Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

🎵 โปร 11.11 Rabbit Care แจกหูฟัง Marshall Minor 4 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 10,990 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

user profile image
เขียนโดยTawan A.วันที่เผยแพร่: Mar 07, 2023

ระบบไฟฟ้ารถยนต์ที่ต้องรู้!

รถยนต์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของหลาย ๆ คน สำหรับเจ้าของผู้รักรถแล้ว การถนอมรักษารถยนต์ให้อยู่กับเราได้นานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ไม่ใช้แค่การดูแลรถยนต์ภายนอกเท่านั้น แต่ระบบขับเคลื่อนภายในก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะระบบไฟฟ้ารถยนต์ เปรียบเสมือนระบบสั่งการให้รถยนต์มีชีวิตขับเคลื่อนบนท้องถนนได้ หากระบบไฟฟ้ารวนอาจทำให้รถมีปัญหาตามมา ผู้ขับขี่จึงควรศึกษาระบบไฟฟ้ารถยนต์เบื้องต้นพร้อมวิธีการดูแลรักษา รวมถึงวิธีแก้ปัญหาหากเกิดเหตุ ดังต่อไปนี้

ระบบไฟฟ้ารถยนต์ มีอะไรบ้าง

1. ระบบไดชาร์จ (Alternator)

ระบบไดชาร์จ (Alternator) คือหัวใจสำคัญในการผลิตไฟฟ้า ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้ามาใช้ในระบบไฟฟ้ารถยนต์ หากไดชาร์จเกิดเสียหาย ส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ขัดข้อง รถยนต์จะไม่สามารถวิ่งเคลื่อนที่ต่อไปได้ มักพบบ่อยในรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานานแล้ว และระบบไดชาร์จจะมีอายุการใช้งานจำกัด ประกอบด้วยทุ่นและแปลงถ่าน อาจสึกหรอเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาได้ เมื่อถึงเวลาจึงต้องเปลี่ยนระบบไดชาร์จใหม่ เพื่อให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ยังคงมีประสิทธิภาพดีและทำงานต่อไปได้ และเมื่อระบบไดชาร์จเสื่อม จะเริ่มมีอาการสัญญาณเตือนไปยังระบบไฟฟ้ารถยนต์ คือ ระบบไฟฟ้ารถยนต์จะมีอาการอ่อนลง เช่น ไฟหน้าเริ่มมีปัญหา ไฟหรี่ลง แอร์ไม่ค่อยเย็น หรือความร้อนอาจขึ้น เนื่องจากพัดลมไฟฟ้าหมุนไม่แรงเท่าที่ควร ดังนั้นควรตรวจเช็กระบบไดชาร์จรถยนต์และระบบไฟฟ้ารถยนต์อยู่เสมอ จุดสังเกต คือ เมื่อระบบไดชาร์จเสีย บริเวณหน้าปัดรถจะขึ้นไฟที่รูปแบตเตอรี่ และหากไฟปรากฏขึ้นในระหว่างขับขี่ รถยนต์จะยังคงวิ่งได้อีกสักพักหนึ่งจนกว่าไฟจะดับลง ให้ผู้ขับรถปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟต่าง ๆ ภายในตัวรถทันที เช่น แอร์ วิทยุ การชาร์จโทรศัพท์ในรถ หรือ ไฟต่าง ๆ ในรถ เพื่อประคองขับเคลื่อนรถไปให้ถึงอู่ซ่อมรถทันเวลา

2. แบตเตอรี่ (Battery)

แบตเตอรี่ เป็นแหล่งเก็บพลังงานระบบไฟฟ้ารถยนต์สำรองเมื่อไดชาร์จปั่นกระแสไฟเข้ามา หากระบบไฟฟ้ารถยนต์มีการการใช้ไฟฟ้าเกินกำลังกว่าที่ไดชาร์จจะสามารถทำงานได้ ระบบไฟฟ้ารถยนต์จะใช้ไฟจากแบตเตอรี่ที่ถูกเก็บสำรองไว้ โดยเฉพาะการสตาร์ตรถที่ต้องใช้กำลังไฟสูง ทำให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ต้องอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ส่งมาเพื่อหมุนไดสตาร์ตให้ทำงานก่อน เพราะไดชาร์จไม่มีกำลังไฟฟ้าเพียงพอ เมื่อรถยนต์สตาร์ตแล้ว ระบบไฟฟ้ารถยนต์จะกลับมาทำงานได้ปกติ โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมและการดูแลรักษาที่ถูกต้องสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้

3. โวลต์ (Voltage)

โวลต์ คือ หน่วยวัดของความต่างศักย์ หรือแรงดันไฟฟ้า ซึ่งแสดงถึงพลังงานที่ไฟฟ้าสามารถถ่ายโอนได้ในวงจรไฟฟ้า โดยหน่วยวัดโวลต์นั้นมาจากชื่อของนักฟิสิกส์ชาวอิตาลีนามว่า อัลเลสโซอะเลส โวลตา (Alessandro Volta) ผู้คิดค้นแบตเตอรี่นั่นเอง อุปกรณ์ในระบบไฟฟ้ารถยนต์ทั้งคัน จะใช้ค่าความต่างศักย์ของไฟฟ้าในรถยนต์อยู่ที่ 12V วิธีการตรวจเช็กนั้น ใช้วิธีสังเกตง่าย ๆ ที่ เข็มโวลต์จะต้องชี้อยู่ที่ 12-13V หากเข็มตกลงเหลืออยู่ที่ 11-10V หมายความว่า ระบบไฟฟ้าเริ่มตกแล้ว แต่ยังสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่หากเร่งเครื่องแล้วเข็มโวลต์ขึ้น หมายความว่าไดชาร์จเริ่มเสื่อมสภาพ และหากค่าต่ำกว่า 10V แสดงว่า ไฟชาร์จไม่เพียงพอ ผู้ขับควรพารถยนต์เข้าอู่เพื่อเช็กอาการเร่งด่วน หรือ หากพบว่าค่าเกิน 14V แสดงว่า ระบบไฟฟ้ารถยนต์มีปัญหาเช่นกัน ไฟอาจชาร์จเกินกว่ากำหนด ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าร้อยจนอาจช็อตหรือไหม้ได้ ดังนั้นควรรักษาค่าให้อยู่ที่ 12V จึงจะดีที่สุด

ระบบไฟฟ้ารถยนต์ไม่ทํางาน ควรทำอย่างไร?

เมื่อระบบไฟฟ้ารถยนต์ผิดปกติ หรือ ไม่ทำงาน ส่งผลให้รถสตาร์ตไม่ติด เครื่องยนต์ขัดข้อง กำลังไฟไม่เพียงพอ ระบบไฟฟ้ารถยนต์ไม่สามารถทำงานได้ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไดชาร์จเสื่อม แบตเตอรี่หมดอายุ เป็นต้น เมื่อไดชาร์จเสื่อม หน้าปัดจะขึ้นไฟโชว์ที่รูปแบตเตอรี่ ผู้ขับขี่ควรพารถเข้าศูนย์ซ่อมบำรุงที่ใกล้ที่สุด หรือ หากแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งานลง วิธีการแก้ไขเบื้องต้น คือ การพ่วงแบตเตอรี่ รถทุกคันควรเตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่ไว้ในรถเผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยมีวิธีจั้มแบตรถยนต์ดังต่อไปนี้

1. เตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์

ขั้นตอนแรก คือการเตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่ โดยสายจะมีด้วยกันสองเส้น สีแดง คือ ประจุขั้วบวก และ สีดำ หรือ สีเขียว คือประจุขั้วลบ ซึ่งสายจั๊มแบตเป็นอุปกรณ์ในรถที่สำคัญที่รถทุกคนควรต้องมีติดไว้ และควรเตรียมสายที่มีความยาวพอสมควรเพื่อเตรียมไว้สำหรับพ่วงแบตกับรถยนต์อีกคัน

2. ดับเครื่องยนต์ ปิดระบบไฟฟ้ารถยนต์ของทั้งสองคัน

จอดรถหันหน้าเข้าหารถที่แบตเตอรี่หมด มีระยะห่างเล็กน้อยให้สามารถเดินเข้าได้ หลังจากนั้นให้ปิดระบบไฟฟ้ารถยนต์ของทั้งสองคัน เพื่อป้องกันรถเกิดประกายไฟ หรือ การระเบิดขึ้นได้

3. ต่อสายจั๊มพ่วงแบตเตอรี่เข้าด้วยกัน

ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ระหว่างรถทั้งสองคัน โดยให้นำสายพ่วงสีแดง ต่อเข้าที่ขั้วบวกของรถคันที่แบตหมด และนำปลายสายพ่วงสีแดงอีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวกของรถคันหน้าที่มาช่วยจั๊มแบต ต่อมานำสายเส้นสีดำต่อพ่วงกับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถคันหน้าที่มาช่วย และนำปลายสายอีกด้านที่เหลือหนีบที่โลหะเครื่องยนต์ เมื่อต่อสายทั้งหมดแล้ว ให้ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 นาที

4. สตาร์ตรถยนต์

สตาร์ตเครื่องรถคันหน้าที่มาช่วย และทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที จากนั้นให้เร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า หลังจากนั้นให้สตาร์ตรถคันที่แบตเตอรี่หมดและเร่งเครื่องเบา ๆ และปล่อยเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที

5. ถอดสายจั๊มพ่วงแบตเตอรี่

มีขั้นตอนดังนี้ เริ่มจากถอดสายขั้วลบของรถคันที่แบตหมดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นให้ถอดสายขั้วลบของรถคันหน้าที่มาช่วยตามลำดับ ต่อมาให้ถอดสายขั้วบวกของคันหน้าที่มาช่วย และสุดท้าย ถอดสายขั้วบวกของคันที่แบตเตอรี่หมด เพื่อความปลอดภัยจึงควรทำด้วยความระมัดระวังและถูกต้องตามขั้นตอน

เพียงเท่านี้แบตเตอรี่และระบบไฟฟ้ารถยนต์ก็สามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง ที่สำคัญ ควรหมั่นดูแลเช็กรถบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่เสื่อม ควรเติมน้ำกลั่น อย่าปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง เพราะแบตเตอรี่เป็นส่วนสำคัญของระบบไฟฟ้ารถยนต์ทั้งคัน และควรนำรถไปตรวจเช็กตามระยะ เข้าศูนย์เช็กระบบอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะการที่ระบบไฟฟ้ารถยนต์ไม่ทำงาน อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีก เช่น สายไฟรถยนต์โดนหนูกัด เป็นต้น

หนูกัดสายไฟรถ อาการและวิธีป้องกัน

หนูกัดบริเวณสายไฟรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจของใครหลาย ๆ คน ส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ขัดข้อง ทำให้สายไฟรถยนต์ขาด รถสตาร์ตไม่ติด ระบบไฟฟ้าช็อต อาจเกิดประกายไฟ หรือ ฟิวส์ระเบิดได้ ส่งผลอันตรายกว่าที่คิด เพราะหนูอาจกัดแทะระบบวงจรอื่น ๆ ของรถ ทำให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์เกิดปัญหาใหญ่ ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรทราบถึงวิธีการป้องกันเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

1. ทำความสะอาดรถยนต์
ควรล้างทำความสะอาดตัวรถทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาย อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรทำความสะอาดห้องเครื่องอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก กลิ่นอาหาร หรือ เศษอาหารที่ติดอยู่ให้หมดไป สามารถทำด้วยตัวเองหรือใช้บริการคาร์แคร์ใกล้บ้านคุณ

2. เปิดฝากระโปรงรถให้แดดส่องถึง
แสงแดดจะช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ทั้งกลิ่นอับ กลิ่นอาหารต่าง ๆ ที่ดึงดูดหนูเข้ามาในห้องเครื่อง และการเปิดฝากระโปรงรถยังเป็นการถนอมรถ ช่วยยืดอายุการใช้งาน และ เป็นการระบายความร้อนได้ดีอีกด้วย

3. สตาร์ตรถ
หากไม่ได้ใช้รถนาน การจอดรถทิ้งไว้คือการปล่อยให้หนูตัวร้านเข้ามาทำรังได้ ดังนั้นหากไม่ได้ใช้รถ ควรหมั่นสตาร์ตรถบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพราะเมื่อเครื่องยนต์ร้อนขึ้น หนูที่เข้าไปก็จะออกทันที เป็นวิธีช่วยป้องกันรถยนต์ไม่ให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ขัดข้องได้ง่ายที่สุด

หนูกัดสายไฟรถ ค่าซ่อมเท่าไหร่

หลายคนคงไม่ทราบว่าหนูกัดสายไฟรถยนต์นั้น เป็นภัยร้ายใกล้ตัวกว่าที่คิด ทำให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ขัดข้อง สายไฟรถยนต์ขาดและได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องหาอู่ซ่อมรถอย่างเร่งด่วน และต้องอึ้งกับค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนอะไหล่ที่เริ่มต้นหลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่นบาท หรือหากโดนหนูทำร้ายสายไฟอย่างหนัก อาจจะไม่คุ้มค่าซ่อม เปลี่ยนรถใหม่เลยอาจจะง่ายกว่า โดยราคาค่าซ่อมนั้นจะขึ้นอยู่กับความเสียหายของระบบไฟฟ้ารถยนต์ที่โดนหนูเล่นงาน หลายคนจึงสงสัยและกังวลว่า ประกันรถยนต์ที่ได้ทำไว้นั้น หากโดนหนูกัดสายไฟรถ เคลมประกันได้ไหม? หรือหากต้องตัดสินใจทำประกันรถคันใหม่ควรเลือกประกันรถยนต์แบบไหนดี

หนูกัดสายไฟรถ เคลมประกันได้ไหม?

จากคำถามว่าหากโดนหนูกัดสายไฟรถ เคลมประกันได้ไหม คำตอบคือ เคลมได้แน่นอน แต่มีเพียงประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้นที่ให้ความคุ้มครองในกรณีนี้ โดยประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองครอบคลุมความที่เกิดกับตัวรถ เพราะเมื่อสายไฟรถยนต์โดนหนูกัดแทะ จนส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ได้รับความเสียหาย ซึ่งในทางประกันแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวจะถือเป็นอุบัติเหตุ ในทางตรงกันข้าม หากระบบไฟฟ้ารถยนต์ขัดข้อง สายไฟรถยนต์ขาดจากการดัดแปลงรถยนต์ หรือ จอดรถทิ้งไว้จนเสื่อมสภาพ ในกรณีนี้ประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง

ขั้นตอนแรก เมื่อทราบว่าสายไฟรถยนต์โดนหนูเล่นงาน ควรถ่ายรูปสายไฟรถยนต์ไว้เป็นหลักฐานสำคัญ และติดต่อแจ้งประกันที่ดูแลเพื่อทำเรื่องเคลมประกันรถยนต์ และ แจ้งวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ ตามกระบวนการขั้นตอนการเคลม ซึ่งถ้าหากคุณทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ ทำแค่ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะอยู่นอกเหนือความคุ้มครองของประกันภัย ดังนั้น เพื่อป้องกันค่าความเสียหายจากเหตุไม่คาดคิดต่าง ๆ ที่จะตามมาในอนาคต ประกันรถยนต์ชั้น 1 จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่มอบความคุ้มครองรอบด้านอย่างคุ้มค่าให้รถของคุณ หมดกังวลเรื่องค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ และหากคุณกำลังมองหาผู้ช่วยในการให้คำแนะนำเรื่องประกันรถยนต์ แรบบิท แคร์ ยินดีดูแลให้คำปรึกษา คอยบริการตลอดเส้นทาง 24 ชั่วโมง พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษดังต่อไปนี้

  • ให้บริการด้วยพันธมิตรบริษัทประกันภัยที่ดีที่สุดในเครือกว่า 30 แห่ง
  • ระบบช่วยเปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในเวลารวดเร็ว
  • ซื้อประกันง่าย อนุมัติไว ผ่านระบบออนไลน์
  • ราคาคุ้มค่า
  • ข้อเสนอพิเศษ ส่วนลดกว่า 70%
  • ระบบผ่อนชำระ นานสูงสุด 10 เดือน
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
  • บริการรถยก รถลาก
  • มีศูนย์ซ่อมบำรุงกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
  • ติดต่อง่าย แค่โทร 1438
  • บริการหลังการขายด้วยใจ ดูแลคุณและรถยนต์ไปตลอดเส้นทาง

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา