Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

user profile image
เขียนโดยTawan A.วันที่เผยแพร่: Apr 13, 2022

รถความร้อนขึ้น เกิดจากสาเหตุอะไร? สามารถรับมือได้อย่างไร?

ปัญหารถยนต์ที่เราๆ พบบ่อยและกวนใจมากที่สุด นั้นคือ ปัญหารถความร้อนขึ้นใช่ไหม ความที่รถความร้อนขึ้นต้องทำไง ขับต่อดีมั๊ย หรือ จะจอดก่อนดี เพราะปัญหาที่รถของเราร้อนเกิดได้จากหลายสาเหตุ หากท่านปล่อยไว้ไม่ทำการแก้ไข รับรองได้เลยว่าเครื่องยนต์มีปัญหาแน่ๆ “รถความร้อนขึ้น” นั้นคือสัญญาณเตือนให้ทราบเลยว่ารถของท่านนั้นได้เริ่มมีปัญหาเข้าแล้ว และเป็นที่อันตรายต่อการใช้งาน

ปัญหารถความร้อนขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์ ที่มีความผิดปกติ ทำให้รถความร้อนขึ้นจนไม่สามารถรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ สาเหตุของที่รถความร้อนขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ รถยนต์บางรุ่นมีการแจ้งเตือนผ่านทางมาตราวัดที่มีมากับรถหรือสัญญาณไฟเตือนที่เป็นสีแดง ว่ารถยนต์ของคุณอยู่ขั้นฉุกเฉิน หรืออันตราย หากปล่อยให้ความร้อนขึ้นสูงอาจทำให้เครื่องยนต์ “Over Heat” รถดับกลางอากาศ ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ แถมยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

ในหน้าร้อนอุณหภูมิมักจะสูงขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถนั้นก็มีความร้อนได้เหมือนกันมาดูกัน หลายคนอาจจะตกใจว่าแล้วถ้าเกิดความร้อนขึ้น สามารถรับมือได้อย่างไรบ้าง หากเป็นผู้ที่ใช้รถเป็นประจำคงจะทราบดี แต่สำหรับมือใหม่ฝึกหัดควรมีความรู้ การสังเกต จนไปถึงการแก้ไขปัญหา วันนี้ แรบบิท แคร์ ได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับการรับมือกับรถความร้อนขึ้น ไปดูกันเลย!!

รถความร้อนขึ้น ต้องตรวจสอบอะไรบ้าง?

1. ตรวจสอบรอยรั่วของหม้อน้ำ

เช็กและดูแลหม้อน้ำ ว่ามีรอยรั่วในส่วนฝาหรือส่วนอื่นๆหรือไม่ การระบายความร้อนนั้นยังสามารถทำได้เป็นปกติหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหม้อน้ำระบายความร้อนได้ไม่ดี ก็อาจจะทำให้รถความร้อนขึ้นได้ และถ้าหากว่าพบรอยแตกร้าวในอุปกรณ์ แนะนำว่าให้เปลี่ยนด่วน ๆ เลย

วิธีการรับมือเมื่อหม้อน้ำรั่ว

  1. เมื่อคุณพบว่าหม้อน้ำรั่วให้รีบจอดข้างทางทันที เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
  2. พยายามหาสิ่งของรอบ ๆ ตัวคุณ เพื่ออุดรอยรั่วไว้ชั่วคราว เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน เทปกันน้ำ และอื่น ๆ
  3. หากไม่มีคุณอาจใช้สบู่ก้อนที่ละลายน้ำและนำมาปั้นเป็นก้อนใช้อุดรอยรั่วของหม้อน้ำแทน โดยสบู่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป มีหลายยี่ห้อ และราคาไม่แพง
  4. เมื่ออุดรอยรั่วเรียบร้อยแล้ว ควรขับรถเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อมที่ใกล้คุณมากที่สุดอย่างรวดเร็ว

2. เติมน้ำยาหม้อน้ำ

เมื่อรถความร้อนขึ้น ให้คุณหมั่นตรวจเช็ก เปลี่ยนถ่ายน้ำ และการเติมน้ำยาหม้อน้ำ อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าใครที่นำรถเข้าศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่กำหนด ก็น่าจะไม่ต้องเป็นห่วง

  • หม้อน้ำรถยนต์ ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?

โดยปกติทั่วไปแล้วหม้อน้ำที่เป็นพลาสติกจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา หากพลาสติกแตกคุณควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะนั่นอาจทำให้มีน้ำซึมหรือทำให้หม้อน้ำรั่วออกมาได้ หากพบว่าบริเวณหม้อน้ำมีคราบสกปรก คุณสามารถล้างทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นควรทำทุก ๆ 2 ปี หรือเมื่อครบ 40000 กิโลเมตร

  • หม้อน้ำรถยนต์ เติมน้ำอะไร?

น้ำที่ควรเติมในหม้อน้ำรถยนต์มากที่สุด คือ น้ำยาหล่อเย็น เพราะมีส่วนประกอบของเอทานอล (Ethylene glycol) ซึ่งทำให้มีจุดเดือดสูงกว่าน้ำปกติถึง 32 เท่า จึงทำให้สามารถทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำปกติทั่วไป มากไปกว่านั้นน้ำยาหล่อเย็นยังมีสารป้องกันสนิม เพื่อช่วยบำรุงหม้อน้ำในรถของคุณได้ ซึ่งน้ำมันหล่อเย็นมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี

  • ประเภทของน้ำยาหม้อน้ำ

น้ำยาหม้อน้ำมี 2 ประเภทให้เลือกสรร ดังนี้

  1. น้ำยาหม้อน้ำสำเร็จรูป : น้ำยาประเภทนี้ง่ายต่อการใช้งานเนื่องจากคุณสามารถเติมน้ำยาไปที่หม้อน้ำได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องผสมใด ๆ ทั้งสิ้น
  2. น้ำยาหม้อน้ำแบบต้องผสม : น้ำยาชนิดนี้มีความเข้มข้นสูง ดังนั้นคุณต้องผสมน้ำเปล่าก่อนใช้งานในสัดส่วน 1:1 ถึง 1:3 ซึ่งหากผสมผิดแล้วนำมาใช้งานอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ เช่นเกิดสนิมในหม้อน้ำ

3. เช็กการทำงานของวาว์ลน้ำ

เมื่อรถความร้อนขึ้น คุณสามารถเช็กการทำงานของวาว์ลน้ำ โดยวิธีนี้สามารถเช็กได้โดยการเปิดกระโปรงรถ เปิดฝาหม้อน้ำ แล้วสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก ลองสังเกตน้ำในหม้อน้ำ ถ้าสตาร์ทรถไปสักพักแล้ว อุณหภูมิถึง แต่น้ำยังนิ่ง นั่นก็หมายความว่า วาล์วน้ำมีปัญหาแล้ว

4. เช็กการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ

โดยปกติทั่วไปแล้วพัดลมหม้อน้ำจะทำงานหลังจากที่เราสตาร์ทรถไปแล้วสักพัก แต่ถ้าพัดลมหม้อน้ำไม่หมุน ให้คิดไปก่อนเลยว่า พัดลมอาจจะมีปัญหา ดังนั้นเมื่อรถความร้อนขึ้น นั่นอาจแสดงถึงว่าพัดลมหม้อน้ำมีปัญหาแล้วก็เป็นได้

5. สังเกตจากเกจวัดระดับความร้อน

ถ้ารถความร้อนขึ้นผิดปกติ ตรงเกจจะมีการแสดงผลขึ้นเป็นตัว H หรือสัญลักษณ์ตามรถยี่ห้อต่างๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันแล้วแต่ค่าย

การดูเกจ์ความร้อนของรถยนต์

ก่อนอื่นต้องดูเกจ์ความร้อนให้เป็น ซึ่งรถบางชนิดอาจมีเกจ์ความร้อนที่แสดงผลแตกต่างกันไป ดังนี้

  1. แบบเข็ม – เป็นเข็มชี้อยู่ระหว่างตัวอักษร C (Cool) และ H (Hot) บางครั้งก็มีตัวเลขบอกจำนวนอุณหภูมิกำกับไว้ โดยรถยนต์ส่วนใหญ่มักจะเป็นเกจ์ชนิดนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเข็มวัดชี้สูงเกินกว่ากึ่งกลางมากๆ หรือสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนใกล้ H แสดงว่าความร้อนขึ้น
  2. แบบไฟเตือน – ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีการปรับการแสดงผลให้ทันสมัยขึ้น โดยมีเป็นไฟแจ้งเตือน เป็นสีเขียวหรือฟ้า และ ไฟสีแดง หากรถความร้อนขึ้นจะมีไฟเตือนเป็นสีแดง ไฟกระพริบถี่ๆ
  3. อุปกรณ์ต่อเพิ่ม แบบไฟดิจิตอล – รถบางคันจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่อเพิ่มเพื่อวัดอุณหภูมิความร้อนโดยตรง และมีการแสดงผลเป็นตัวเล ดิจิตอล จึงสามารถทราบอุณหภูมิความร้อนได้แม่นยำกว่า
  4. อุปกรณ์ต่อเพิ่ม OBDII – เป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ เสียบปลั๊กเข้ากับตัวรถยนต์ แล้วดูการแสดงผลผ่านหน้าจอแอพพลิเคชั่น ซึ่งนอกจากจะแสดงค่าความร้อนแล้ว ยังสามารถอ่านค่ารถยนต์ได้อีกมากมาย

ปัญหารถยนต์ยอดฮิต

ตู้แอร์รถยนต์รั่ว
ตู้แอร์รถยนต์รั่ว
  • ระบบปรับอากาศในรถยนต์ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
  • ตู้แอร์รถยนต์รั่ว สาเหตุมาจากอะไร?
  • ดูอย่างไรว่าตู้แอร์รถยนต์รั่ว?
รถไฟไหม้
รถไฟไหม้
  • รถไฟไหม้เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
  • ประกันจ่ายไหมและจ่ายในกรณีไหนบ้าง?
เครื่องยนต์วาล์วรั่ว วาล์วยัน
เครื่องยนต์วาล์วรั่ว วาล์วยัน
  • อาการวาล์วรถยนต์รั่ว
  • อาการวาล์วรถยนต์ยัน
  • การแก้ปัญหาอาการวาล์วรั่ว วาล์วยัน
หม้อลมเบรครั่ว
หม้อลมเบรครั่ว
  • หม้อลมเบรคคืออะไร? มีการทำงานอย่างไร?
  • หม้อลมเบรครั่วคืออะไร อาการ
  • วิธีเช็กหม้อลมเบรครั่ว ซ่อมได้ไหม?

สาเหตุของรถความร้อนขึ้น เกิดจากอะไร?

1. น้ำในหม้อน้ำลดระดับลงหรือหายไปบางส่วน

เมื่อรถความร้อนขึ้นให้คุณสังเกตระดับน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพัก จะช่วยให้รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดกับระบบหล่อเย็นบ้าง และจะได้หาทางป้องกัน กรณีน้ำในหม้อน้ำหายไป เป็นไปได้หลายสาเหตุ ฝาหม้อน้ำที่หมดสภาพแล้ว น้ำก็ซึมออกได้ วาล์วน้ำ หากเสียน้ำจะไม่ไหลเวียนเพื่อนำความร้อนไประบายออกที่หม้อน้ำ ปั๊มน้ำรั่ว น้ำอาจจะค่อยๆ หายไปจากระบบ กรณีรถเก่า หม้อน้ำตัน

  • หม้อน้ำรถยนต์ อยู่ตรงไหน?

หม้อน้ำรถยนต์จะอยู่บริเวณห้องเครื่อง เมื่อคุณเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา คุณจะพบเห็นว่าบริเวณหม้อน้ำจะมีฝาเหล็กนูน ๆ อยู่ คุณสามารถเปิดออกได้อย่างง่าย โดยกดเบา ๆ และบิดไปทางซ้ายมือ หากพบว่าระดับน้ำลดลงสามารถเติมน้ำได้ แต่ห้ามใช้น้ำประปาเพราะอาจทำให้เกิดตะกรันและเกิดสนิมได้ในอนาคต

  • หม้อน้ำรถยนต์ มีหน้าที่อะไร?

หม้อน้ำรถยนต์มีหน้าที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการระบายความร้อนส่วนเกินจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์ โดยใช้ของเหลวเป็นตัวระบายความร้อน เพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงแต่ละครั้งจะมีอุณหภูมิสูงมาก ด้วยเหตุนี้เองรถยนต์ของเราจึงจำเป็นต้องมีหม้อน้ำเพื่อป้องกันความร้อนที่สะสมในเครื่องยนต์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติจนเครื่องยนต์ของเกิดอาการน็อคได้

  • วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

1.หมั่นตรวจสอบน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ และน้ำยาหล่อเย็นในหม้อพักให้อยู่ในระดับปกติที่กำหนดไว้เสมอ โดยให้ระดับอยู่กึ่งกลางระหว่าง Max กับ Min แนะนำให้ตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
2.ไม่ควรเติมน้ำเปล่าในหม้อน้ำรถยนต์ เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อหม้อน้ำ เช่น เกิดสนิมทำให้หม้อน้ำรั่ว บริเวณแผงระบายความร้อนเกิดการอุดตันของคราบหินปูน เป็นต้น
3.หากตรวจสอบปริมาณของเหลวในหม้อน้ำว่ามีปริมาณลดลงไปอย่างรวดเร็ว หรือต้องเติมน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำบ่อยครั้ง อาจเป็นไปได้ว่ามีการรั่วซึม และวิธีการตรวจสอบหารอยรั่ว คือ สามารถตรวจสอบได้หลังจากเติมน้ำยาหล่อเย็น ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีสีเพื่อให้ตรวจสอบหารอยรั่วได้ง่ายนั่นเอง หากพบควรรีบน้ำรถเข้าอู่ซ่อมทันที

2. มีตะกรันหรือขึ้นสนิม

การมีสนิมขึ้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถความร้อนขึ้น ดังนั้นการใช้งานรถยนต์มือสอง ควรจะต้องรู้สภาพรถของเรา ว่าได้ทำอะไรกับระบบหล่อเย็นไปบ้างแล้ว เช่น หม้อน้ำเคยล้างหรือไม่ ฝาหม้อน้ำหมดสภาพหรือยัง ปั๊มน้ำเคยเปลี่ยนหรือยัง หากไม่เคยทำอะไรเลย แล้วมีปัญหารถความร้อนขึ้นจะได้ไล่ซ่อมได้ถูกทาง

3. วิ่งแล้วดับ เครื่องดับเอง

รถบางคันจะมีเซ็นเซอร์วัดความร้อน หากรถความร้อนขึ้น ระบบจะดับเครื่องเองทันที ขณะขับรถควรหมั่นสังเกตเข็มวัดความร้อน หากผิดปกติต้องหยุด อย่าให้เครื่องดับเอง จะอันตรายมาก โดยเฉพาะรถยนต์มือสองญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะไม่มีเซ็นเซอร์ดับเครื่องคนอัตโนมัติ เมื่อเครื่องร้อนจัดเหมือนรถยนต์ยุโรป

4. โดนลูกหินจากรถใหญ่ดีดเข้าหม้อน้ำ

การขับรถยนต์ ออกต่างจังหวัด ต้องระวังรถใหญ่ ดีดลูกหิน หากโชคร้าย ดีดเข้าใส่หม้อน้ำ ก็สามารถทำให้ทะลุได้ หรือ มีกระดาษหรือถุงปิดหน้าหม้อน้ำขณะวิ่ง ขณะขับรถอาจจะไปเจอถุงหรือพลาสติกบนท้องถนน แล้วเกิดลอยขึ้นมาปิดหน้าหม้อน้ำ ก็ทำให้เกิดรถความร้อนขึ้นได้เหมือนกัน หากขับรถ แล้วเจอถุงพลาสติกลอยอยู่หน้ารถ ต้องรีบสังเกตเข็มวัดความร้อน ว่าผิดปกติหรือไม่ เพราะอาจจะไปติดหน้ารถ

5. พัดลมไม่ทำงาน

กรณีพัดลมไม่ทำงาน ก็เป็นสาเหตุทำให้รถความร้อนขึ้นได้ทันที แต่ก็ยังสามารถวิ่งต่อไปได้ หากวิ่งต่างจังหวัด ไม่มีรถติด เพราะลมที่ปะทะหน้ารถจะทำให้เครื่องยนต์ไม่ร้อน

รถความร้อนขึ้น จนรถดับ ต้องทำอย่างไร?

นอกจากนี้สิทธิพิเศษที่คุณจะได้รับหากซื้อประกันกับเรา คือบริการรถยก รถลาก และ แรบบิท แคร์ ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง หากรถของคุณความร้อนขึ้นจนดับไป ไม่สามารถขับขี่ต่อได้ คุณสามารถติดต่อเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา

เห็นกันแล้วว่าหม้อน้ำรถยนต์เป็นอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ เมื่อรถความร้อนขึ้นเพื่อที่รถของเราจะได้ไม่ดับ และยังสามารถขับต่อไปได้ เราจึงต้องหมั่นเช็กสภาพอยู่เสมอ ไม่ควรละเลย และนอกจากจะเช็กสุขภาพหม้อน้ำซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญของเครื่องยนต์แล้ว ก็อย่าลืมสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับรถยนต์ก็คือ การทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อความอุ่นใจตลอดการขับขี่กับ แรบบิท แคร์ หากมีข้อสงสัยเรื่องประกันรถยนต์เพิ่มเติม สามารถปรึกษาฟรีกับเราได้เลย เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมให้คำแนะนำด้านการทำประกัน เพียงโทร 1438

รถความร้อนขึ้น หม้อน้ำระเบิด ประกันรถยนต์คุ้มครองไหม

หากเกิดเหตุการณ์รถความร้อนขึ้นหรือหม้อน้ำระเบิด แล้วต้องการทราบว่าประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่ คำตอบจะขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยและสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้น

• ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถจาก อุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัย ดังนั้น ถ้าหากหม้อน้ำระเบิดหรือรถความร้อนขึ้นจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ เช่น การชนที่ทำให้ระบบหม้อน้ำเสียหาย ประกันภัยชั้น 1 มักจะคุ้มครองความเสียหายนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม แต่ถ้าหากหม้อน้ำระเบิดจากการเสื่อมสภาพ การใช้งานนาน หรือขาดการบำรุงรักษา ประกันชั้น 1 จะไม่คุ้มครอง เนื่องจากถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการสึกหรอตามปกติ ซึ่งไม่อยู่ในความคุ้มครองของประกันภัย

• ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และชั้น 3+ ประกันชั้น 2+ และชั้น 3+ จะให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดจากการชนหรือการกระแทกกับยานพาหนะอื่นเป็นหลัก หากหม้อน้ำระเบิดหรือรถความร้อนขึ้น จากการชนกับยานพาหนะอื่น และเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหาย ก็สามารถเคลมได้ในกรณีนี้ แต่ในกรณีหม้อน้ำระเบิดจากการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วน หรือปัญหาทางกลไกอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ประกันชั้น 2+ และ 3+ จะไม่คุ้มครองเช่นกัน

• ประกันรถยนต์ชั้น 2 และชั้น 3 ประกันชั้น 2 และชั้น 3 จะให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดจากการชนหรือการกระแทกกับยานพาหนะอื่นเป็นหลัก และจะคุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณี ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุจนหม้อน้ำระเบิด ประกันชั้น 2 และ 3 จะไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกันแต่จะคุ้มครองรถของคู่กรณีเท่านั้น

ข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับหม้อน้ำระเบิด

  • ความร้อนขึ้นหรือหม้อน้ำระเบิดจากสาเหตุภายในตัวรถ เช่น ขาดการบำรุงรักษา ระบบระบายความร้อนเสีย หรือชิ้นส่วนเสื่อมสภาพ เป็นสิ่งที่ประกันภัยทั่วไปไม่คุ้มครอง เพราะถือว่าเป็นความสึกหรอตามการใช้งานปกติ
  • การบำรุงรักษาและตรวจเช็กหม้อน้ำเป็นประจำมีความสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารถความร้อนขึ้นหรือหม้อน้ำระเบิด เพราะหากเกิดความเสียหายจากการเสื่อมสภาพของหม้อน้ำ ประกันภัยจะไม่รับผิดชอบ
  • หากหม้อน้ำระเบิดหรือรถความร้อนขึ้นจากอุบัติเหตุ เช่น การชนหรือเหตุสุดวิสัย ประกันชั้น 1 จะครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
  • แต่ถ้าเกิดจากการเสื่อมสภาพของหม้อน้ำ หรือขาดการบำรุงรักษา ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองความเสียหายนี้

เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ตรวจสอบระบบหม้อน้ำและดูแลรักษารถยนต์เป็นประจำเพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาดังกล่าว

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา