Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

เปรียบเทียบประกันสะสมทรัพย์ ง่าย ๆ ภายใน 30 วินาที กับ

Rabbit Care

2023_Feb_118.jpg
user profile image
เขียนโดยNok Srihongวันที่เผยแพร่: Sep 06, 2022

นโยบายการเงินคืออะไร? ส่งผลอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “นโยบายการเงิน” กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดว่า นโยบายการเงินคืออะไร แตกต่างจากนโยบายการคลังอย่างไร มีนโยบายการเงินแบบไหนบ้าง และนโยบายแต่ละแบบส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร วันนี้ แรบบิท แคร์ จะมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เอง

นโยบายการเงินคืออะไร

นโยบายการเงินคือนโยบายที่ธนาคารกลางของประเทศหนึ่ง ๆ กำหนดขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา รักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยธนาคารกลางของประเทศส่วนใหญ่จะใช้อัตราดอกเบี้ยนโบยบายเป็นเครื่องมือทางการเงินหลักที่ใช้ในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ในบางประเทศอาจมีการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ อย่างอัตราแลกเปลี่ยนและการซื้อ/ขายพันธบัตรและตราสารหนี้ ในการกำหนดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ

สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน

นโยบายการเงินแตกต่างจากนโยบายการคลังอย่างไร?

หลายคนอาจสับสนระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังว่าแตกต่างกันอย่างไร ถึงแม้ว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะเป็นนโยบายที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้

นโยบายการเงินจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเป็นหลักเพื่อรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงหรือต่ำจนเกินไป ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน นโยบายการเงินมีธนาคารกลางเป็นผู้ออกนโยบาย โดยใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ ในการดำเนินการตามนโยบาย

ส่วนนโยบายการคลังเป็นนโยบายการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น กระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ นโยบายการคลังมีรัฐบาลเป็นผู้ออกนโยบาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการหารายได้และรายจ่ายของรัฐบาล เช่น การเก็บภาษีประเภทต่าง ๆ การจัดสรรงบประมาณ

จึงเห็นได้ว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีความแตกต่างกันและไม่ได้ออกโดยหน่วยงานเดียวกันอย่างที่มักจะเข้าใจผิด

นโยบายการเงินมีอะไรบ้าง

นโยบายการเงินสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ซึ่งนโยบายทั้ง 2 รูปแบบจะช่วยรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีกลไกดังนี้


นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย


นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหรือนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนคือนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางใช้เมื่อต้องการให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวในกรณีที่เศรษฐกิจซบเซา เช่น เมื่อได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หรือเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

เครื่องมือทางการเงินหลักที่ธนาคารส่วนใหญ่ใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายคือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากปรับตัวลง ผู้คนสนใจกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย/ลงทุนกันมากขึ้น รวมถึงฝากเงินไว้กับธนาคารน้อยลง ทำให้เกิดเงินหวุนเวียนในระบบมากขึ้นและเศรษฐกิจขยายตัว ตัวอย่างของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศไทยคือเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำสุดถึง 0.5% ในปี 2564 เพื่อลดผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ในบางประเทศก็มีการใช้เครื่องมืออื่น ๆ เพิ่มเติมเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล เช่น มาตรการ Quantitative Easing (QE) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการกว้านซื้อตราสารทางการเงินระยะกลาง - ยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน เพื่อทำให้ตราสารเหล่านั้นมีราคาสูงขึ้น และมีอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่ำลง รวมถึงตราสารเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดให้ธนาคารเอกชนเตรียมปล่อยสินเชื่อให้นักธุรกิจได้ทันที จึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง


นโยบายการเงินแบบเข้มงวด


ส่วนนโยบายการเงินแบบเข้มงวดคือนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางใช้เพื่อชะลอการเติบโตของระบบเศรษฐกิจเมื่อเศรษฐกิจมีความร้อนแรงจนทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว โดยธนาคารกลางจะดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดในทิศทางตรงกันข้ามกับนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกลางก็จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นให้คนฝากเงินไว้กับธนาคารมากขึ้น มีการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง และเมื่อดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินสูงขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ชะลอการกู้เงินเพื่อลงทุนเพิ่มเช่นกัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเงินเฟ้อสูงเกินไป เช่น ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนยบายจาก 1.25% ต่อปีเป็น 1.50% ต่อปี เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง

ส่วนมาตรการที่ตรงข้ามกับมาตรการ Quantitative Easing (QE) คือมาตรการ Quantitative Tightening (QT) ซึ่งเป็นการขายตราสารทางการเงินที่เคยซื้อไว้คืนให้ตลาดการเงินหรือปล่อยพันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อจากธนาคารพาณิชย์หมดอายุ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วจะส่งผลให้ราคาตราสารปรับตัวลงและส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นในที่สุด

นโยบายการเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร

จะเห็นว่านโยบายการเงินส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด โดยนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลาที่เศรษฐกิจซบเซาและนโยบายการเงินแบบเข้มงวดจะช่วยชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นโยบายการเงินส่งผลต่อการวางแผนการเงินของคุณอย่างไร

อันที่จริงแล้ว นโยบายการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับคนทั่วไปขนาดนั้น เนื่องจากนโนบายเหล่านี้สามารถส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและผลตอบแทนจากการลงทุนได้ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนวางแผนการเงิน

เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ส่งผลให้ดอกเบี้ยสูง การฝากเงินไว้ในธนาคารก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้น แต่การกู้เงินมาซื้อบ้านก็จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การวางแผนการเงินในช่วงนั้นอาจจะเน้นไปที่การฝากเงินมากกว่าการกู้เงินมาจับจ่ายใช้สอย

หรือในช่วงที่ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เราอาจจะเลือกฝากเงินในธนาคารน้อยลง แล้วลองศึกษาตัวเลือกการลงทุนอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น การซื้อประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการเก็บออมเงิน โดยจะได้รับผลตอบแทนเป็นทุนประกันคืนพร้อมเงินปันผลเมื่อส่งเบี้ยประกันครบตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งเป็นอีกวิธีการออมเงินระยะยาวที่ช่วยให้เงินที่มีอยู่งอกเงยได้อีกวิธีหนึ่ง แถมยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

ประกันชีวิตที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

Credit Care ไทยประกันชีวิตCredit Care

ไทยประกันชีวิต

  • 3 บาท/วัน คุ้มครอง
  • 1 ล้าน คุ้มครอง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
  • ชดเชยบัตรเครดิต สูงสุด 1 แสนบาท
  • 1.5 ล้าน คุ้มครอง คู่สมรส
  • 20-60 ปี สมัคร ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • 1 แสนบาท คุ้มครอง ขับขี่ จยย.
  • ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เบี้ยคงที่ สมัครง่าย
สูงวัยไร้กังวล ไทยประกันชีวิตสูงวัยไร้กังวล

ไทยประกันชีวิต

  • จ่ายเบี้ย 8 บาท/วัน สมัครง่าย
  • มรดกเงินก้อน ส่งต่อให้คนที่รัก
  • เงินก้อนสูงสุด 450,000 บาท สำหรับทุกเหตุการณ์
  • เสียชีวิต รับ 150% ของเงินเอาประกัน
  • คุ้มครองถึง 90 ปี สมัคร 50-75 ปี
  • ง่ายสมัคร ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • เลือกจ่ายเบี้ย รายปี หรือเดือน
GEN Senior So Good GeneraliGEN Senior So Good

Generali

  • จ่ายเพียง 15 บาท/วัน
  • ค่าเบี้ยคงที่ เท่าเดิม จนอายุ 90 ปี
  • รับเงิน 450,000 บาท สูงสุด 150% คุ้มครอง
  • แบ่งจ่ายรายเดือน สูงสุด 12 เดือน
  • สมัครได้ อายุ 55-70 ปี
  • สมัครง่าย จบภายใน 15 นาที
  • รายปีถูกกว่า รับส่วนลด 8%
สูงวัยมีทรัพย์ ไทยประกันชีวิตสูงวัยมีทรัพย์

ไทยประกันชีวิต

  • จ่ายเบี้ย 9 บาท/วัน ประหยัด ผ่อนชำระได้
  • อายุ 75 ปี รับสองแสน ครบสัญญา รับสูงสุดหกแสน
  • ผลประโยชน์รวมสูงสุด 800,000 บาท
  • เงินก้อน 2 รอบ ช่วยลูกหลาน
  • สมัครได้ 50-70 ปี
  • สมัครง่าย ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • ครบสัญญา รับคืน 150%

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา