โรคอ้วนเป็นอย่างไร แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นโรคอ้วน?
โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน (Obeity) ถือว่าเป็นภาวะที่ร่างกายนั้นมีการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น หรือมากเกินกว่าที่ร่างกายนั้นจะนำมาใช้เผาผลาญได้ จึงได้มีการสะสมพลังงานส่วนเกินนี้ไว้ในรูปแบบที่เรียกว่า “ไขมัน” ตามอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย จนเกิดเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเป็นโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพตามมามากมาย โดยสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าคนไทยเกือบหนึ่งในสามนั้นเป็นโรคอ้วน ซึ่งมากเป็นอันดับสองในอาเซียน รองลงมาจากประเทศมาเลเซีย ส่วนประเทศที่มีประชากรเป็นโรคอ้วนมากที่สุดในโลก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน
แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็น “โรคอ้วน”
- วิธีในการวัดไขมันนั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวัดรอบเอว การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การวัดด้วยเครื่องชั่งมวลไขมัน เป็นต้น แต่วิธีที่ผู้คนนิยมใช้กันมากที่สุดเลยจะเป็นการวัดจากค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว ใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินโรคอ้วนในผู้ที่ใหญ่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยการดูจากค่า BMI ดังนี้
--> ค่า BMI < 18.5 kg/m2 ถือว่า “น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์”
--> ค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 - 22.9 kg/m2 ถือว่า “ปกติ”
--> ค่า BMI อยู่ระหว่าง 23.0 - 24.9 kg/m2 ถือว่า “น้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์”
--> ค่า BMI อยู่ระหว่าง 25.0 - 29.9 kg/m2 ถือว่าเป็น “โรคอ้วน”
--> ค่า BMI < 30 kg/m2 ถือว่าเป็น “โรคอ้วนอันตราย”
และวิธีการคำนวณหาค่า BMI นั้นจะมีสูตร ดังนี้
BMI = น้ำหนักตัว (กก.) / [ส่วนสูง (ม.)]2
ยกตัวอย่าง
BMI = 50 / (1.60)2
BMI = 19.53 kg/m2 (ถือว่าปกติ)
- นอกจากนี้ยังมีวิธีการวัดรอบเอว โดยจะวัดในระดับสะดือพอดี คือ ผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 80 ซม. และผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 ซม. ถือว่าเป็นโรคอ้วน
- ระดับไขมันดี (HDL) ในเลือดต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม./เดซิลิตร (ในผู้ชาย) และระดับไขมันดี (HDL) ในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม./เดซิลิตร (ในผู้หญิง)
- ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่าหรือเท่ากับ 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดขณะที่อดอาหารนั้นสูงกว่าหรือเท่ากับ 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ค่าความดันโลหิตสูงกว่าหรือเท่ากับ 130/85 มิลลิเมตรปรอท
โรคอ้วน สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง?
จากบทความสุขภาพเรื่อง “โรคอ้วน” ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล MedPark ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนไว้ว่าจะมีทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนี้
ปัจจัยภายในของโรคอ้วน
- ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง เป็นต้น
- ความเครียด
- ประสิทธิภาพของระบบการเผาผลาญ
- จิตใจและอารมณ์
- กรรมพันธุ์
- โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น
- อายุที่มากขึ้น
- ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด
- การตั้งครรภ์
- กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing Syndrome)
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism)
ปัจจัยภายนอกของโรคอ้วน
- ขาดการออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่ค่อยขยับร่างกายเท่าที่ควร เคลื่อนไหวร่างกายน้อย
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กินจุบจิบ
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน แป้ง ของหวาน น้ำตาล เป็นต้น
- เศรษฐกิจและสังคมรอบตัว
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- การลดน้ำหนักก่อนหน้านี้ที่ไม่ถูกวิธี
ผลกระทบจากโรคอ้วน
ผู้ที่เป็นโรคอ้วน มักจะมีความเสี่ยงทางสุขภาพและการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น
- ภาวะมีบุตรยากในเพศหญิง และมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย
- ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม
- ปัสสาวะติดเชื้อบ่อย อั้นนานไม่ได้
- อาการปวดข้อ หรือข้อเสื่อมก่อนวัย
- โรคมะเร็งต่าง ๆ
- โรคผิวหนัง เช่น สิวขึ้นผิดปกติ มีกลิ่นตัว ผิวหนังติดเชื้อ ขนดก เป็นต้น
- โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคหัวใจ
- โรคไขมันเกาะตับ นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ
- เหนื่อยง่าย หอบง่าย ความดันปอดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- โรคหยุดหายใจในขณะที่กำลังหลับอยู่
- โรคนอนกรน
- ขาดความมั่นใจในตนเอง เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า
โรคอ้วนมีกี่ประเภท?
โรคอ้วนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. โรคอ้วนทั้งตัว
จะมีไขมันทั้งร่างกายที่มากกว่าปกติ สามารถวัดได้ด้วยค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่มากกว่า 25 kg/m2 จะถือว่าเป็นโรคอ้วน และยังต้องระวังโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคไขข้อ ปวดข้อเข่า ข้อเสื่อม ปวดหลัง ระบบหายใจทำงานติดขัด เป็นต้น
2. โรคอ้วนลงพุง
จะมีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องที่มากกว่าปกติ สามารถวัดได้จากเส้นรอบเอว โดยที่มีวิธีการวัดรอบเอว คือ ผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 80 ซม. และผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 ซม. ถือว่าเป็นโรคอ้วน โดยรอบพุงที่เพิ่มขึ้นทุก 5 ซม. นั้นจะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานมากถึง 3-5 เท่า
โรคอ้วน วิธีรักษามีอะไรบ้าง?
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพิ่มกากใยและวิตามิน ลดปริมาณแคลอรีให้น้อยลง เลือกทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น ผัก ผลไม้ ไขมันดี แป้งเชิงซ้อน เป็นต้น และไม่ควรทานเกิน 1,200 Kcal/วัน
- ดื่มน้ำเปล่าสะอาดวันละ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับสารพิษ รักษาสมดุล และปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม
- เลือกวิธีการปรุงอาหารแบบต้ม แบบนึ่ง และแบบย่าง มากกว่าการทอดหรือการผัด
- ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน
- สูตรควบคุมการกินอาหาร เช่น Intermittent fasting, Atkins, Low carbohydrate หรือ Mediterranean diet เป็นต้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ขึ้นลงบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ เป็นต้น
- ยาลดน้ำหนักทางการแพทย์
- การเข้ารับการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดกระเพาะให้เล็กลง ทั้งแบบ Bypass และ Gastric sleeve การรัดกระเพาะอาหารที่สามารถปรับระดับได้ หรือการผ่าตัดลำไส้เล็กส่วนต้น (Biliopancreatic diversion with duodenal switch) เป็นต้น
- การรักษาแบบอื่น ๆ เช่น การสกัดกั้นสัญญาณประสาท เป็นต้น
ประโยชน์ของการรักษาโรคอ้วน
- เพื่อลดไขมันเลว (LDL-Cholesterol) เพิ่มไขมันดี (HDL-Cholesterol) ลดคอเลสเตอรอล และลดไขมันไตรกลีเซอไรด์
- ช่วยลดการเกิดความดันโลหิตสูง และลดระดับความดันโลหิตสูงให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
- ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
- มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
- ไม่เหนื่อยง่าย สุขภาพดีขึ้น
- ผิวพรรณผ่องใส สิวขึ้นน้อยลง
ในปัจจุบันนี้คนไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเสื่อมหรือ NCDs มากถึง 4 เท่า รวมทั้งประชากรทั่วโลกกว่า 4 ล้านคนก็ได้เสียชีวิตจากการที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนด้วย ดังนั้นเรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวและสำคัญมากพอ ๆ กับปัจจัย 4 ในด้านอื่น ๆ เพราะฉะนั้นการวางแผนดูแลสุขภาพทั้งในปัจจุบันและในอนาคตนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องอาหารการกิน กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและไม่หักโหมจนเกินไป อีกทั้งการทำ ประกันสุขภาพ ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นจากการเจ็บป่วยหรือจากอุบัติเหตุก็ตาม อีกทั้งยังสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยที่แผนประกันสุขภาพนั้นจะมีทั้งหมด 4 ประเภทตามความคุ้มครอง ได้แก่ ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD) ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) ประกันชีวิต (Life Insurance) และประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illness Insurance) ซึ่งทาง แรบบิท แคร์ นั้นก็ได้มีบริการเปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว และตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณได้มากที่สุด อีกทั้งยังหมดห่วงเรื่องของความปลอดภัยได้เลย เพราะแรบบิท แคร์ นั้นเป็นโบรกเกอร์ประกันภัยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงาน คปภ. โดยมีใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัย เลขที่ ว00021/2557 และใบอนุญาตนายหน้าประกันชีวิต เลขที่ ช00011/2559 ซึ่งทางลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ของคปภ.
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ