งูสวัดคืออะไร และมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง?
งูสวัดเกิดจากอะไร?
จากข้อมูลในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์ ได้พูดถึงความหมายของโรคงูสวัดไว้ว่า โรคงูสวัด (Herpes Zoster หรือ Shingles) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส varicella virus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคงูสวัดจึงจะพบได้ในผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน โดยที่โรคงูสวัดนี้จะแสดงอาการออกมาเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ เนื่องจากว่าเมื่อเชื้อไวรัสชนิดนี้เริ่มเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากการหายใจ หรือการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรงก็ตาม เชื้อก็จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่เป็นเวลานานหลายปีโดยที่ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ แสดงออกมา แต่เมื่อใดที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่นี้ก็จะเริ่มแบ่งตัวและส่งผลทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดเป็นอาการของโรคงูสวัดขึ้นมาได้นั่นเอง ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดนั้นก็จะพบได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มผู้ป่วย HIV กลุ่มของผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคเอสแอลอี (SLE) โรคมะเร็ง หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ โดยโรคงูสวัดนั้นถือว่าเป็นโรคที่พบได้ทั่วไป และสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศและทุกวัย
งูสวัด เป็นโรคติดต่อไหม?
โรคงูสวัดนั้นสามารถติดต่อไปยังผู้ที่ไม่เคยมีประวัติในการเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนได้ ดังนั้นใครที่ได้มีการสัมผัสกับตุ่มน้ำใสที่มีเชื้อไวรัส varicella zoster และเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ ก็อาจจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดขึ้นมาได้ รวมไปถึงผู้ที่สัมผัสกับเชื้อโรคงูสวัดแบบแพร่กระจายผ่านการหายใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงควรแยกผู้ป่วยโรคงูสวัดออกจากผู้ที่ไม่เคยเป็นโรค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เป็นต้น
งูสวัด กี่วันหาย?
โรคงูสวัดนั้นไม่ถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง และสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีร่างกายแข็งแรง ซึ่งการรักษานั้นจะเป็นการช่วยบรรเทาตามอาการที่เกิด โดยจะมีทั้งยากินแก้ปวด ยาแก้ติดเชื้อแบคทีเรียสำหรับในกรณีที่เป็นหนองลุกลาม หรือยาทาแก้ผดผื่น แก้อาการปวดแสบปวดร้อนในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น
งูสวัด ติดต่อทางไหนบ้าง?
- ติดต่อผ่านการสัมผัสตุ่มน้ำ หรือแผลของผู้ป่วยงูสวัด ดังนั้นควรแยกข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า ที่นอน หรือผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วยโรคงูสวัด
- ในบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเป็นโรคงูสวัดแบบแพร่กระจาย จะสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ทางการหายใจ ดังนั้นควรแยกผู้ป่วยไม่ให้ใกล้ชิดกับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น
แนวทางปฎิบัติเมื่อเป็นงูสวัด
งูสวัด อาการมีอะไรบ้าง?
- มีอาการปวดหัว มีไข้ อ่อนเพลีย หรือตาสู้แสงไม่ได้
- มีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนัง ประมาณ 1-3 วันก่อนที่จะมีผื่นสีแดงขึ้นมาในบริเวณที่ปวด
- ผื่นสีแดงที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสในลักษณะเป็นแนวยาว ซึ่งตุ่มที่เกิดขึ้นนั้นมักเรียงตัวกันเป็นกลุ่มหรือตามแนวของเส้นประสาท ไม่ได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปเหมือนอย่างในผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส
- รู้สึกเจ็บมากในบริเวณผิวหนังที่เป็นผื่น ถึงแม้ว่าจะถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ตาม
- ต่อมาผื่นนั้นจะแตกออกและกลายเป็นแผลตกสะเก็ด โดยจะหลุดออกจากผิวหนังตามธรรมชาติใน 7-10 วัน
- หลังจากที่ผื่นหายแล้ว ก็อาจจะยังมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทหลงเหลืออยู่
- ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการงูสวัดแบบหลบใน นั่นก็คือจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังตามแนวเส้นประสาท แต่ว่าไม่มีผื่นขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม และได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด
งูสวัด รักษายังไง?
สำหรับการรักษาโรคงูสวัดนั้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผื่นแสดงอาการออกมา หากมีการปรากฏตัวของผื่นน้อยกว่า 3 วัน แพทย์ก็จะมีการให้ยาต้านไวรัส (Antivirus) ตามปกติ เช่น ให้ยา Acyclovir ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังจากที่เกิดอาการ เพื่อช่วยบรรเทาการอักเสบ เจ็บปวด และช่วยให้ผื่นคันนั้นยุบตัวลงเร็วขึ้น รวมไปถึงการช่วยทำให้ร่างกายนั้นฟื้นตัวจากโรคงูสวัด และลดโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวเนื่องจากโรคงูสวัดได้ ยกตัวอย่างเช่น อาการปวดปลายประสาทหลังจากที่เป็นโรคงูสวัด (Postherpetic neuralgia) แต่ถ้าหากว่าผู้ป่วยมีผื่นของโรคงูสวัดนานเกินกว่า 3 วัน ทางแพทย์ก็จะพิจารณาให้ยารักษาโรคชนิดอื่น ๆ ร่วมกับยาต้านไวรัสด้วย ได้แก่
- ยาพาราเซตามอล หรือปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือยาชนิดทาเพื่อบรรเทาอาการคันและบรรเทาอาการเจ็บปวด รวมไปถึงการป้องกันการติดเชื้อด้วย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาสมุนไพร ยาพ่น หรือยาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยาตามที่แพทย์สั่ง เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้น และส่งผลทำให้แผลหายช้า หรือกลายเป็นแผลเป็นไปในที่สุด
- ไม่ควรเกาบริเวณผื่นคัน เพื่อลดการสะสมของเชื้อ ดังนั้นหากมีเล็บยาว ก็ควรตัดเล็บมือและเล็บเท้าให้สะอาด จะได้ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนนั่นเอง
- หากมีแผลเปิด ให้ทำการปิดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน
- หมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ และรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
งูสวัด ห้ามกินอะไรบ้าง?
• อาหารที่มีสารอาร์จีนีนมาก
เนื่องจากสารอาร์จีนิน (Arginine) นั้นเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีส่วนทำให้เซลล์เชื้อไวรัส Varicella Zoster นั้นแบ่งตัวและลุกลามออกไปได้มากขึ้น โดยอาหารที่พบสารอาร์จีนีนในปริมาณมาก ได้แก่ บลูเบอร์รี ช็อกโกแลต กะหล่ำปลีเล็ก ถั่ว เมล็ดพืช ทูน่ากระป๋อง องุ่น มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี เป็นต้น
• อาหารที่มีน้ำตาลสูง
เนื่องจากน้ำตาลนั้นเป็นสารอาหารที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพลง อีกทั้งไปยับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อไวรัสให้ออกไปจากร่างกายอีกด้วย
• คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี (Refined Carbohydrates)
เนื่องจากว่ามีส่วนที่ทำให้ดัชนีมวลน้ำตาลในร่างกายนั้นสูงขึ้น และจะทำให้ระบบย่อยอาหารนั้นทำงานเร็วกว่าเดิม จึงส่งผลทำให้ร่างกายมีพลังงานไปขับเคลื่อนภูมิคุ้มกันร่างกายได้น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ขนมปังขาว มักกะโรนี ข้าวขาว เส้นพาสต้า มันฝรั่งขาว เป็นต้น
• อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
เนื่องจากว่าจะเป็นการไปสร้างไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น และจะเป็นตัวการทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานถือว่ากลุ่มผู้ป่วยที่จะมีอาการของโรคงูสวัดร้ายแรงมากกว่าปกติ ยกตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารทอด ขนมปังที่มีเนย นม ครีม ชีส แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ซุปครีม ไอศกรีม เป็นต้น
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะจะเป็นตัวไปขัดขวางการฟื้นตัวของร่างกายในขณะที่กำลังรักษาโรคงูสวัดอยู่ อีกทั้งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้นทำงานได้ช้าลง จึงส่งผลทำให้โรคงูสวัดหายช้านั่นเอง
แนวทางป้องกันโรคงูสวัด มีอะไรบ้าง?
โรคงูสวัดนั้นเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนโรคงูสวัด ดังนี้
1. วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Chickenpox vaccine)
ฉีดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12-18 เดือนขึ้นไป
2. วัคซีนป้องกันโรคงูสวัดสำหรับผู้ใหญ่ (Zoster vaccine/Shingles vaccine)
จะมีทั้งหมด 2 ชนิดด้วยกัน ได้แก่
วัคซีน Zostavax (1 เข็ม)
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live attenuated vaccine) สามารถลดโอกาสในการติดเชื้อโรคงูสวัดในผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-59 ปี ได้มากถึง 69.8%
วัคซีน Shingrix (2 เข็ม)
เป็นวัคซีนชนิดไกลโคโปรตีน (glycoprotein subunit vaccine) ควรเว้นระยะห่างในการฉีด 2-6 เดือน โดยจะสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อโรคงูสวัดในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ได้มากถึง 90-97%
ควรเลือกทำประกันสุขภาพแบบไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?
ไม่ว่าเรื่องของสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตประจำวันให้เป็นไปอย่างปกติ และถึงแม้ว่าในบางครั้งเราจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีตัวปัจจัยภายนอกหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั้นก็มีอยู่เยอะเช่นเดียวกัน ดังนั้นการใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทและมีการวางแผนเพื่อรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากว่าเรามีการวางแผนทำประกันสุขภาพ ไว้ก็จะสามารถช่วยลดความกังวลใจและค่าใช้จ่ายที่อาจจะต้องเสียขึ้นมาได้ในอนาคตอยู่พอสมควร เพราะเราจะได้รับความคุ้มครองทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วยด้วยอุบัติเหตุและภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ซื้อประกันสุขภาพผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
แรบบิท แคร์ นั้นมีแผนความคุ้มครองดี ๆ ที่มาพร้อมกับเบี้ยประกันราคาไม่แพงในทุกรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ในทุกความต้องการได้ทันที เพราะแรบบิท แคร์ เรามีบริการเปรียบเทียบประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชั้นนำทั่วประเทศมากมายให้คุณได้เลือกแผนประกันที่ตรงตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแบบปกติและในแบบเหมาจ่าย ที่จะช่วยทำให้คุณประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกแผนความคุ้มครองที่คุณนั้นสามารถสมัครและขอรับความคุ้มครองได้เองเลยผ่านทางเว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์ โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปรียบเทียบแต่อย่างใด
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ