รถน้ำท่วม ถ้าเกิดความเสียหาย จะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ในแต่ละระดับความรุนแรง
เวลาที่ฤดูฝนเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว พื้นที่บางส่วนอาจกลายเป็นโซนรับน้ำ จนมีความเสี่ยงรถน้ำท่วมมากกว่าปกติ ด้วยความเสี่ยงที่ต้องเผชิญหน้ากับมวลน้ำที่อาจคาดเดาไม่ได้ในแต่ละวัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใช้งานรถ ใช้งานถนนในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักมีน้ำท่วม ควรรู้ คือ ความเสียในแต่ละระดับเมื่อรถน้ำท่วม และเมื่อเกิดความเสียหายจะมีค่าซ่อมเท่าไหร่ ถ้าหากต้องเตรียมตัวขับรถลุยน้ำท่วมทำอย่างไรถึงจะสามารถฝ่าได้ปลอดภัย สุดท้ายประกันรถยนต์ดูแลครอบคลุมรถน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน กรณีไหนเคลมได้ไม่ได้บ้าง
ความเสีย 3 ระดับเมื่อรถน้ำท่วม
สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ คือ ระดับ 1 ถึง 3 ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถด้วย ฉะนั้นการศึกษาเพิ่มเติมความรู้ เกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อรถน้ำท่วม โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ระดับน้ำสูง ควรติดตามอ่านข้อมูลในหัวข้อย่อยดังต่อไปนี้
รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1
รถน้ำท่วมระดับ 1 ความเสียหายที่น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ แต่ยังไม่ขึ้นไปถึงเบาะที่นั่ง จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน
- ระบบเบรก ผ้าเบรกทั้ง 4 ล้อ
- ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท
- พรมที่อยู่ภายในรถ
หากรถน้ำท่วมหรือจอดแช่น้ำอยู่นาน อาจทำให้เกิดสนิมบริเวณใต้ท้องรถ ส่งผลต่อระบบที่กล่าวมาทั้งหมด จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเช็กว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายหรือไม่ ส่วนเรื่องพรมภายในสามารถซักตากให้แห้งได้ เป็นอุปกรณ์ที่ดูแลได้ง่ายที่สุดแล้ว
รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2
รถน้ำท่วมระดับ 2 ความเสียหายที่น้ำท่วมเริ่มขึ้นมาถึงระดับเบาะที่นั่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เพราะหากเทียบด้วยระดับสายตาจากภายนอก ก็แช่น้ำไปเกือบครึ่งคันแล้ว จึงมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน
- ระบบห้องเครื่อง ECU แบตเตอร์รี่ พัดลมระบายความร้อน เครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ น้ำมันเกียร์ ขั้วสายไฟต่างๆ พวงมาลัยไฟฟ้า EPS
- ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย
- เบาะรถยนต์
- ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประตูทุกฝั่ง
- ตู้แอร์
- ช่วงเก็บสัมภาระด้านท้าย
จากภาพรวมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในรถน้ำท่วมระดับนี้ เมื่อน้ำลดลงไปแล้ว ห้ามสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือบิดกุญแจไปที่ ON อย่างเด็ดขาด เนื่องจากน้ำอาจเข้าไปทำความเสียหายภายในเครื่องยนต์แล้ว รวมถึงต้องรีบถอดขั้วแบตเตอร์รี่ออกทันที หลังจากนั้นต้องทำการตรวจสอบว่าระบบระบายความร้อน หรือระบบของเหลวทั้งหมดภายในรถยนต์ได้รับความเสียหายขนาดไหน ควรต้องมีการไล่ความชื้น และทำการซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3
รถน้ำท่วมระดับ 3 ความเสียหายในจุดนี้ถือว่าสูงสุด เพราะถูกน้ำท่วมขึ้นมาจนถึงคอนโซลหน้า หรือโดนท่วมจนมิดหลังคา ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน จะเกิดความเสียหายทั่วทั้งคันรถ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมว่านานหรือไม่ แต่อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน
- ห้องเครื่องยนต์ ที่กรองอากาศ ไดชาร์จ ชุดหัวเทียน มอเตอร์ปัดน้ำฝน แผงคอนเดนเซอร์แอร์ หม้อน้ำ
- ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย
- ระบบของเหลวภายใน เช่น มันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
- มอเตอร์พัดลมแอร์
- หน้าปัดเรือนไมล์ภายใน ไม่ว่าจะเป็นแบบอนาล็อก หรือดิจิทัล
- ขอบยางรอบด้านประตูรถยนต์
- อุปกรณ์ทั้งหมดภายในห้องโดยสาร เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟฟ้า หน้าจอควบคุม ระบบถุงลมนิรภัย, ซันรูฟ และอื่น ๆ
- ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสีรอบตัวถังรถยนต์
หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ มีข้อควรระวังขั้นต้นเหมือนกับความเสียหายระดับ 2 ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ห้ามบิดกุญแจไปที่ ON ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมรถยนต์จากศูนย์บริการ หรืออู่ที่ไว้ใจได้ในใกล้เคียง เนื่องจากต้องมีรถลากหรือรถยกเข้ามานำรถที่ถูกน้ำท่วมออกไปซ่อมแซมโดยละเอียดใหม่ทุกระบบ
รถน้ำท่วม ค่าซ่อมเท่าไหร่
- รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ A ประเมินไว้ที่ 8,000 – 10,000 บาท การซ่อมแซม คือ ตรวจสอบแบตเตอรี่, ทำความสะอาดตัวรถ, ถอดเบาะ, ถอดคอนโซลกลาง, ถอดพรม, ถอดคันเร่ง, ถอดลูกยางอุดรู, ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง, ทำความสะอาดระบบเบรกและล้อรถ, ทำความสะอาดสายไฟ และตรวจสอบท่อไอเสียทั้งหมด
- รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ B ประเมินไว้ที่ 15,000 – 20,000 บาท การซ่อมแซมเพิ่มเติมจากระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย, ระบบกรองทั้งหมด, ตรวจระบบจุดระเบิด, ตรวจสอบชุดเพลาขับ, ทำความสะอาดแผงประตู, ตรวจชุดสวิตช์สตาร์ท กล่องควบคุมไฟ กล่องฟิวส์, ทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย, ทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า และทำความสะอาดไดร์สตาร์ทและไดร์ชาร์จ
- รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ C ประเมินไว้ที่ 25,000 – 30,000 บาท การซ่อมแซมเพิ่มเติมจากระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอิมโมบิไลเซอร์, ไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้, ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์จ ลูกรอก, ทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง, เช็กระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า, ตรวจเช็กตู้แอร์ มอเตอร์ โบเวอร์ เซ็นเซอร์, ถอดหน้าปัดเรือนไมล์, เช็กระบบไฟฟ้าและสายไฟ, เช็กระบบเครื่องเสียง วิทยุ แอมป์ ลำโพง, เช็กระบบเบรก, ตรวจชุดหม้อลมเบรก แม่ปั๊ม และตรวจสอบลูกปืนล้อ ลูกหมาก ลูกยางต่าง ๆ ผ้าหลังคา ไปจนถึงแมกกาไลต์
- รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ D ประเมินไว้ที่ 30,000 บาทขึ้นไป จะมีการซ่อมแซมเพิ่มขึ้นจากระดับ A B และ C คือ การทำสีตัวถังใหม่ (กรณีนี้มีโอกาสที่บริษัทประกันภัยอาจตัดสินใจคืนทุนได้เช่นกัน)
- รถน้ำท่วม ค่าซ่อมระดับ E บริษัทอาจต้องประเมินคืนทุนประกันทั้งหมด
สิ่งที่ควรรู้ก่อนขับรถลุยน้ำ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่ต้องขับรถลุยน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถน้ำท่วม คือ ประเมินระดับน้ำที่ต้องขับผ่านไป โดยเทียบจากระดับสายตาของรถยนต์คันด้านหน้าที่กำลังผ่านไป, หากต้องขับลุย ควรลดระดับความเร็ว ปิดแอร์ ไม่ให้พัดลมทำงาน ป้องกันความเสียหายระบบไฟฟ้า, ตรวจสอบสภาพเบื้องต้นโดยรอบรถยนต์หลังลุยน้ำ และสุดท้ายทำการไล่ความชื้นภายในส่วนของห้องเครื่องด้วยเครื่องเป่าลม พร้อมกับนำรถยนต์ไปจอดตากแดดเอาไว้พักหนึ่ง ให้มั่นใจว่าน้ำที่ตกค้างบางส่วนแห้งไปจนหมด
รถน้ำท่วม เคลมประกันได้ไหม
รถน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ถูกระบุเอาไว้ในเงื่อนไขของประกันรถยนต์อยู่แล้ว เพียงแต่จะมีการแบ่งความเสียหายจากน้ำท่วมเป็น 2 ประเภท คือ ความเสียหายโดยสิ้นเชิง และความเสียหายบางส่วน ซึ่งจะมีแนวทางการดูแลคุ้มครองของประกันรถยนต์ที่แตกต่างกันออกไป
- ความเสียหายโดยสิ้นเชิง: เป็นความเสียหายรถน้ำท่วมแบบที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เนื่องจากมีความเสียหายหนัก เพราะรถถูกน้ำท่วมจนมิดคัน บริษัทประกันอาจมีการเสนอคืนทุนประกันให้ 70-80%
- ความเสียหายบางส่วน: กรณีที่บริษัทประกันภัยประเมินแล้วว่า ยังสามารถซ่อมแซมให้รถยนต์กลับมามีสภาพเดิมได้ จะมีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์
พอใกล้ถึงช่วงฤดูฝนขึ้นมา คนที่ใช้งานรถยนต์ต่างกังวลเรื่องรถน้ำท่วมกันในหลาย ๆ ส่วน เนื่องจากบางฤดูกาลเราไม่อาจคาดเดาได้เลย ว่าปีไหนฝนจะตกหนักมากหรือน้อย จนเกิดอาการน้ำท่วมขังแบบที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ฉะนั้นการเลือกทำประกันรถยนต์เผื่อเอาไว้ คงเป็นสิ่งที่คนรักรถควรตัดสินใจพิจารณาประกันรถยนต์ที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งานไว้ด้วยจะดีที่สุด
โดย แรบบิท แคร์ สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างละเอียด และครบถ้วนมากที่สุด รวมถึงการนำเสนอส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 70% สำหรับลูกค้าของเรา และยังให้คุณเลือกผ่อน 0% ได้นานถึง 10 เดือนเช่นกัน หากสนใจติดต่อเข้ามาได้เลยที่เบอร์ 1438 (ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง)
สรุป
สำหรับความเสียหายเมื่อรถน้ำท่วมจะแบ่งย่อยออกมาได้ 3 ระดับ ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 1 จะมีโอกาสการสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในอยู่ 3 ส่วน เช่น ระบบเบรก ผ้าเบรกทั้ง 4 ล้อ, ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท, พรมที่อยู่ภายในรถ
- รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 2 มีอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ประมาณ 6 ส่วน เช่น ระบบห้องเครื่อง ECU, ไฟรถทั้งด้านหน้าและท้าย, เบาะรถยนต์, ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประตูทุกฝั่ง, ตู้แอร์ รวมถึง ช่วงเก็บสัมภาระด้านท้าย
- รถน้ำท่วมความเสียหายระดับ 3 อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียหาย จะมีอยู่มากถึง 8 ส่วน หากรถน้ำท่วมเจอความเสียหายในระดับนี้ ห้ามสตาร์ตรถอย่างเด็ดขาด ควรถอดแบตเตอร์รี่ออกทันที พร้อมกับติดต่อหาช่างซ่อมทันที
โดยค่าซ่อมรถน้ำท่วมจะประเมินราคาเริ่มต้นที่ 8,000 ไปจนถึง 30,000 บาท ขึ้นไป และในกรณีที่รถน้ำท่วมมากจนซ่อมไม่ได้ ทางประกันรถฯจะต้องประเมินคืนทุนประกันทั้งหมด
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology