แคร์รถยนต์

รถน้ำท่วม ถ้าเกิดความเสียหาย จะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ในแต่ละระดับความรุนแรง

ผู้เขียน : Thirakan T
Thirakan T

Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct

close
linkedin icon
ตรวจทาน : Natthamon
Natthamon

ทำงานเกี่ยวข้องกับวงการประกันรถยนต์และยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2019 ในหลากหลายตำแหน่งทั้ง SEO Specialist, Senior Executive, SEO / Web Analytics และ SEO Content Writer ในบริษัทประกันรถยนต์่และรถมือสองชั้นนำ นอกจากนั้น ยังเคยอยู่ในแวดวงสื่อมวลชนนานถึง 3 ปีในตำแหน่งนักข่าวไอทีนิตยสารชื่อดังแวดวง E-Commerce ด้านการศึกษาจบระดับชั้นปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

close
linkedin icon
Published: March 11,2024
  
Last edited: March 3, 2024
  
Reviewed: March 4, 2024
รถน้ำท่วม

เวลาที่ฤดูฝนเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว พื้นที่บางส่วนอาจกลายเป็นโซนรับน้ำ จนมีความเสี่ยงรถน้ำท่วมมากกว่าปกติ ด้วยความเสี่ยงที่ต้องเผชิญหน้ากับมวลน้ำที่อาจคาดเดาไม่ได้ในแต่ละวัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใช้งานรถ ใช้งานถนนในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักมีน้ำท่วม ควรรู้ คือ ความเสียในแต่ละระดับเมื่อรถน้ำท่วม และเมื่อเกิดความเสียหายจะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ ถ้าหากต้องเตรียมตัวขับรถลุยน้ำท่วมทำอย่างไรถึงจะสามารถฝ่าได้ปลอดภัย สุดท้ายประกันรถยนต์ดูแลครอบคลุมรถน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน กรณีไหนเคลมได้ไม่ได้บ้าง

ห้ามพลาด! ประกันรถชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 1,000.-/เดือน

รถของคุณยี่ห้ออะไร

< กลับไป
< กลับไป

ระบุยี่ห้อรถของคุณ

ระบุปีผลิตรถของคุณ

ความเสีย 3 ระดับเมื่อรถน้ำท่วม

สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ คือ ระดับ 1 ถึง 3 ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถด้วย ฉะนั้นการศึกษาเพิ่มเติมความรู้ เกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อรถน้ำท่วม โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ระดับน้ำสูง ควรติดตามอ่านข้อมูลในหัวข้อย่อยดังต่อไปนี้


รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1

รถน้ำท่วมระดับ 1 ความเสียหายที่น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ แต่ยังไม่ขึ้นไปถึงเบาะที่นั่ง จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน 

หากรถน้ำท่วมหรือจอดแช่น้ำอยู่นาน อาจทำให้เกิดสนิมบริเวณใต้ท้องรถ ส่งผลต่อระบบที่กล่าวมาทั้งหมด จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเช็กว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายหรือไม่ ส่วนเรื่องพรมภายในสามารถซักตากให้แห้งได้ เป็นอุปกรณ์ที่ดูแลได้ง่ายที่สุดแล้ว

รถน้ำท่วมระดับ 1 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

การที่ล้อและอุปกรณ์ช่วงล่างถูกแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดสนิมใต้ท้องรถ รวมถึงระบบเบรกทั้ง 4 ล้อและผ้าเบรกที่ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบไดสตาร์ทว่ามีความเสียหายมากน้อยเพียงใด แม้ว่าไดสตาร์ทจะถูกออกแบบมาให้ทนทาน แต่หากได้รับความเสียหายจากน้ำอาจส่งผลกระทบต่อรถในระยะยาวได้

หากพื้นพรมรถมีความชื้นแสดงว่าน้ำได้ซึมเข้ามาภายในรถ ควรถอดพรมไปซักและตากแดดเพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้น และอย่าลืมทำความสะอาดภายนอกรถให้สะอาด โดยเฉพาะใต้ท้องรถและซุ้มล้อต่างๆ เพื่อขจัดคราบโคลนและสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ครับ


รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2

รถน้ำท่วมระดับ 2 ความเสียหายที่น้ำท่วมเริ่มขึ้นมาถึงระดับเบาะที่นั่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เพราะหากเทียบด้วยระดับสายตาจากภายนอก ก็แช่น้ำไปเกือบครึ่งคันแล้ว จึงมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน 

จากภาพรวมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในรถน้ำท่วมระดับนี้ เมื่อน้ำลดลงไปแล้ว ห้ามสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือบิดกุญแจไปที่ ON อย่างเด็ดขาด เนื่องจากน้ำอาจเข้าไปทำความเสียหายภายในเครื่องยนต์แล้ว รวมถึงต้องรีบถอดขั้วแบตเตอร์รี่ออกทันที หลังจากนั้นต้องทำการตรวจสอบว่าระบบระบายความร้อน หรือระบบของเหลวทั้งหมดภายในรถยนต์ได้รับความเสียหายขนาดไหน ควรต้องมีการไล่ความชื้น และทำการซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

รถน้ำท่วมระดับ 2 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

ในกรณีที่น้ำท่วมสูงถึงเบาะนั่ง เมื่อได้นำรถขึ้นจากน้ำแล้ว ห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะระดับน้ำที่สูงอาจทำให้เกิดความเสียหายภายในห้องเครื่องยนต์ ดังนั้นควรถอดแบตเตอรี่ทันที และตรวจสอบอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น พัดลมระบายความร้อนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายเทความร้อนของห้องเครื่อง หรือกล่อง ECU ที่เป็นสมองกลไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับระบบเกียร์ ระบบของเหลว และระบบหล่อลื่นต่าง ๆ ของรถด้วย และควรทำการไล่ความชื้นออกจากตัวรถให้เสร็จสิ้น

รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3

รถน้ำท่วมระดับ 3 ความเสียหายในจุดนี้ถือว่าสูงสุด เพราะถูกน้ำท่วมขึ้นมาจนถึงคอนโซลหน้า หรือโดนท่วมจนมิดหลังคา ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน จะเกิดความเสียหายทั่วทั้งคันรถ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมว่านานหรือไม่ แต่อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน 

หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ มีข้อควรระวังขั้นต้นเหมือนกับความเสียหายระดับ 2 ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ห้ามบิดกุญแจไปที่ ON ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมรถยนต์จากศูนย์บริการ หรืออู่ที่ไว้ใจได้ในใกล้เคียง เนื่องจากต้องมีรถลากหรือรถยกเข้ามานำรถที่ถูกน้ำท่วมออกไปซ่อมแซมโดยละเอียดใหม่ทุกระบบ

รถน้ำท่วมระดับ 3 ควรตรวจเช็กหรือปฏิบัติอย่างไร

ระดับที่ 3 เป็นระดับที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้วต้องห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON โดยเด็ดขาดเช่นเดียวกับระดับที่ 2 เนื่องจากอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายอย่างหนักและระบบไฟฟ้าลัดวงจรได้ ควรถอดแบตเตอรี่ทันที หากพบว่า น้ำเข้า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่

หลังจากนั้นควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบของเหลวทุกประเภทภายในรถ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำหล่อเย็นหรือสารหล่อลื่นอย่างจาระบี อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่แผงหน้าปัทม์และคอนโซลควรถอดออกมาทำความสะอาดและเป่าให้แห้งทั้งหมด โดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดำเนินการได้

รถน้ำท่วม ค่าซ่อมเท่าไหร่

อ้างอิงค่าข้อมูลค่าซ่อมแซมราคากลาง กรณีรถน้ำท่วม จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

สิ่งที่ควรรู้ก่อนขับรถลุยน้ำ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่ต้องขับรถลุยน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถน้ำท่วม คือ ประเมินระดับน้ำที่ต้องขับผ่านไป โดยเทียบจากระดับสายตาของรถยนต์คันด้านหน้าที่กำลังผ่านไป, หากต้องขับลุย ควรลดระดับความเร็ว ปิดแอร์ ไม่ให้พัดลมทำงาน ป้องกันความเสียหายระบบไฟฟ้า, ตรวจสอบสภาพเบื้องต้นโดยรอบรถยนต์หลังลุยน้ำ และสุดท้ายทำการไล่ความชื้นภายในส่วนของห้องเครื่องด้วยเครื่องเป่าลม พร้อมกับนำรถยนต์ไปจอดตากแดดเอาไว้พักหนึ่ง ให้มั่นใจว่าน้ำที่ตกค้างบางส่วนแห้งไปจนหมด

รถถูกน้ำท่วม ควรขับอย่างไรเพื่อความปลอดภัยและเครื่องไม่ดับ

ปัญหาสำคัญในการขับรถในช่วงฝนตกหนักคือ การที่รถอาจดับกลางทาง ซึ่งทำให้ไม่แน่ใจว่าจะสตาร์ทใหม่ได้หรือไม่ หรือจะต้องหาวิธีแก้ไขการขับรถในน้ำท่วมอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องขับผ่านน้ำท่วมและฝนตกหนักอีกด้วย ดังนั้นวิธีดูแลรถในช่วงหน้าฝนที่ทำได้ง่ายๆ จึงขอแยกออกเป็นหลายกรณีดังนี้

1. ลดความเร็วก่อนถึงบริเวณน้ำท่วม

เมื่อขับรถในขณะฝนตกและเห็นว่าข้างหน้ามีจุดน้ำท่วมขัง ควรลดความเร็วของรถยนต์ทันที การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเข้าสู่น้ำท่วมอาจทำให้สูญเสียการควบคุมรถ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการชะลอความเร็วจึงควรทำล่วงหน้าก่อนถึงจุดที่น้ำท่วมขัง เพื่อให้การควบคุมรถเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ควรประเมินสถานการณ์ในเส้นทางที่จะเดินทางให้ดีก่อนว่ามีความเสี่ยงที่จะมีน้ำท่วมสูงหรือมีการก่อสร้างในเส้นทางหรือไม่ด้วย

2. หยุดการทำงานของแอร์รถยนต์เมื่อถึงจุดที่น้ำท่วม

การเปิดแอร์จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน และหากน้ำท่วมสูงก็มีความเสี่ยงที่พัดลมจะพัดน้ำเข้าสู่ห้องเครื่อง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รถดับได้ นอกจากนี้ หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฮบริด ก็อาจเกิดไฟฟ้าช็อตและความเสียหายได้เช่นกัน ดังนั้น การปิดแอร์จึงสามารถช่วยลดความเสียหายในส่วนนี้ได้

3. การใช้เกียร์ต่ำ

เมื่อขับรถในช่วงที่มีฝนตกหนัก การเลือกใช้เกียร์ต่ำจะช่วยลดโอกาสในการดับของเครื่องยนต์ลง สำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ควรใช้ประมาณเกียร์ 1 หรือ 2 ในขณะที่รถที่ใช้เกียร์ออโต้ควรเลือกที่เกียร์ L

4. รักษาระยะเบรกให้มากกว่าปกติ 2-3 เท่า

การขับขี่รถยนต์ในช่วงที่มีฝนนั้นมีความเสี่ยงต่อการเผชิญกับถนนที่เปียกชื้น ซึ่งอาจทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ ดังนั้นการรักษาระยะเบรกที่มากกว่าปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าถนนจะลื่น แต่เราก็ยังสามารถรักษาระยะในการเบรกได้อย่างปลอดภัย

5. ลดความเร็วเมื่อขับรถสวนทางกัน

เมื่อขับรถในขณะที่ฝนตกและน้ำท่วมขัง การชะลอความเร็วเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อขับบนถนนที่มีรถสวนทางกัน เช่น ถนนสองเลน ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วเมื่อมองเห็นรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมา เพื่อหลีกเลี่ยงการสาดน้ำและลดความเสี่ยงในการเสียหลักอีกด้วย

6. ขับรถตามรถคันใหญ่ที่มีล้อยกสูง

สำหรับผู้ที่ขับรถเล็กหรือรถที่มีระยะต่ำ หากต้องขับผ่านจุดที่มีน้ำท่วมขัง ควรพยายามติดตามรถคันใหญ่ที่มีล้อยกสูง เนื่องจากกระแสน้ำจะถูกพัดออกจากห้องเครื่อง และช่วยให้เส้นทางปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมเว้นระยะห่างที่เหมาะสมด้วย

7. ควรทำการย้ำเบรกหรือคลัตช์เพื่อไล่น้ำ

สำหรับการดูแลรถในฤดูฝนให้ปลอดภัยและพร้อมใช้งานอีกหนึ่งวิธีคือการย้ำเบรกหรือคลัตช์ เพื่อช่วยในการไล่น้ำออก โดยจะแบ่งเป็นสองกรณี คือ ในกรณีของรถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ควรย้ำคลัตช์เพื่อป้องกันอาการคลัตช์ลื่น ในขณะที่รถยนต์ที่มีระบบเกียร์อัตโนมัติ การย้ำเบรกจะช่วยไล่น้ำออกจากระบบเบรก ทำให้เพิ่มความเสถียรในการเบรกมากยิ่งขึ้น

8. หากเครื่องยนต์ดับในขณะขับรถ ควรหลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถใหม่

หลายคนไม่อยากประสบกับสถานการณ์ที่ขับรถเจอลมฝนแล้วเครื่องยนต์ดับ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเข็นรถไปข้างทางและไม่ควรพยายามสตาร์ทรถอีกครั้ง เพราะการสตาร์ทใหม่อาจทำให้น้ำไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ง่าย และอาจทำให้เกิดความเสียหายตามมา

9. หลีกเลี่ยงการดับเครื่องยนต์ทันทีเมื่อถึงจุดหมาย

เมื่อขับรถผ่านพ้นจุดน้ำท่วมขังแล้ว สิ่งที่ควรทำคือควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำ และย้ำเบรกหรือคลัตช์เป็นระยะ เพื่อไล่ความชื้นออกจากเครื่องยนต์ นอกจากนี้ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันทีหลังจากลุยน้ำท่วม เนื่องจากยังมีน้ำค้างในท่อไอเสียที่อาจไหลย้อนกลับเข้ามาได้ สำหรับการดูแลเครื่องยนต์หลังจากขับรถลุยน้ำท่วม รถกระบะจะมีความเสี่ยงต่อความเสียหายน้อยกว่า เพราะถูกออกแบบให้เป็นรถยกสูงที่สามารถขับลุยได้ แตกต่างจากรถเก๋งที่ต้องประเมินความเสียหายของเครื่องยนต์และใส่ใจในการดูแลมากกว่า

ขั้นตอนการดูแลรถกรณีรถน้ำท่วม

  1. ถอดขั้วแบตเตอรี่ทันทีเมื่อรถเข้าอู่
  2. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำมันพาวเวอร์ทันที
  3. ทำความสะอาดภายในห้องเครื่องทั้งหมด
  4. ถอดกรองอากาศออกมาตรวจสอบว่า มีน้ำหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าอาจมีน้ำเข้าไปยังชุดท่อรวมไอดี ไม่ควรทำการสตาร์ทเครื่องยนต์เพราะอาจมีน้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้และอาจทำให้ก้านสูบคดได้
  5. ขอให้ถอดหัวเทียน (สำหรับเครื่องเบนซิน) หรือหัวฉีด (สำหรับเครื่องดีเซล) ออกมาทุกสูบ เพื่อทำการสตาร์ทไล่น้ำออกจากห้องเผาไหม้
  6. ถอดล้างทำความสะอาดกล่องฟิวส์ กล่องควบคุมเครื่อง (ECU) กล่อง Air Bag กล่องเกียร์ (ถ้ามี) และให้ถอดปลั๊กไฟออกมาฉีดน้ำยาไล่ความชื้นตามขั้วปลั๊กทั้งหมด
  7. ทำความสะอาดภายในรถ ทำความสะอาดเบาะแล้วตากในร่ม (ห้ามตากแดด)
  8. ถอดทำความสะอาดตู้แอร์ คอยล์เย็นแอร์ และถอดทำความสะอาดแผงนวมหน้าปัทม์มาตรวัดต่างๆ ในเรือนไมล์
  9. ทำความสะอาดและตรวจสอบไดชาร์จและมอเตอร์สตาร์ท
  10. ถอดทำความสะอาดและตรวจสอบชุดลูกรอกสายพานไทม์มิ่งต่างๆ
  11. ถอดทำความสะอาดฝ้าหลังคา
  12. ถอดทำความสะอาดและตรวจสอบระบบเบรกทั้ง 4 ล้อ

กรณีที่เป็นรถเกียร์ออโต้

ตรวจสอบน้ำมันเกียร์เพื่อดูว่ามีน้ำปะปนในน้ำมันหรือไม่ หากน้ำมันเกียร์มีน้ำจะมีลักษณะคล้ายโยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ เมื่อพบปัญหานี้ให้อู่ดำเนินการถอดเกียร์ออกจากเครื่อง จากนั้นให้คว่ำทอร์คคอนเวเตอร์และล้างโดยการเติมน้ำมันเบนซินเข้าไปแล้วหมุนทอร์คตามเข็มนาฬิกาประมาณ 2-3 ครั้ง สำหรับตัวเกียร์ให้ทำการผ่า ล้างทำความสะอาด และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้ายให้เรียบร้อย

กรณีที่เป็นรถเกียร์ธรรมดา

ถอดหัวหมูออกแล้วทำความสะอาดชุดคลัทช์ พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้าย นอกจากนี้ ในกรณีที่รถโดนน้ำท่วม เราจำเป็นต้องตรวจสอบระดับน้ำสูงสุดที่ท่วมตัวรถ เนื่องจากระดับน้ำที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อชิ้นส่วนที่ต้องมีการตรวจสอบและทำความสะอาดด้วย

รถน้ำท่วม

รถน้ำท่วม เคลมประกันได้ไหม

รถน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ถูกระบุเอาไว้ในเงื่อนไขของประกันรถยนต์อยู่แล้ว เพียงแต่จะมีการแบ่งความเสียหายจากน้ำท่วมเป็น 2 ประเภท คือ ความเสียหายโดยสิ้นเชิง และความเสียหายบางส่วน ซึ่งจะมีแนวทางการดูแลคุ้มครองของประกันรถยนต์ที่แตกต่างกันออกไป 

พอใกล้ถึงช่วงฤดูฝนขึ้นมา คนที่ใช้งานรถยนต์ต่างกังวลเรื่องรถน้ำท่วมกันในหลาย ๆ ส่วน เนื่องจากบางฤดูกาลเราไม่อาจคาดเดาได้เลย ว่าปีไหนฝนจะตกหนักมากหรือน้อย จนเกิดอาการน้ำท่วมขังแบบที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ฉะนั้นการเลือกทำประกันรถยนต์เผื่อเอาไว้ คงเป็นสิ่งที่คนรักรถควรตัดสินใจพิจารณาประกันรถยนต์ที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งานไว้ด้วยจะดีที่สุด

โดย แรบบิท แคร์ สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างละเอียด และครบถ้วนมากที่สุด รวมถึงการนำเสนอส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 70% สำหรับลูกค้าของเรา และยังให้คุณเลือกผ่อน 0% ได้นานถึง 10 เดือนเช่นกัน หากสนใจติดต่อเข้ามาได้เลยที่เบอร์ 1438 (ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง)


สรุป

สรุปบทความ

สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1 จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน เช่น ระบบเบรก ผ้าเบรกทั้ง 4 ล้อ, ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท, พรมที่อยู่ภายในรถ
  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2 มีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน เช่น ระบบห้องเครื่อง ECU, ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย, เบาะรถยนต์, ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประตูทุกฝั่ง, ตู้แอร์ รวมถึง ช่วงเก็บสัมภาระด้านท้าย
  • รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3 อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมทันที

โดยค่าซ่อมรถน้ำท่วมจะประเมินราคาเริ่มต้นที่ 8,000 ไปจนถึง 30,000 บาท ขึ้นไป และในกรณีที่รถน้ำท่วมมากจนซ่อมไม่ได้ ทางประกันรถฯจะต้องประเมินคืนทุนประกันทั้งหมด

จบสรุปบทความ

ที่มา


 

บทความแคร์รถยนต์

Rabbit Care Blog Image 94418

แคร์รถยนต์

กันสะบัด คือ อะไร มีหน้าที่ช่วยอะไรในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์

หากเป็นเหล่าสิงห์นักบิดสายบิ๊กไบค์ คงรู้จักกันสะบัดกันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเป็นคนนอกวงการที่เพิ่งกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นครั้งแรก
Natthamon
19/09/2024
Rabbit Care Blog Image 94332

แคร์รถยนต์

วิธีเลือกรถผู้หญิงให้ได้รุ่นที่ขับง่าย ขับสบาย มียี่ห้อไหนแนะนำ

พอถึงเวลาที่คุณผู้หญิงต้องเลือกรถสักคัน อาจมีความคิดเข้ามาที่ซับซ้อนว่ารถผู้หญิงต้องเป็นแบบไหน เลือกยังไงถึงจะเหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด
Natthamon
09/09/2024