากาศที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของฝุ่นที่วัดได้หน่วยเป็นไมครอน และเป็นฝุ่นละอองประเภทละเอียด (Final Particles) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั่นเอง
สำหรับสาเหตุของการเกิดปัญหาค่าฝุ่น PM 2.5 นั้น หลัก ๆ แล้วจะมาจากแหล่งกำเนิดใหญ่ ๆ 2 แหล่ง คือ
ต้องบอกว่าสำหรับใครที่สุขภาพร่างกายของคุณค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรง การได้รับฝุ่นละอองในระยะแรก ๆ ก็อาจจะยังไม่มีผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนกับร่างกายของคุณมากนัก อาการจำพวกแสบตา แสบจมูก เจ็บคอ อาจจะไม่เกิดขึ้นกับคุณมากเท่ากับคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ในระยะยาวหากคุณได้รับฝุ่นติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ สะสมในร่างกายทุก ๆ วัน ท้ายที่สุดก็อาจจะก่อให้เกิดอาการผิดปกติกับร่างกายของคุณภายหลังได้
ซึ่งระบบร่างกายที่จะมีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ ระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายมีฝุ่นละอองในอากาศปริมาณสูง การหายใจเอาฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในร่างกายสิ่งแรกที่จะรู้สึกได้ทันที คือ อาการแสบจมูก เจ็บคอ ร่วมกับอาการไอและมีเสมหะ และสำหรับใครที่มีโรคประจำตัว อย่าง โรคภูมิแพ้ โรคเกี่ยวกับปอด ก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากค่าฝุ่น PM 2.5 นี้ สามารถทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้ง่าย และเมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน ระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดและโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วยได้เช่นกัน
นอกจากนี้ฝุ่นละอองขนาดเล็กแบบนี้ยังมีผลกระทบกับผิวหนังได้อีกด้วย เนื่องจากขนาดที่เล็กมาก ๆ เล็กมากกว่ารูขุมขน ฝุ่น PM 2.5 จึงสามารถแทรกซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังของเราได้โดยง่าย ทำให้เกิดอาการแพ้ เกิดผื่นคันบนผิวหนัง ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง รวมไปถึงการเกิดโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ในบุคคลที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย
เบื้องต้นเราสามารถรับรู้ถึงระดับความุรนแรงของค่าฝุ่น PM 2.5 ได้จากการวัด ค่า AQI (Air Quality Index) หรือดัชนีคุณภาพอากาศ ช่วยคำนวณสภาพอากาศโดยเทียบจากมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศทั่วไปของสารมลพิษทางอากาศ ได้แก่ PM 1.0 PM 2.5 ก๊าซโอโซน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
โดยเกณฑ์การวัดระดับความรุนแรงของค่าฝุ่น PM 2.5 โดยค่าดัชนีคุณภาพอากาศหรือ AQI มีดังนี้
ผลข้างเคียงของการได้รับค่าฝุ่น PM 2.5 เป็นระยะเวลานานอาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป เพราะการที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ระบบต่าง ๆ ของร่างกายของเราได้อย่างง่ายดายไม่สามารถป้องกันได้ตลอดเวลานั้น แน่นอนว่านำมาซึ่งผลกระทบกับร่างกายของเราอย่างแน่นอน และอาการเบื้องต้นที่เราจะสามารถจับสังเกตความผิดปกติของตนเองได้ หลังจากรับฝุ่นสะสมเป็นเวลานาน ก็จะมีอาการจากความรุนแรงขั้นต้นไปจนถึงความรุนแรงขั้นสูง ดังต่อไปนี้
ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจกันก่อนว่าเจ้าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 นี้ ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่มีการเกิดปัญหาฝุ่นมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว แต่มนุษย์เราอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อน ดำเนินชีวิตกันตามปกติจนไม่ทันได้สังเกตและตระหนักถึง จนวันหนึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเป็นเรื่องที่มีการนำมาพูดถึงปัญหากันอย่างจริง ๆ จัง ๆ มากขึ้น ก็เลยทำให้เกิดการตระหนักกับปัญหานี้มากขึ้นนั่นเอง
โดยช่วงระยะเวลาที่ค่าฝุ่นจะเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าปกติเป็นพิเศษ ส่วนมากก็จะเป็นช่วงฤดูหนาว ที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลความกดอากาศสูงมาจากทางตอนเหนือ ส่งผลให้พื้นดินมีการคายความร้อนออกมาอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นช่วงว่างให้อากาศร้อนและฝุ่นต่าง ๆ สะสมตัวอยู่ในอากาศมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถไหลผ่านอากาศไปได้ ช่วงฤดูหนาวจึงเป็นช่วงที่จะมีการสะสมของฝุ่นเยอะมากเป็นพิเศษนั่นเอง และก็จะค่อย ๆ เบาบางลงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนที่ท้องฟ้าโปร่งมรน้ำฝนมาช่วยในการชะล้างปริมาณฝุ่นในอากาศนั่นเอง
ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องของสภาพอากาศแล้ว การเกิดฝุ่น PM 2.5 ของแต่ละภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา กระทบด้วย โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาในการเกิดฝุ่นได้คร่าว ๆ ดังนี้
สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยในการป้องกันตัวเองจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ได้เป็นอย่างดีก็คือ การสวมอุปกรณ์ป้องกันฝุ่น อย่างเช่น หน้ากาก N95 ซึ่งควรจะสวมเป็นประจำเมื่อจะต้องออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ กลางแจ้งหรือในที่ที่มีมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้เรายังสามารถป้องกันตนเองจากฝุ่น ด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการเบื้องต้นในการดูแลตนเองให้พ้นจากการถูกฝุ่น PM 2.5 เล่นงาน ที่น้องแคร์นำมาฝากกัน แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คน สามารถนำไปปฏิบัติตามได้สบาย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องของฝุ่นจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป
สมัยนี้อะไร ๆ ก็มีผลกระทบกับสุขภาพของคนเราไปซะหมด ดังนั้นนอกจากการวางแผนรับมือสถานการณ์ฝุ่นแล้ว การวางแผนทำประกันสุขภาพร่วมด้วย ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโรคร้ายมักจะชอบมาเคาะประตูหน้าบ้านเราแบบไม่ทันให้เราได้ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่เสมอ ใครที่มีประกันสุขภาพที่มีค่ารักษาพยาบาลมากเพียงพอก็จะได้เปรียบมากกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้หนักใจ ใครที่กำลังมองหาประกันสุขภาพอยู่ตอนนี้ก็คลิกเข้ามาหาซื้อที่แรบบิท แคร์ได้เลย ไม่ต้องลังเล!
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทความแคร์สุขภาพ
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
โรคพุ่มพวงคืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?