โรคกระเพาะอาการเป็นอย่างไร อันตรายมากไหม?
ในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่า “โรคกระเพาะ” นั้นเป็นโรคยอดนิยมในระบบทางเดินอาหารที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาการที่เร่งรีบและการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องของผู้คนในปัจจุบัน จึงส่งผลทำให้ผู้คนป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเป็น “โรคกระเพาะ” นั่นเอง อีกทั้งยังพบว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะนั้นมักจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ มากถึง 80% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจถ้าหากว่าผู้ป่วยนั้นเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังมาเป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือเลือดออกในกระเพาะอาหาร แล้วกลายเป็นเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นมาอีก จนกลายเป็นการทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นมาได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรระมัดระวังและดูแลตนเองให้ดีเพื่อป้องกันการเกิดโรคที่ไม่พึงประสงค์ตามในอนาคตได้อีก เพราะว่ากระเพาะอาหารนั้นจัดว่าเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญในร่างกายที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร ซึ่งจะผลิตน้ำย่อยที่มีค่าเป็นกรดในการย่อยอาหาร และถึงแม้ว่าจะมีการผลิตน้ำย่อยที่เป็นกรดออกมา แต่กระเพาะอาหารก็จะมีกลไกในการป้องกันตนเอง โดยการสร้างเมือกขึ้นมาเคลือบชั้นผิวของกระเพาะอาหารเอาไว้ เพราะฉะนั้นการเกิดโรคกระเพาะอาหารจึงเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลทำให้กระเพาะอาหารนั้นเกิดอักเสบจนกลายเป็นแผลหรือมีเลือดออกขึ้นมาในกระเพาะอาหารได้
โรคกระเพาะเกิดจากอะไร?
จากบทความสุขภาพเรื่อง “โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) รู้ทันอาการ รักษาเองยังได้ หายไว” ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลวิภาวดี ได้พูดถึงสาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะว่ามีได้จากหลายปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- การรับประทานยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบหรือยาแก้ปวด เช่น ยาไอบูโพรเฟน ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นต้น
- การติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (Helicobacter pylori : H.pylori)
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การติดเชื้อทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เป็นต้น
- ยารักษาสิว
- การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
- การรับประทานอาหารแบบเร่งรีบ
- ภาวะความเครียด วิตกกังวล
- การรับประทานอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้
โรคกระเพาะอาการเป็นอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคกระเพาะนั้นจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป บางรายอาการไม่ร้ายแรง แต่ถ้าหากว่าเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์แล้วก็ควรที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป ส่วนคำถามที่ว่า “ปวดท้องโรคกระเพาะ ปวดตรงไหน?” คำตอบคือจะปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือท้องช่วงบน โดยอาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะนั้นจะมีดังนี้
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย
- อิ่มเร็ว แสบท้อง
- ปวดท้อง แน่นท้อง จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่
- รู้สึกไม่สบายท้องช่วงบน
- ปวดท้องก่อนและหลังจากที่รับประทานอาหารเข้าไปแล้ว
- ปวดท้องในขณะที่ท้องกำลังว่าง หรือปวดขึ้นมากลางดึก
- มีอาการปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หลังจากรับประทานอาหาร
- มีอาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
10.ไม่เจริญอาหาร เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง
แต่ถ้าหากว่าเกิดอาการแทรกซ้อนดังต่อไปนี้ ควรที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ได้แก่
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- อุจจาระมีสีดำ หรือถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปน
- มีการตัวซีด ตัวเหลือง (ดีซ่าน)
- มีอาการปวดท้องแบบรุนแรงนานเป็นชั่วโมง
- เจ็บคอ กลืนน้ำลายลำบาก
- อาเจียนรุนแรงติดต่อกัน หรืออาเจียนแล้วมีเลือดปนออกมา
- คลำแล้วเจอก้อนในท้อง หรือต่อมน้ำเหลืองโต
- มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะ รักษาอย่างไร?
สำหรับคำถามที่ว่า “โรคกระเพาะหายได้ไหม?” คำตอบก็คือสามารถหายได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่
- การตรวจหาโรคกระเพาะโดยการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร (Gastroscope : EGD)
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ เช่น รับประทานอาหารให้ตรงเวลา รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นต้น
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง
- งดสูบบุหรี่ เนื่องจากจะส่งผลทำให้เกิดแผลที่ลำไส้เล็กตอนต้น
- พยายามไม่เครียด หรือไม่วิตกกังวลมากจนเกินไป
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำเปล่าสะอาดวันละ 6-8 แก้ว
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งมาให้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยที่ไม่ได้มีการปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- งดรับประทานยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบหรือยาแก้ปวดโดยไม่จำเป็น
- กินอาหารที่ย่อยง่าย ไม่รสจัด
เป็นโรคกระเพาะ กินยาอะไร?
ในเบื้องต้นก็จะเป็นยาลดกรด หรือยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยจะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป และเมื่อหายแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ถ้าไม่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง และนอกจากนี้ยังมีตัวยาประเภทอื่นอีกด้วย เช่น
• Antacid
เป็นยารักษาโรคกระเพาะตัวแรก ออกฤทธิ์สั้น จึงสามารถรับประทานยาได้ตลอดเวลา ช่วยป้องกันการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร และลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร
• Histamine receptor antagonists
ยาตัวนี้จะเห็นผลเมื่อรับประทานไปแล้วนาน 1 เดือนขึ้นไป โดยจะไปยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
• Proton pump inhibitors
เป็นตัวยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แต่ราคาค่อนข้างแพงพอสมควร มีฤทธิ์ไปยับยั้งการผลิตกรดและช่วยให้แผลในกระเพาะอาหารและที่ลำไส้ส่วนต้นหายได้เร็วขึ้น
• Mucosal protective agents
ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และไม่เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินอาหาร
• การรักษา H.pylori
เมื่อตรวจเจอโดยแพทย์
โรคกระเพาะหายได้ไหม?
โรคกระเพาะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็อาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกถ้าหากว่าไม่มีการดูแลตนเองให้ดี หรือไม่มีการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องในการรักษาโรคกระเพาะ เช่น กลับมารับประทานอาหารรสจัดเหมือนเดิม กลับมาเครียดและคิดมากขึ้นกว่าเดิม หรือกลับมาใช้ชีวิตและใช้พฤติกรรมแบบเดิม ปัจจัยเหล่านี้จึงกลับไปกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้อีก และทำให้เกิดเป็นโรคกระเพาะอาหารได้อีกในอนาคตนั่นเอง
โรคกระเพาะอันตรายแค่ไหน?
สำหรับโรคกระเพาะนั้นไม่ถือว่าเป็นโรคอันตราย แต่ผลกระทบที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและภาวะแทรกซ้อนในอนาคตนั้นอันตรายกว่ามาก เนื่องจากผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารนั้นอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย ถ้าหากว่าเกิดการติดเชื้อ H.Pylori ที่บริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหาร อีกทั้งเชื้อ H.Pylori นี้ยังสามารถติดต่อได้จากคนสู่คน ไม่ว่าจะเป็นจากการรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ จนเกิดเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าทุกระบบในร่างกายของเรานั้นล้วนทำงานกันอย่างสัมพันธ์กัน หากมีระบบหรืออวัยวะภายในร่างกายที่ทำงานผิดปกติไป ก็มักจะไปส่งผลข้างเคียงหรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาตนเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ถึงอย่างไรแล้วก็มักจะมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มักจะส่งผลกระทบมาถึงตัวเราด้วย ถึงแม้ว่าเราจะดูแลตนเองดีแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นทางเลือกในการดูแลสุขภาพระยะยาวที่มีประโยชน์มากที่สุดนั่นก็คือการทำประกันสุขภาพ เพราะจะได้รับทั้งความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยภัยหรืออุบัติเหตุก็ตาม
ซึ่งทาง แรบบิท แคร์ ก็ได้มีแผนประกันสุขภาพที่หลากหลายมาให้ลูกค้าได้เลือกดูตามความต้องการและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด ด้วยบริการเปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพในเบี้ยประกันราคาถูก ที่ใช้งานง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัยได้ 100% เนื่องจากแรบบิท แคร์ เป็นโบรกเกอร์ประกันภัยในเครือ BTS ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังมีบริการพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันสุขภาพกับทางแรบบิท แคร์ เป็นบริการ Health Caresultant ที่ลูกค้าสามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Chiiwii เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า จะได้ไม่ต้องเดินทางออกไปข้างนอกบ้าน เพียงแค่เลือกเมนูปรึกษาคุณหมอออนไลน์ใน Line official account ของแรบบิท แคร์ ก็สามารถพูดคุยกับคุณหมอทางออนไลน์ได้ง่าย ๆ พร้อมรับใบสั่งยาออนไลน์ได้เลย เพื่อให้ลูกค้านำไปรับยากับที่ร้านเภสัชกรใกล้บ้าน หรือจะเลือกเป็นบริการจัดส่งให้ถึงที่บ้านก็ได้เช่นกัน (มีค่าจัดส่ง)
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ