รถน้ำท่วม ถ้าเกิดความเสียหาย จะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ในแต่ละระดับความรุนแรง

Thirakan T
ผู้เขียน: Thirakan T Published: March 11, 2024
Thirakan T
Thirakan T
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology
คะน้าใบเขียว
แก้ไขโดย: คะน้าใบเขียว Last edited: February 21, 2024
คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct
Natthamon
ตรวจทาน: Natthamon Last edited: February 22, 2024
Natthamon
Natthamon
ทำงานเกี่ยวข้องกับวงการประกันรถยนต์และยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2019 ในหลากหลายตำแหน่งทั้ง SEO Specialist, Senior Executive, SEO / Web Analytics และ SEO Content Writer ในบริษัทประกันรถยนต์่และรถมือสองชั้นนำ นอกจากนั้น ยังเคยอยู่ในแวดวงสื่อมวลชนนานถึง 3 ปีในตำแหน่งนักข่าวไอทีนิตยสารชื่อดังแวดวง E-Commerce ด้านการศึกษาจบระดับชั้นปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รถน้ำท่วม

เวลาที่ฤดูฝนเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว พื้นที่บางส่วนอาจกลายเป็นโซนรับน้ำ จนมีความเสี่ยงรถน้ำท่วมมากกว่าปกติ ด้วยความเสี่ยงที่ต้องเผชิญหน้ากับมวลน้ำที่อาจคาดเดาไม่ได้ในแต่ละวัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใช้งานรถ ใช้งานถนนในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักมีน้ำท่วม ควรรู้ คือ ความเสียในแต่ละระดับเมื่อรถน้ำท่วม และเมื่อเกิดความเสียหายจะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ ถ้าหากต้องเตรียมตัวขับรถลุยน้ำท่วมทำอย่างไรถึงจะสามารถฝ่าได้ปลอดภัย สุดท้ายประกันรถยนต์ดูแลครอบคลุมรถน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน กรณีไหนเคลมได้ไม่ได้บ้าง

ความเสีย 3 ระดับเมื่อรถน้ำท่วม

สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ คือ ระดับ 1 ถึง 3 ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถด้วย ฉะนั้นการศึกษาเพิ่มเติมความรู้ เกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อรถน้ำท่วม โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ระดับน้ำสูง ควรติดตามอ่านข้อมูลในหัวข้อย่อยดังต่อไปนี้


รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1

รถน้ำท่วมระดับ 1 ความเสียหายที่น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ แต่ยังไม่ขึ้นไปถึงเบาะที่นั่ง จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน 

  • ระบบเบรก ผ้าเบรกทั้ง 4 ล้อ
  • ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท 
  • พรมที่อยู่ภายในรถ 

หากรถน้ำท่วมหรือจอดแช่น้ำอยู่นาน อาจทำให้เกิดสนิมบริเวณใต้ท้องรถ ส่งผลต่อระบบที่กล่าวมาทั้งหมด จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเช็กว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายหรือไม่ ส่วนเรื่องพรมภายในสามารถซักตากให้แห้งได้ เป็นอุปกรณ์ที่ดูแลได้ง่ายที่สุดแล้ว

รถน้ำท่วมระดับ 1 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

การที่ล้อและอุปกรณ์ช่วงล่างถูกแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดสนิมใต้ท้องรถ รวมถึงระบบเบรกทั้ง 4 ล้อและผ้าเบรกที่ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบไดสตาร์ทว่ามีความเสียหายมากน้อยเพียงใด แม้ว่าไดสตาร์ทจะถูกออกแบบมาให้ทนทาน แต่หากได้รับความเสียหายจากน้ำอาจส่งผลกระทบต่อรถในระยะยาวได้

หากพื้นพรมรถมีความชื้นแสดงว่าน้ำได้ซึมเข้ามาภายในรถ ควรถอดพรมไปซักและตากแดดเพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้น และอย่าลืมทำความสะอาดภายนอกรถให้สะอาด โดยเฉพาะใต้ท้องรถและซุ้มล้อต่างๆ เพื่อขจัดคราบโคลนและสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ครับ


รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2

รถน้ำท่วมระดับ 2 ความเสียหายที่น้ำท่วมเริ่มขึ้นมาถึงระดับเบาะที่นั่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เพราะหากเทียบด้วยระดับสายตาจากภายนอก ก็แช่น้ำไปเกือบครึ่งคันแล้ว จึงมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน 

  • ระบบห้องเครื่อง ECU แบตเตอร์รี่ พัดลมระบายความร้อน เครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ น้ำมันเกียร์ ขั้วสายไฟต่างๆ พวงมาลัยไฟฟ้า EPS
  • ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย
  • เบาะรถยนต์
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประตูทุกฝั่ง
  • ตู้แอร์
  • ช่วงเก็บสัมภาระด้านท้าย

จากภาพรวมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในรถน้ำท่วมระดับนี้ เมื่อน้ำลดลงไปแล้ว ห้ามสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือบิดกุญแจไปที่ ON อย่างเด็ดขาด เนื่องจากน้ำอาจเข้าไปทำความเสียหายภายในเครื่องยนต์แล้ว รวมถึงต้องรีบถอดขั้วแบตเตอร์รี่ออกทันที หลังจากนั้นต้องทำการตรวจสอบว่าระบบระบายความร้อน หรือระบบของเหลวทั้งหมดภายในรถยนต์ได้รับความเสียหายขนาดไหน ควรต้องมีการไล่ความชื้น และทำการซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

รถน้ำท่วมระดับ 2 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

ในกรณีที่น้ำท่วมสูงถึงเบาะนั่ง เมื่อได้นำรถขึ้นจากน้ำแล้ว ห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะระดับน้ำที่สูงอาจทำให้เกิดความเสียหายภายในห้องเครื่องยนต์ ดังนั้นควรถอดแบตเตอรี่ทันที และตรวจสอบอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น พัดลมระบายความร้อนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายเทความร้อนของห้องเครื่อง หรือกล่อง ECU ที่เป็นสมองกลไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับระบบเกียร์ ระบบของเหลว และระบบหล่อลื่นต่าง ๆ ของรถด้วย และควรทำการไล่ความชื้นออกจากตัวรถให้เสร็จสิ้น

รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3

รถน้ำท่วมระดับ 3 ความเสียหายในจุดนี้ถือว่าสูงสุด เพราะถูกน้ำท่วมขึ้นมาจนถึงคอนโซลหน้า หรือโดนท่วมจนมิดหลังคา ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน จะเกิดความเสียหายทั่วทั้งคันรถ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมว่านานหรือไม่ แต่อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน 

  • ห้องเครื่องยนต์ ที่กรองอากาศ ไดชาร์จ ชุดหัวเทียน มอเตอร์ปัดน้ำฝน แผงคอนเดนเซอร์แอร์ หม้อน้ำ
  • ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย
  • ระบบของเหลวภายใน เช่น มันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
  • มอเตอร์พัดลมแอร์
  • หน้าปัดเรือนไมล์ภายใน ไม่ว่าจะเป็นแบบอนาล็อก หรือดิจิทัล
  • ขอบยางรอบด้านประตูรถยนต์
  • อุปกรณ์ทั้งหมดภายในห้องโดยสาร เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟฟ้า หน้าจอควบคุม ระบบถุงลมนิรภัย, ซันรูฟ และอื่น ๆ
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสีรอบตัวถังรถยนต์

หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ มีข้อควรระวังขั้นต้นเหมือนกับความเสียหายระดับ 2 ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ห้ามบิดกุญแจไปที่ ON ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมรถยนต์จากศูนย์บริการ หรืออู่ที่ไว้ใจได้ในใกล้เคียง เนื่องจากต้องมีรถลากหรือรถยกเข้ามานำรถที่ถูกน้ำท่วมออกไปซ่อมแซมโดยละเอียดใหม่ทุกระบบ

รถน้ำท่วมระดับ 3 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

ระดับที่ 3 เป็นระดับที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้วต้องห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON โดยเด็ดขาดเช่นเดียวกับระดับที่ 2 เนื่องจากอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายอย่างหนักและระบบไฟฟ้าลัดวงจรได้ ควรถอดแบตเตอรี่ทันที หากพบว่า น้ำเข้า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่

หลังจากนั้นควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบของเหลวทุกประเภทภายในรถ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำหล่อเย็นหรือสารหล่อลื่นอย่างจาระบี อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่แผงหน้าปัทม์และคอนโซลควรถอดออกมาทำความสะอาดและเป่าให้แห้งทั้งหมด โดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดำเนินการได้

รถน้ำท่วม ค่าซ่อมเท่าไหร่

  • รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ A ประเมินไว้ที่ 8,000 – 10,000 บาท การซ่อมแซม คือ ตรวจสอบแบตเตอรี่, ทำความสะอาดตัวรถ, ถอดเบาะ, ถอดคอนโซลกลาง, ถอดพรม, ถอดคันเร่ง, ถอดลูกยางอุดรู, ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง, ทำความสะอาดระบบเบรกและล้อรถ, ทำความสะอาดสายไฟ และตรวจสอบท่อไอเสียทั้งหมด
  • รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ B ประเมินไว้ที่ 15,000 – 20,000 บาท การซ่อมแซมเพิ่มเติมจากระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย, ระบบกรองทั้งหมด, ตรวจระบบจุดระเบิด,  ตรวจสอบชุดเพลาขับ, ทำความสะอาดแผงประตู, ตรวจชุดสวิตช์สตาร์ท กล่องควบคุมไฟ กล่องฟิวส์, ทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย, ทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า และทำความสะอาดไดร์สตาร์ทและไดร์ชาร์จ
  • รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ C ประเมินไว้ที่ 25,000 – 30,000 บาท การซ่อมแซมเพิ่มเติมจากระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอิมโมบิไลเซอร์, ไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้, ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์จ ลูกรอก, ทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง, เช็กระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า, ตรวจเช็กตู้แอร์ มอเตอร์ โบเวอร์ เซ็นเซอร์, ถอดหน้าปัดเรือนไมล์, เช็กระบบไฟฟ้าและสายไฟ, เช็กระบบเครื่องเสียง วิทยุ แอมป์ ลำโพง, เช็กระบบเบรก, ตรวจชุดหม้อลมเบรก แม่ปั๊ม และตรวจสอบลูกปืนล้อ ลูกหมาก ลูกยางต่าง ๆ ผ้าหลังคา ไปจนถึงแมกกาไลต์
  • รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ D ประเมินไว้ที่ 30,000 บาทขึ้นไป จะมีการซ่อมแซมเพิ่มขึ้นจากระดับ A B และ C คือ การทำสีตัวถังใหม่ (กรณีนี้มีโอกาสที่บริษัทประกันภัยอาจตัดสินใจคืนทุนได้เช่นกัน)
  • รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ E บริษัทอาจต้องประเมินคืนทุนประกันทั้งหมด

อ้างอิงค่าข้อมูลค่าซ่อมแซมราคากลาง กรณีรถน้ำท่วม จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

สิ่งที่ควรรู้ก่อนขับรถลุยน้ำ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่ต้องขับรถลุยน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถน้ำท่วม คือ ประเมินระดับน้ำที่ต้องขับผ่านไป โดยเทียบจากระดับสายตาของรถยนต์คันด้านหน้าที่กำลังผ่านไป, หากต้องขับลุย ควรลดระดับความเร็ว ปิดแอร์ ไม่ให้พัดลมทำงาน ป้องกันความเสียหายระบบไฟฟ้า, ตรวจสอบสภาพเบื้องต้นโดยรอบรถยนต์หลังลุยน้ำ และสุดท้ายทำการไล่ความชื้นภายในส่วนของห้องเครื่องด้วยเครื่องเป่าลม พร้อมกับนำรถยนต์ไปจอดตากแดดเอาไว้พักหนึ่ง ให้มั่นใจว่าน้ำที่ตกค้างบางส่วนแห้งไปจนหมด

รถถูกน้ำท่วม ควรขับอย่างไรเพื่อความปลอดภัยและเครื่องไม่ดับ

ปัญหาสำคัญในการขับรถในช่วงฝนตกหนักคือ การที่รถอาจดับกลางทาง ซึ่งทำให้ไม่แน่ใจว่าจะสตาร์ทใหม่ได้หรือไม่ หรือจะต้องหาวิธีแก้ไขการขับรถในน้ำท่วมอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องขับผ่านน้ำท่วมและฝนตกหนักอีกด้วย ดังนั้นวิธีดูแลรถในช่วงหน้าฝนที่ทำได้ง่ายๆ จึงขอแยกออกเป็นหลายกรณีดังนี้

1. ลดความเร็วก่อนถึงบริเวณน้ำท่วม

เมื่อขับรถในขณะฝนตกและเห็นว่าข้างหน้ามีจุดน้ำท่วมขัง ควรลดความเร็วของรถยนต์ทันที การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเข้าสู่น้ำท่วมอาจทำให้สูญเสียการควบคุมรถ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการชะลอความเร็วจึงควรทำล่วงหน้าก่อนถึงจุดที่น้ำท่วมขัง เพื่อให้การควบคุมรถเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ควรประเมินสถานการณ์ในเส้นทางที่จะเดินทางให้ดีก่อนว่ามีความเสี่ยงที่จะมีน้ำท่วมสูงหรือมีการก่อสร้างในเส้นทางหรือไม่ด้วย

2. หยุดการทำงานของแอร์รถยนต์เมื่อถึงจุดที่น้ำท่วม

การเปิดแอร์จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน และหากน้ำท่วมสูงก็มีความเสี่ยงที่พัดลมจะพัดน้ำเข้าสู่ห้องเครื่อง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รถดับได้ นอกจากนี้ หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฮบริด ก็อาจเกิดไฟฟ้าช็อตและความเสียหายได้เช่นกัน ดังนั้น การปิดแอร์จึงสามารถช่วยลดความเสียหายในส่วนนี้ได้

3. การใช้เกียร์ต่ำ

เมื่อขับรถในช่วงที่มีฝนตกหนัก การเลือกใช้เกียร์ต่ำจะช่วยลดโอกาสในการดับของเครื่องยนต์ลง สำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ควรใช้ประมาณเกียร์ 1 หรือ 2 ในขณะที่รถที่ใช้เกียร์ออโต้ควรเลือกที่เกียร์ L

4. รักษาระยะเบรกให้มากกว่าปกติ 2-3 เท่า

การขับขี่รถยนต์ในช่วงที่มีฝนนั้นมีความเสี่ยงต่อการเผชิญกับถนนที่เปียกชื้น ซึ่งอาจทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ ดังนั้นการรักษาระยะเบรกที่มากกว่าปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าถนนจะลื่น แต่เราก็ยังสามารถรักษาระยะในการเบรกได้อย่างปลอดภัย

5. ลดความเร็วเมื่อขับรถสวนทางกัน

เมื่อขับรถในขณะที่ฝนตกและน้ำท่วมขัง การชะลอความเร็วเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อขับบนถนนที่มีรถสวนทางกัน เช่น ถนนสองเลน ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วเมื่อมองเห็นรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมา เพื่อหลีกเลี่ยงการสาดน้ำและลดความเสี่ยงในการเสียหลักอีกด้วย

6. ขับรถตามรถคันใหญ่ที่มีล้อยกสูง

สำหรับผู้ที่ขับรถเล็กหรือรถที่มีระยะต่ำ หากต้องขับผ่านจุดที่มีน้ำท่วมขัง ควรพยายามติดตามรถคันใหญ่ที่มีล้อยกสูง เนื่องจากกระแสน้ำจะถูกพัดออกจากห้องเครื่อง และช่วยให้เส้นทางปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมเว้นระยะห่างที่เหมาะสมด้วย

7. ควรทำการย้ำเบรกหรือคลัตช์เพื่อไล่น้ำ

สำหรับการดูแลรถในฤดูฝนให้ปลอดภัยและพร้อมใช้งานอีกหนึ่งวิธีคือการย้ำเบรกหรือคลัตช์ เพื่อช่วยในการไล่น้ำออก โดยจะแบ่งเป็นสองกรณี คือ ในกรณีของรถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ควรย้ำคลัตช์เพื่อป้องกันอาการคลัตช์ลื่น ในขณะที่รถยนต์ที่มีระบบเกียร์อัตโนมัติ การย้ำเบรกจะช่วยไล่น้ำออกจากระบบเบรก ทำให้เพิ่มความเสถียรในการเบรกมากยิ่งขึ้น

8. หากเครื่องยนต์ดับในขณะขับรถ ควรหลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถใหม่

หลายคนไม่อยากประสบกับสถานการณ์ที่ขับรถเจอลมฝนแล้วเครื่องยนต์ดับ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเข็นรถไปข้างทางและไม่ควรพยายามสตาร์ทรถอีกครั้ง เพราะการสตาร์ทใหม่อาจทำให้น้ำไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ง่าย และอาจทำให้เกิดความเสียหายตามมา

9. หลีกเลี่ยงการดับเครื่องยนต์ทันทีเมื่อถึงจุดหมาย

เมื่อขับรถผ่านพ้นจุดน้ำท่วมขังแล้ว สิ่งที่ควรทำคือควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำ และย้ำเบรกหรือคลัตช์เป็นระยะ เพื่อไล่ความชื้นออกจากเครื่องยนต์ นอกจากนี้ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันทีหลังจากลุยน้ำท่วม เนื่องจากยังมีน้ำค้างในท่อไอเสียที่อาจไหลย้อนกลับเข้ามาได้ สำหรับการดูแลเครื่องยนต์หลังจากขับรถลุยน้ำท่วม รถกระบะจะมีความเสี่ยงต่อความเสียหายน้อยกว่า เพราะถูกออกแบบให้เป็นรถยกสูงที่สามารถขับลุยได้ แตกต่างจากรถเก๋งที่ต้องประเมินความเสียหายของเครื่องยนต์และใส่ใจในการดูแลมากกว่า

ขั้นตอนการดูแลรถกรณีรถน้ำท่วม

  1. ถอดขั้วแบตเตอรี่ทันทีเมื่อรถเข้าอู่
  2. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำมันพาวเวอร์ทันที
  3. ทำความสะอาดภายในห้องเครื่องทั้งหมด
  4. ถอดกรองอากาศออกมาตรวจสอบว่า มีน้ำหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าอาจมีน้ำเข้าไปยังชุดท่อรวมไอดี ไม่ควรทำการสตาร์ทเครื่องยนต์เพราะอาจมีน้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้และอาจทำให้ก้านสูบคดได้
  5. ขอให้ถอดหัวเทียน (สำหรับเครื่องเบนซิน) หรือหัวฉีด (สำหรับเครื่องดีเซล) ออกมาทุกสูบ เพื่อทำการสตาร์ทไล่น้ำออกจากห้องเผาไหม้
  6. ถอดล้างทำความสะอาดกล่องฟิวส์ กล่องควบคุมเครื่อง (ECU) กล่อง Air Bag กล่องเกียร์ (ถ้ามี) และให้ถอดปลั๊กไฟออกมาฉีดน้ำยาไล่ความชื้นตามขั้วปลั๊กทั้งหมด
  7. ทำความสะอาดภายในรถ ทำความสะอาดเบาะแล้วตากในร่ม (ห้ามตากแดด)
  8. ถอดทำความสะอาดตู้แอร์ คอยล์เย็นแอร์ และถอดทำความสะอาดแผงนวมหน้าปัทม์มาตรวัดต่างๆ ในเรือนไมล์
  9. ทำความสะอาดและตรวจสอบไดชาร์จและมอเตอร์สตาร์ท
  10. ถอดทำความสะอาดและตรวจสอบชุดลูกรอกสายพานไทม์มิ่งต่างๆ
  11. ถอดทำความสะอาดฝ้าหลังคา
  12. ถอดทำความสะอาดและตรวจสอบระบบเบรกทั้ง 4 ล้อ

กรณีที่เป็นรถเกียร์ออโต้

ตรวจสอบน้ำมันเกียร์เพื่อดูว่ามีน้ำปะปนในน้ำมันหรือไม่ หากน้ำมันเกียร์มีน้ำจะมีลักษณะคล้ายโยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ เมื่อพบปัญหานี้ให้อู่ดำเนินการถอดเกียร์ออกจากเครื่อง จากนั้นให้คว่ำทอร์คคอนเวเตอร์และล้างโดยการเติมน้ำมันเบนซินเข้าไปแล้วหมุนทอร์คตามเข็มนาฬิกาประมาณ 2-3 ครั้ง สำหรับตัวเกียร์ให้ทำการผ่า ล้างทำความสะอาด และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้ายให้เรียบร้อย

กรณีที่เป็นรถเกียร์ธรรมดา

ถอดหัวหมูออกแล้วทำความสะอาดชุดคลัทช์ พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้าย นอกจากนี้ ในกรณีที่รถโดนน้ำท่วม เราจำเป็นต้องตรวจสอบระดับน้ำสูงสุดที่ท่วมตัวรถ เนื่องจากระดับน้ำที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อชิ้นส่วนที่ต้องมีการตรวจสอบและทำความสะอาดด้วย

รถน้ำท่วม

รถน้ำท่วม เคลมประกันได้ไหม

รถน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ถูกระบุเอาไว้ในเงื่อนไขของประกันรถยนต์อยู่แล้ว เพียงแต่จะมีการแบ่งความเสียหายจากน้ำท่วมเป็น 2 ประเภท คือ ความเสียหายโดยสิ้นเชิง และความเสียหายบางส่วน ซึ่งจะมีแนวทางการดูแลคุ้มครองของประกันรถยนต์ที่แตกต่างกันออกไป 

  • ความเสียหายโดยสิ้นเชิง: เป็นความเสียหายรถน้ำท่วมแบบที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เนื่องจากมีความเสียหายหนัก เพราะรถถูกน้ำท่วมจนมิดคัน บริษัทประกันอาจมีการเสนอคืนทุนประกันให้ 70-80%
  • ความเสียหายบางส่วน: กรณีที่บริษัทประกันภัยประเมินแล้วว่า ยังสามารถซ่อมแซมให้รถยนต์กลับมามีสภาพเดิมได้ จะมีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ 

รถน้ำท่วม ประกันแต่ละชั้นจะคุ้มครองอย่างไร

เมื่อเกิดเหตุการณ์ รถน้ำท่วม การคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์จะแตกต่างกันตามประเภทของประกันที่คุณทำไว้ โดยมีรายละเอียดการคุ้มครองของประกันแต่ละชั้น ดังนี้:

1. ประกันรถยนต์ชั้น 1 – คุ้มครองเต็มรูปแบบ

  • ประกันรถชั้น1 คุ้มครอง ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม ทั้งในกรณีที่รถจอดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือขับรถผ่านพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมแล้วได้รับความเสียหาย
  • ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งระบบเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
  • หากรถเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ บริษัทประกันอาจพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามมูลค่ารถในกรณีรถเสียหายทั้งคัน (Total Loss)

2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ – คุ้มครองในกรณีภัยพิเศษ

  • ประกันชั้น 2+ จะคุ้มครอง ความเสียหายจากภัยพิเศษ เช่น รถหาย ไฟไหม้ และ น้ำท่วม ด้วย
  • ความคุ้มครองจากน้ำท่วมจะคล้ายกับประกันชั้น 1 คือ ครอบคลุมการซ่อมแซมความเสียหายจากน้ำท่วม รวมถึงระบบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
  • อย่างไรก็ตาม ประกันภัย2+ จะไม่ครอบคลุมกรณีเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี เช่น การขับชนสิ่งของ หรือการเสียหายอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับภัยพิเศษ

3. ประกันรถยนต์ชั้น 2 – คุ้มครองเฉพาะรถหายและไฟไหม้

  • ประกันชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง ประกันรถชั้น2 ไม่คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วม โดยจะคุ้มครองเฉพาะกรณีรถหายหรือไฟไหม้เท่านั้น
  • หากรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเอง

4. ประกันรถยนต์ชั้น 3+ – ไม่คุ้มครองกรณีน้ำท่วม

  • ประกัน3+ คุ้มครองกรณีอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะ แต่ ไม่คุ้มครองกรณีภัยพิเศษ เช่น น้ำท่วม รถหาย หรือไฟไหม้
  • หากรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเอง

5. ประกันรถยนต์ 3 – ไม่คุ้มครองกรณีน้ำท่วม

  • ประกันชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้าง คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของคู่กรณีในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิดเท่านั้น ไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกันในทุกกรณี รวมถึงน้ำท่วม
  • ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งหมดหากรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

ดังนั้น หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมสูง การเลือกทำ ประกันชั้น 1 หรือชั้น 2+ จะเหมาะสมที่สุดในการรับความคุ้มครองกรณีน้ำท่วม

พอใกล้ถึงช่วงฤดูฝนขึ้นมา คนที่ใช้งานรถยนต์ต่างกังวลเรื่องรถน้ำท่วมกันในหลาย ๆ ส่วน เนื่องจากบางฤดูกาลเราไม่อาจคาดเดาได้เลย ว่าปีไหนฝนจะตกหนักมากหรือน้อย จนเกิดอาการน้ำท่วมขังแบบที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ฉะนั้นการเลือกทำประกันรถยนต์เผื่อเอาไว้ คงเป็นสิ่งที่คนรักรถควรตัดสินใจพิจารณาประกันรถยนต์ที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งานไว้ด้วยจะดีที่สุด

โดย แรบบิท แคร์ สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างละเอียด และครบถ้วนมากที่สุด รวมถึงการนำเสนอส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 70% สำหรับลูกค้าของเรา และยังให้คุณเลือกผ่อน 0% ได้นานถึง 10 เดือนเช่นกัน หากสนใจติดต่อเข้ามาได้เลยที่เบอร์ 1438 (ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง)

สรุป

สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1 จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน เช่น ระบบเบรก ผ้าเบรกทั้ง 4 ล้อ, ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท, พรมที่อยู่ภายในรถ
  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2 มีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน เช่น ระบบห้องเครื่อง ECU, ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย, เบาะรถยนต์, ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประตูทุกฝั่ง, ตู้แอร์ รวมถึง ช่วงเก็บสัมภาระด้านท้าย
  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3 อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมทันที

โดยค่าซ่อมรถน้ำท่วมจะประเมินราคาเริ่มต้นที่ 8,000 ไปจนถึง 30,000 บาท ขึ้นไป และในกรณีที่รถน้ำท่วมมากจนซ่อมไม่ได้ ทางประกันรถฯจะต้องประเมินคืนทุนประกันทั้งหมด

ที่มา

บทความแคร์รถยนต์

Rabbit Care Blog Image 100991

แคร์รถยนต์

รวมเรื่อง เอกสารรถ ฉบับสมบูรณ์ รู้จริง ครบจบในที่เดียว

การเป็นเจ้าของรถยนต์สักคัน ไม่ได้มีแค่เรื่องของการเลือกซื้อรุ่นที่ใช่ หรือการดูแลรักษาให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเท่านั้น แต่เรื่องของ “เอกสารรถยนต์”
Natthamon
08/05/2025
Rabbit Care Blog Image 100627

แคร์รถยนต์

วิธีล้างรถด้วยตัวเอง วิธีล้างรถยนต์ให้สะอาด ไร้คราบกวนใจ

รถยนต์คู่ใจ ไม่ว่าใครก็อยากให้สวยงามอยู่เสมอ แต่การดูแลรักษารถให้สะอาดนั้นไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด การล้างรถเป็นประจำช่วยขจัดคราบสกปรก ฝุ่นละออง
Natthamon
24/04/2025
Rabbit Care Blog Image 100642

แคร์รถยนต์

สู้ภัยฤดูร้อน เคล็ดลับดูแลรถหน้าร้อนที่คุณต้องรู้

ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอากาศร้อนระอุ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่แผดเผา การดูแลรักษารถยนต์หน้าร้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม
Natthamon
23/04/2025