Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 9.9 Rabbit แจกฟรี!! หูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

เทอร์โมสตัทรถยนต์คืออะไร?

“เทอร์โมสตัท” หรือ “วาล์วน้ำ” นั้นเป็นส่วนประกอบขนาดเล็กที่มีความสำคัญต่ออายุการใช้งานของเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์แล้ว ก็ยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอุณหภูมิระบบความเย็นให้กับเครื่องยนต์ เพื่อให้รถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่แล้วตัวเทอร์โมสตัทนั้นจะอยู่ต่อจากท่อน้ำตัวข้างล่างของหม้อน้ำพร้อมกับมีฝาครอบตัวเทอร์โมสตัทอีกชั้นหนึ่ง

เทอร์โมสตัทรถยนต์คืออะไร?

เทอร์โทสตัท(Thermostat) หรือในภาษาไทยจะเรียกว่า “วาล์วน้ำ” เป็นเครื่องควบคุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นภายในหม้อน้ำของเครื่องยนต์ โดยที่รถยนต์ในแต่ละรุ่นนั้นจะมีตัวเทอร์โมสตัทที่แตกต่างกันออกไปตามการใช้งานและความเหมาะสมของรถยนต์ในแต่ละรุ่น เพราะว่าการที่เครื่องยนต์นั้นจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม หรือมีการเผาไหม้ที่หมดจดและทำให้เกิดไอเสียออกมาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็จะต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งในเครื่องยนต์แต่ละรุ่นก็จะมีค่าที่ไม่เหมือนกัน และการที่จะต้องมีเทอร์โมสตัทนั้นนั่นก็เป็นเพราะว่า การที่เครื่องยนต์กำลังทำงานแล้วมีอุณหภูมิต่ำหรือยังเย็นอยู่ มันจะทำให้เกิดมลพิษไอเสียขึ้นเป็นจำนวนมากและน้ำมันหล่อลื่นก็จะเป็นกลายเป็นเมือกมากขึ้น ดังนั้นในช่วงเวลาที่เครื่องยนต์กำลังจะเปลี่ยนจากเย็นเป็นร้อน มันจะเป็นช่วงที่ทำให้เกิดมลพิษไอเสียมากที่สุด เทอร์โมสตัทจึงเป็นตัวช่วยในการลดช่วงเวลาในการทำงานของเครื่องยนต์ในขณะที่อุณหภูมิต่ำ ลดมลพิษไอเสียให้กับชั้นบรรยากาศ และลดการเกิดเมือกให้กับน้ำมันหล่อลื่นอีกด้วย

เทอร์โมสตัทรถยนต์ ทำหน้าที่อะไร?

ตัววาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทนั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทำงานในอุณหภูมิที่จำเพาะ เพราะจากหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นในเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เพื่อที่เครื่องยนต์จะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา ซึ่งจะมีกลไกในการทำงานคือจะคอยระบายความร้อนที่หม้อน้ำโดยการเปิดและปิดวาล์วน้ำ โดยที่ตัวน้ำหล่อเย็นจะต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 70-95 องศาเซลเซียสตามในทางทฤษฎี จึงจะสามารถทำให้วาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทนั้นเริ่มทำงานได้ เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตเห็นได้ว่าเวลาที่รถยนต์สตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ด้วยความที่ยังมีอุณหภูมิที่ต่ำอยู่ ตัวพัดลมระบายความร้อนที่หม้อน้ำรถยนต์นั้นก็จะยังไม่เริ่มทำงาน จนกว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์นั้นจะสูงขึ้น และในขณะเดียวกันทางตัววาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทก็จะยังปิดอยู่ และจะไม่ให้น้ำหล่อเย็นมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำ แต่จะทำให้มีการหมุนเวียนภายในเครื่องยนต์จนกว่าจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น จนถึงจุดที่ตัววาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทจะทำการเปิดเพื่อให้น้ำหล่อเย็นมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำนั่นเอง

วิธีตรวจสอบการทำงานของเทอร์โมสตัทรถยนต์ดูอย่างไร?

วิธีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลเทอร์โมสตัทเลยก็ว่าได้ เพราะว่าจะได้คอยตรวจสอบการทำงานของเทอร์โมสตัทว่ายังทำงานเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ โดยเราจะต้องทำการเปิดฝาหม้อน้ำของรถยนต์ จากนั้นให้ทำการสตาร์ทรถในขณะที่เครื่องยนต์กำลังเย็นหรือมีอุณหภูมิต่ำอยู่ เสร็จแล้วให้สังเกตดูว่ามีน้ำวนเกิดขึ้นในหม้อน้ำทันทีที่สตาร์ทรถยนต์เลยหรือไม่ เพราะถ้าเกิดว่ามีน้ำหมุนวนเลยทันทีก็จะแปลว่าตัววาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทนั้นมีการเปิดอยู่ตลอดเวลา หรือถ้าหากว่าสตาร์ทรถยนต์แล้วเครื่องยนต์ทำงานมาสักพักแล้ว แต่ปรากฎว่าไม่มีน้ำวนเลยในหม้อน้ำ ทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์เริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก หรือที่ตัวเกจแสดงอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นชี้เข้าไปใกล้ตัว H ก็แสดงว่าวาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทนั้นปิดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง และนอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้จากท่อยางขนาดใหญ่ 2 เส้นที่อยู่ในบริเวณของเครื่องยนต์ เพราะว่าเป็นเส้นทางหรือเป็นท่อน้ำหล่อเย็นที่จะไหลผ่านเข้า-ออกจากตัวเครื่องยนต์ หลังจากนั้นให้ทำการสตาร์ทรถยนต์แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพักจนกว่าเครื่องยนต์จะมีอุณหภูมิปกติและเหมาะสมสำหรับการใช้งาน เสร็จแล้วให้ลองเอามือจับไปที่ท่อยางทั้ง 2 เส้น ถ้าหากรู้สึกว่าร้อนทั้ง 2 เส้นก็แสดงว่าวาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทยังทำงานอยู่ตามปกติ แต่ถ้าหากว่ามีแค่เส้นหนึ่งที่ร้อน ส่วนอีกเส้นยังเย็นอยู่ ก็จะแสดงว่าวาล์วน้ำหรือตัวเทอร์โมสตัทนั้นไม่ทำงานนั่นเอง หรือถ้าหากว่าวาล์วน้ำเกิดเสียหรือวาล์วน้ำตายขึ้นมา เครื่องยนต์ก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ฝาสูบก็จะเกิดการโก่งตัว เครื่องยนต์ก็จะร้อนจนพังได้ในที่สุด เพราะว่าน้ำเย็นไม่สามารถที่จะไหลผ่านเข้าไปในเครื่องยนต์เพื่อที่จะหล่อเย็นได้ หรือน้ำไม่เกิดการหมุเวียนในระบบ ซึ่งถ้าหากพบเจอปัญหาเหล่านี้ก็ควรที่จะรีบเอารถยนต์ไปซ่อมที่ศูนย์บริการบริเวณที่ใกล้ที่สุดโดยทันที เพื่อที่จะได้รีบจัดการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน เพราะถึงแม้ว่าตัววาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทจะไม่ได้มีราคาที่แพงมากนัก แต่การปล่อยทิ้งเอาไว้นาน ๆ โดยที่ไม่รีบซ่อม ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา และค่าใช้จ่ายก็อาจจะเยอะขึ้นตามไปด้วย

หากเทอร์โมสตัทเสียขึ้นมา จะส่งผลกระทบต่อรถยนต์อย่างไร?

เมื่อเรารู้ถึงกลไกการทำงานของเทอร์โมสตัทแล้ว ก็พอที่จะทราบคร่าว ๆ แล้วว่าเวลาที่วาล์วน้ำหรือเทอร์โมสตัทไม่ทำงานนั้นจะส่งผลอะไรบ้าง เพราะถ้าหากตัววาล์วน้ำปิดอยู่ตลอดเวลา ก็จะส่งผลทำให้น้ำหล่อเย็นยังคงหมุนเวียนอยู่ได้แค่ภายในเครื่องยนต์เท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีน้ำหล่อเย็นมาระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในตัวหม้อน้ำได้ เลยจะทำให้เครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก และจะทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมา นั่นก็คือส่วนประกอบของเครื่องยนต์ะถูกหลอมละลาย หรือเกิดการบิดเบี้ยวผิดรูปจากความร้อนนั่นเอง และถ้าหากวาล์วน้ำเกิดเปิดตลอดเวลา ก็จะส่งผลทำให้น้ำหล่อเย็นนั้นออกมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นนั้นต่ำกว่าปกติ เลยส่งผลทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอเร็วมากขึ้นกว่าเดิม อายุการใช้งานสั้นลง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าตัวเครื่องยนต์นั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิที่ 80-90 องศาเซลเซียส เพื่อเป็นการลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์

วิธีการดูแลรักษาเทอร์โมสตัทรถยนต์

โดยปกติแล้วเราควรจะมีการเปลี่ยนเทอร์โมสตัทหรือวาล์วน้ำรถยนต์ทุก ๆ 50,000-80,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 5-7 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการทำความสะอาดของระบบหล่อเย็น ถึงแม้ว่าจะไม่มีเคยมีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นก็ตาม เพื่อเป็นการดูแลรถยนต์ของเราให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพนานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยอีกด้วย

หากเทอร์โมสตัทรถยนต์เสีย ประกันจะรับเคลมหรือไม่?

สำหรับในกรณีที่ช่วงล่างของรถยนต์เกิดความเสียหายขึ้นมา ก็จะต้องมีต้นเหตุมาจากภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุ ทางบริษัทประกันภัยถึงจะสามารถรับเคลมให้ เพราะถ้าหากความเสียหายนั้นเกิดขึ้นมาจากการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แบบนี้จะไม่สามารถเคลมได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าท่านใดมีความต้องการที่จะทำประกันอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ ก็สามารถที่จะเลือกทำเพิ่มควบคู่ไปกับการทำประกันภัยรถยนต์แบบนี้ก็ได้เช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการอยากจะรับความคุ้มครองในชิ้นส่วนของอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ หากรถยนต์เกิดความเสียหายอะไรขึ้นมาจะได้อุ่นใจและหมดกังวล เพราะสามารถที่จะแจ้งเคลมได้เลย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

เมื่อซื้อรถยนต์มาแล้ว ควรจะเลือกทำประกันภัยชั้นไหนดี?

จากความคุ้มครองทั้งหมดแนะนำว่าให้ทำเป็นประกันภัยชั้น 1 ไว้จะอุ่นใจและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากที่สุด เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับความคุ้มครองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมไปอีกด้วย และยังได้รับความคุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณีได้อีก เช่น ค่าซ่อมสีรถในกรณีที่รถเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการเฉี่ยวชนของคู่กรณี ซึ่งจะเป็นความพิเศษเฉพาะของประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นี้เท่านั้น

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

จากข้อดีของการทำประกันภัยชั้น 1 ที่ได้กล่าวไปอยู่ข้างต้น ก็ยังมีอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ลูกค้าจะได้รับบริการสุดพิเศษยิ่งกว่าประกันภัยชั้นอื่น ๆ นั่นก็คือคุณจะได้รับบริการ Send Driver Home ที่คุณจะได้รับค่าเดินทางในการกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ซึ่งบริการนี้จะมีเฉพาะในประกันภัยชั้น 1 ของแรบบิท แคร์ เท่านั้น แต่ถ้าหากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกทำประกันภัยกับที่ไหนดี สามารถขอคำปรึกษาและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของแรบบิท แคร์ ได้เลย

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา