Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
user profile image
เขียนโดยTawan A.วันที่เผยแพร่: Mar 10, 2023

“ระบบ OBD2” การวิเคราะห์สารพัดประโยชน์ที่รถทุกคันต้องมี!

เชื่อว่าผู้ใช้รถยนต์หลาย ๆ คนเมื่อเจอไฟ Check Engine รูปเครื่องยนต์สีเหลืองขึ้นโชว์มักจะเกิดความรู้สึกตื่นตกใจ เพราะไฟชนิดนี้จะเปิดขึ้นมาแจ้งเตือนว่ามีเครื่องยนต์บางส่วนไม่สมบูรณ์ ให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง และคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความรู้ในการช่างก็มักจะกังวลเพราะไม่รู้ว่าส่วนใดของเครื่องยนต์ที่ผิดปกติ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าถ้าไฟนี้ขึ้นเตือน เราจะยังสามารถขับรถต่อไปได้หรือไม่ มีอันตรายแค่ไหน วันนี้เราจึงจะพามารู้จักกับ OBD2 อุปกรณ์วิเคราะห์ระบบรถยนต์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พร้อมรู้จักวิธีติดตั้งและวิธีใช้ไปพร้อมกัน

OBD2 คืออะไร? มีประโยชน์แค่ไหนในการใช้รถยนต์


OBD2 คือ

On-board Diagnostic ระบบวิเคราะห์การทำงานของรถยนต์ที่จะแจ้งเตือนว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ส่วนซอฟแวร์ หรือเครื่องยนต์ใดบ้าง ซึ่งระบบนี้เป็นมาตรฐานที่กำหนดขี้นร่วมกันโดย สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา (Society of Automotive Engineer: SAE) และองค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ (International Organization for Standardization: ISO) ที่กำหนดวิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบคอมพิวเตอร์และระบบต่าง ๆ ของรถยนต์เพื่อตรวจสอบและซ่อมแซมให้ถูกจุดได้อย่างรวดเร็ว

ความแตกต่างของ OBD1 กับ OBD2

ในปี 1988 คณะกรรมการควบคุมสภาวะอากาศของแคลิฟอร์เนีย (The California Air Resources Board: CARB) กำหนดให้รถยนต์ทุกคันที่จะวางขายในปี 1996 จะต้องมีระบบวิเคราะห์ปัญหาการปล่อยไอเสียและระบบควบคุมเครื่องยนต์ ซึ่งเรียกว่าระบบ OBD1 ส่งผลให้สหภาพยุโรปนำมาตรฐานนี้มาเริ่มบังคับใช้กับการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคของตนเองด้วย และหลังจากนั้นเมื่อมีการพัฒนามาจนถึง OBD2 จึงมีการกำหนดมาตรฐาน OBD2 บังคับใช้กับรถยนต์ทุกคันในเวลาต่อมา เพื่อให้คนขับหรือช่างรู้ปัญหาและแก้ไขได้อย่างตรงจุดไม่ต้องคาดเดาเอาเองจนอาจทำให้เสียเวลาจากการตรวจสอบผิดที่ ซึ่งระบบ OBD2 ที่พัฒนาจาก OBD1 จะเพิ่มประสิทธิภาพจากเดิมที่ทำได้เพียงสามารถแจ้งเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ว่ามีความผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุของปัญหาได้อย่างชัดเจน ก็ถูกพัฒนาให้สามารถบอกค่าของสภาพเครื่องยนต์ในจุดต่าง ๆ และแสดงผลให้เป็นโค้ดในหน้าจอแสดงผลเฉพาะของระบบหรือในแอปพลิเคชันตามแต่ละยี่ห้อจะพัฒนาบริการขึ้น โดยการอ่านค่าต่าง ๆ โดยละเอียดอาจจะต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้อ่านให้ สำหรับผู้ใช้รถปกติอย่างเรา ๆ จะสังเกตได้เพียงว่าค่าใดมีน้อยกว่าหรือมากกว่าอย่างไรและโค้ดเหล่านั้นแปลว่าอะไรในเบื้องต้นเมื่อศึกษาจากคู่มือเท่านั้น

ประโยชน์ของ OBD2

คือ ช่วยตรวจสอบสมรรถภาพการทำงานของเครื่องยนต์ส่วนต่าง ๆ ทั้งค่าการทำงาน และอัตราการสึกหรอ ในกรณีที่มีชิ้นส่วนใดสึกหรอเร็วผิดปกติจะได้ทราบสาเหตุและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยตรวจจับและบันทึกพฤติกรรมการขับรถ ทั้งความเร็ว ความเร่ง ในกรณีที่ถูกแจ้งข้อหาเกี่ยวกับการขับรถเร็วเกินกำหนด ข้อมูลจาก OBD2 จะช่วยเป็นหลักฐานยืนยันได้ในทางหนึ่ง และสำหรับผู้ใช้รถที่อยากจะปรับแต่งรถยนต์ของตนเอง ข้อมูลจากระบบตรวจการทำงานของเครื่องยนต์จะเอาไปใช้ในการปรับแต่งการทำงานของเครื่องยนต์ตามขอบเขตของกฎหมายและความต้องการของผู้ใช้รถได้

อย่าเข้าใจผิดว่าแค่ติด OBD2 จะทำให้รถแรงขึ้น!

เพราะระบบ OBD2 ใช้สำหรับอ่านข้อมูลเท่านั้น การจะปรับแต่งให้รถยนต์มีสมรรถนะที่ดีขึ้นไม่ว่าในด้านใดก็ตามจะต้องใช้ข้อมูลจาก OBD2 ไปใช้อ้างอิง และใช้คอมพิวเตอร์ในการต่อจูนกับระบบ OBD2 เพื่อปรับแต่งหรือแก้ไขโค้ดกับศูนย์บริการที่มีเครื่องมือ และต้องทำโดยช่างที่ชำนาญเท่านั้น

วิธีใช้งานและการอ่านค่าจากระบบ OBD2


วิธีติดตั้ง OBD2

เราสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและเลือกซื้อ OBD2 ที่เหมาะสมกับรุ่นและยี่ห้อรถยนต์ของเรา จากนั้นนำมาเสียบเข้ากับพอร์ตสำหรับระบบ OBD ที่มีลักษณะเหมือนปลั๊ก 16 พิน ส่วนมากแล้วจะอยู่ตรงใต้คอนโซลฝั่งคนขับ หรืออาจจะมีตำแหน่งอาจต่างกันออกไปให้อ่านดูจากข้อมูลรถแต่ละรุ่น ซึ่งเมื่อติดตั้งและสตาร์ทเครื่องแล้วก็จะพร้อมใช้งานทันที และหลังจากอ่านข้อมูลแล้วควรถอด OBD2 ออก เพราะอุปกรณ์จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้ใช้มากแต่ก็อาจทำให้ไฟฟ้าพร่องลงได้หากติดตั้งไว้นานเกินไป

รถยนต์รุ่นใหม่ทุกคันจะมีพอร์ต OBD2 รองรับอยู่แล้ว แต่ในรถยนต์รุ่นเก่ามาก ๆ เช่น รุ่นที่ผลิตก่อนปี 1997 จะไม่มีติดตั้งมากับตัวรถ ให้ลองตรวจสอบข้อมูลกับผู้ให้บริการรถยี่ห้อนั้นดูว่ารถยนต์ของคุณรองรับการเสียบ OBD2 ผ่านที่เขี่ยบุหรี่หรือไม่ ซึ่งรถที่ไม่มีสาย OBD2 ติดตั้งมากับตัวรถตั้งแต่แรกจะดูได้แค่ ความเร็ว แรงดันแบตเตอรี่ ระดับความสูงต่ำน้ำทะเล เวลา และทิศที่รถหันหน้าไปเท่านั้น

การอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ OBD2

สามารถทำได้ทั้งจากการติดตั้งเครื่องอ่านโค้ดหรือเครื่องแสกน OBD2 หรือจะอ่านข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันสำหรับผู้ผลิตที่มีระบบนี้รองรับก็ได้ วิธีอ่านผลจากแอปพลิเคชัน ทำได้โดยหลังจากติดตั้งแอปลงมือถือและจับคู่อุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็สตาร์ทรถแล้วตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ เช่น เลือกรุ่นรถ และเปลี่ยนหน่วยวัดตามที่ถนัด แล้วจากนั้นเราก็จะเลือกอ่านค่าสภาพส่วนของรถจากในแอปพลิเคชันได้ ส่วน วิธีอ่านผลจากเครื่องอ่านโค้ดหรือแสกนเนอร์ ให้สตาร์ทรถและรอให้สแกนเนอร์ทำงาน หรือกดปุ่มเปิดเองเลยถ้าเครื่องไม่ทำงานอัตโนมัติ จากนั้นใส่ข้อมูลสำคัญของรถ แล้วอนุญาตให้เครื่องเก็บข้อมูลและอ่านค่าจากระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ของเราได้ โดยระบบ OBD2 จะแสดงผลให้เราเห็นเป็นโค้ดเท่านั้น เราสามารถนำโค้ดเหล่านั้นมาเช็กในคู่มือ หรือ ให้ช่างโอนข้อมูลเข้ามาบันทึกในคอมพิวเตอร์เพื่อวิเคราะห์ต่อไปได้

การแสดงผลของ OBD2

จะแสดงออกมาเป็น โค้ด DTC (Diagnostic Trouble Code) ตัวอย่างคือ รหัส P0068 หมายถึง อุณหภูมิน้ำมันเชื้อเพลิงสูงเกินไป ซึ่งรหัสเหล่านี้จะใช้ประกอบกับข้อมูล Real-Time อื่น ๆ เช่น รอบเครื่องยนต์ หรือ อุณหภูมิหม้อน้ำ เพื่อวิเคราะห์ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดขณะรถกำลังวิ่งหรือไม่ และยังล็อกเวลาเพื่อดูข้อมูล ในแต่ละช่วงเพื่อใช้วิเคราะห์หาสาเหตุของความขัดข้องในเวลาดังกล่าวได้อีกด้วย

Smart Gauge คืออะไร? ใช้ร่วมกับ OBD2 ได้ยังไง?

นอกจากการอ่านโค้ดจากแสกนเนอร์หรือแอปพลิเคชันแล้ว ยังมีอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยดึงข้อมูลสำคัญบางส่วน อาทิ แบตเตอรี่ ความเร็วรอบ และอุณหภูมิหม้อน้ำมาบอกแจ้งเตือนหน้าจอ ให้ผู้ใช้รถยนต์รู้ถึงความผิดปกติได้ทันที นั่นก็คือ Smart Gauge หรือ หน้าจอแสดงผลและแจ้งเตือนความเปลี่ยนแปลงของเครื่องยนต์แบบอัตโนมัติ

วิธีใช้ Smart Gauge

คือ เสียบปลั๊กของ Smart Gauge เข้ากับพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อ OBD2 จากนั้นระบบจะเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับกล่อง ECU (Electronic Control Unit) เพื่อวิเคราะห์ค่าความเปลี่ยนแปลงได้ทันที ไม่ต้องติดเซนเซอร์ใดเพิ่ม โดยจะแสดงออกมาเป็นตัวเลขดิจิตอลและสัญญาณเสียงเมื่อพบความผิดปกติ เช่น ถ้าค่าความร้อนของหม้อน้ำสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็จะมีเสียงเตือนดังขึ้นทันที แม้ว่าจะไม่ได้มองหน้าปัดอยู่ตลอดก็สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติแล้วแก้ไขได้ในทันที ป้องกันไม่ให้ความเสียหายนั้นลุกลามได้อีกด้วย

ความแตกต่างระหว่าง Smart Gauge กับ การใช้เครื่องแสกน

คือ Smart Gauge จะสามารถอ่านค่าและแจ้งเตือนได้ในหัวข้อที่จำกัดแต่จะเตือนได้รวดเร็ว ในขณะที่แสกนเนอร์จะต้องใช้เวลาแสกนและแปลงผลเพื่อตรวจหาข้อผิดพลาด เพียงแต่จะสามารถตรวจวัดได้ละเอียดกว่า Smart Gauge

ระบบ OBD2 ส่งผลต่อการทำประกันรถยนต์ไหม?

สำหรับใครที่เห็นถึงประโยชน์ของการมีเครื่องอ่านค่า OBD2 ต่าง ๆ ที่มีให้เลือกมากมายแล้ว แต่ยังกังวลว่าถ้าติดตั้งแล้วจะมีผลต่อการทำประกันรถยนต์หรือไม่ อยากให้สบายใจได้เลยว่าถ้าหากการติดตั้งอุปกรณ์ไม่ได้มีการตัดต่อสายไฟภายในรถยนต์ จะไม่มีผลเสียต่อการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจไม่ว่าประเภทใดตาม หรือถ้าหากว่ามีประกันอยู่แล้วก็สามารถติดตั้งได้โดยที่ประกันจะไม่ขาดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ หากว่าสมัคร ต่อประกันภัยรถยนต์ กับ แรบบิท แคร์ เรามีบริการรถยก และรถลาก พร้อมช่วยเหลือคุณเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง และหากว่ามีเครื่องแสดงผล OBD2 ก็จะยิ่งมีประโยชน์กับการส่งซ่อมกับศูนย์ซ่อมรถตัวแทนทั่วประเทศ ที่จะช่วยให้ซ่อมแซมได้รวดเร็วตรงจุดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา