วิธีสตาร์ทรถ ทำอย่างไร สตาร์ทรถเกียร์ออโต้ และเกียร์ธรรมดา ต่างกันหรือไม่ ?

สตาร์ทรถ ความรู้พื้นฐานที่ว่าที่เจ้าของรถมือใหม่ หรือผู้ที่กำลังต้องการหัดขับรถจะต้องรู้เอาไว้ ว่าการสตาร์ทรถทำอย่างไร ? รถยนต์ชนิดต่าง ๆ สตาร์ทเหมือนกันหรือไม่ มีวิธีการสตาร์ทรถอย่างไร ? แรบบิท แคร์ รวบรวมข้อมูลวิธีการสตาร์ทรถ และข้อมูลน่ารู้อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการสตาร์ทรถมาฝากให้ ไปอ่านทำความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมกันได้ในบทความนี้เลย

การสตาร์ทรถ คือการเริ่มหรือเปิดระบบการทำงานของเครื่องยนต์รถยนต์ของเราให้พร้อมแก่การใช้งาน และออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ถือเป็นขั้นตอนแรกที่ผู้ที่จะใช้รถจะต้องทำให้เป็นอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ นับเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่หากทำไม่เป็น ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ขั้นตอน หรือวิธีในการขับรถอื่น ๆ ต่อไปได้เลยทีเดียว

สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิธีสตาร์ทรถ ก่อนอื่นจะต้องทราบก่อนว่ารถที่เราต้องการจะสตาร์ท หรือทำการขับขี่นั้นเป็นรถยนต์ประเภทใด มีวิธีการสตาร์ทด้วยระบบไหน เช่น เป็นรถยนต์เกียร์ออโต้ (สตาร์ทรถแบบใช้กุญแจสตาร์ท) รถยนต์เกียร์ออโต้ (สตาร์ทรถแบบ Push Start) รถยนต์เกียร์ธรรมดา (สตาร์ทรถแบบใช้กุญแจสตาร์ท) รถยนต์เกียร์ธรรมดา (สตาร์ทรถแบบ Push Start) เนื่องจากรถยนต์แต่ละประเภทก็จะมีวิธีการในการสตาร์ทรถที่แตกต่างกัน โดย แรบบิท แคร์ ได้รวบรวมวิธีการสตาร์ทรถแบบต่าง ๆ มารวมไว้ให้ ดังต่อไปนี้

รถเกียร์ออโต้ ถือเป็นรถยนต์ที่มือใหม่นิยมหัดขับกันเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากมีความซับซ้อนในการขับขี่ที่น้อยกว่าการขับรถเกียร์ธรรมดา โดยขั้นตอนในการสตาร์ทรถ เกียร์ออโต้ ที่ใช้การสตาร์ทด้วยกุญแจ จะมีวิธีในการสตาร์ทรถ ดังนี้

• ขึ้นนั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับในตำแหน่งที่พร้อมที่สุด (ปรับเบาะและกระจกต่าง ๆ ให้พอดี)
• ตรวจเช็กความเรียบร้อยภายในห้องโดยสารให้พร้อมออกเดินทาง
• ตรวจสอบว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ (ก่อนสตาร์ทเกียร์จะต้องอยู่ตำแหน่ง N หรือ P เท่านั้น)
• เหยียบเบรกรถยนต์ หากดึงเบรกมือขึ้นไว้ให้นำเบรกมือลง
• บิดกุญแจเพื่อทำการสตาร์ทรถ
• เมื่อเครื่องยนต์ติดเรียบร้อย สามารถเปลี่ยนเกียร์ และขับขี่ได้ตามปกติ

ปัจจุบันนั้น ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยียานยนต์ทำให้การสตาร์ทรถเกียร์ออโต้ไม่จำเป็นจะต้องใช้กุญแจเสมอไป แต่ยังมีวิธีสตาร์ทรถ push start หรือวิธีสตาร์ทรถ กดปุ่ม ที่ไม่จำเป็นต้องเสียบกุญแจเข้าไปบิดสตาร์ทเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป โดยวิธีการสตาร์ทรถแบบ Push Start มีดังนี้

• ขึ้นนั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับในตำแหน่งที่พร้อมที่สุด (ปรับเบาะและกระจกต่าง ๆ ให้พอดี)
• ตรวจเช็กความเรียบร้อยภายในห้องโดยสารให้พร้อมออกเดินทาง
• ตรวจสอบว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ (ก่อนสตาร์ทเกียร์จะต้องอยู่ตำแหน่ง N หรือ P เท่านั้น)
• เหยียบเบรกรถยนต์ หากดึงเบรกมือขึ้นไว้ให้นำเบรกมือลง
• กดปุ่ม Push Start เพื่อทำการสตาร์ทรถ
• เมื่อเครื่องยนต์ติดเรียบร้อย สามารถเปลี่ยนเกียร์ และขับขี่ได้ตามปกติ

ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการขับขี่รถยนต์เกียร์ธรรมดานั้นจะมีความซับซ้อนยุ่งยากมากว่าการขับรถเกียร์ออโต้ การสตาร์ทรถก็จะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าเล็กน้อยเช่นกัน ซึ่งบ่อยครั้งหลายคนมักสับสนว่ารถเกียร์กระปุกนั้น สตาร์ทรถ เหยียบเบรคตอนไหน เหยียบคลัชตอนไหน ซึ่ง แรบบิท แคร์ ได้นำคำตอบมาให้ ดังนี้

• ขึ้นนั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับในตำแหน่งที่พร้อมที่สุด (ปรับเบาะและกระจกต่าง ๆ ให้พอดี)
• ตรวจเช็กความเรียบร้อยภายในห้องโดยสารให้พร้อมออกเดินทาง
• ตรวจสอบเกียร์ให้แน่ใจว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
• ทำการเหยียบคลัช และเหยียบเบรก
• บิดกุญแจเพื่อทำการสตาร์ทรถ
• เมื่อรถสตาร์ทิดแล้วให้ค่อย ๆ ปล่อยคลัช และปล่อยเบรกตาม จากนั้นสามารถขับได้ตามปกติ

นอกจากรถยนต์เกียร์ออโต้ที่สามารถสตาร์ทรถแบบ Push Start ได้แล้ว รถยนต์เกียร์ธรรมดาก็สามารถสตาร์ทรถแบบ Push Start ได้เช่นกัน โดยจะมีขั้นตอนในการสตาร์ท ดังนี้

• ขึ้นนั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับในตำแหน่งที่พร้อมที่สุด (ปรับเบาะและกระจกต่าง ๆ ให้พอดี)
• ตรวจเช็กความเรียบร้อยภายในห้องโดยสารให้พร้อมออกเดินทาง
• ตรวจสอบเกียร์ให้แน่ใจว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
• ทำการเหยียบคลัช และเหยียบเบรก
• กดปุ่ม Push Start เพื่อทำการสตาร์ท
• เมื่อรถสตาร์ทิดแล้วให้ค่อย ๆ ปล่อยคลัช และปล่อยเบรกตาม จากนั้นสามารถขับได้ตามปกติ
  
  

เพื่อน ๆ คงเห็นกันแล้วว่าการสตาร์ทนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีก่อนสตาร์ททุกครั้งก็คือสติ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ‘ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท’ นั่นเอง

สำหรับมือใหม่หัดขับหลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า ตอนสตาร์ทจำเป็นจะต้องเหยียบเบรกหรือไม่ ในเมื่อเราต้องการจะสตาร์ทเพื่อขับออกไปจะต้องเหยียบเบรกไว้ทำไม คำตอบคือในการสตาร์ทจำเป็นที่จะต้องเหยียบเบรก เนื่องจากหากไม่ทำการเหยียบเบรกค้างไว้ก่อนเริ่มทำการสตาร์ท จะไม่สามารถทำการสตาร์ทได้ ถือเป็นหนึ่งในระบบรักษาความปลอดภัยของรถยนต์นั่นเอง

แม้จะเป็นรถยนต์ที่ใช้วิธีการสตาร์ทแบบ Push Start แต่การสตาร์ทจำเป็นที่จะต้องมีกุญแจอยู่ภายในตัวรถยนต์ของเราด้วยจึงจะสามารถขับออกไปได้ แต่ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นที่มีระบบอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีล้ำสมัยสามารถใช้คำสั่งสตาร์ทจากสมาร์ตโฟนโดยไม่มีกุญแจได้ และสามารถขับรถได้ตามปกติเลยนั่นเอง

ในส่วนของผู้ที่มีความสงสัยว่าสตาร์ทรถ เปิดแอร์ทิ้งไว้เป็นผลเสียหรือไม่ หรือสตาร์ทรถ เปิดแอร์ กินน้ํามันไหม คำตอบคือเปลืองอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อเราทำการสตาร์ทและเปิดแอร์ทิ้งไว้นั้นรถยนต์ของเราก็จะมีการเผาผลาญเชื้อเพลิงไปเรื่อย ๆ แบบไม่ได้หยุดพัก แถมไม่ได้ประโยชน์ในการเดินทางแต่อย่างใด ดังนั้นหากสงสัยว่าสตาร์ทรถ เปิดแอร์ เปลืองน้ำมันไหม ตอบได้แค่ว่าเปลืองแน่นอน

นอกจากจะสตาร์ทและเปิดแอร์ที่ถูกถามว่าสตาร์ทรถ เปลืองน้ํามันไหม แน่นอนว่าสำหรับคำถามที่ว่าสตาร์ทรถ กินน้ํามันไหม ทุกคนก็ได้คำตอบกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่ากินน้ำมัน และเปลืองน้ำมันเป็นอย่างมาก ยิ่งหากเป็นการสตาร์ททิ้งไว้นานบอกเลยว่าเป็นการสตาร์ทรถ กินน้ํามันมหาศาล ดังนั้นหากไม่จำเป็นจะไม่แนะนำให้สตาร์ททิ้งไว้นาน ๆ เพราะนอกจากจะเปลืองแล้ว ยังเป็นการส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราแบบผ่อนส่งด้วยนั่นเอง

สำหรับผู้ที่สงสัยว่าในเมื่อปกติขับรถเปิดแอร์ไม่ได้มีอันตรายอะไร แล้วหากจอดรถแล้วสตาร์ททิ้งไว้เปิดแอร์ จะอันตรายหรือไม่ คำตอบคืออันตราย เนื่องจากเมื่อรถยนต์จอดสนิทแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ เครื่องยนต์จะปล่อยก๊าซพิษอย่างคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือ CO ออกมา หากเราปิดกระจกและเปิดแอร์ แอร์จะดูดอากาศภายนอกรวมถึงก๊าซ CO เข้าไปภายในรถยนต์ทำให้ถือเป็นอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อสตาร์ทรถ เปิดแอร์ นอน ทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว

จริง ๆ แล้วการเสียบชาร์จแบตมือถือบนรถสามารถทำได้ แต่แนะนำว่าให้เลือกใช้สายหรืออุปกรณ์เชื่อมต่อที่ได้มาตรฐาน คุณภาพสูง จะช่วยยืิดอายุการใช้งาน รักษาสภาพการใช้งาน และไม่เป็นการทำให้อุปกรณ์มือถือของเราเสื่อมสภาพ หรือเกิดการขัดข้องเร็วกว่าระยะเวลาที่ควรจะเป็นนั่นเอง

ข้อมูลเหล่านี้คือข้อมูลที่ แรบบิท แคร์ ตั้งใจรวบรวมนำมาฝากให้ สำหรับใครที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการสตาร์ทรถ และต้องการทราบวิธีในการสตาร์ทเบื้องต้น

ที่สำคัญหากใครที่กำลังจะเริ่มหัดขับรถยนต์ ต้องไม่ลืมว่าการทำประกันรถยนต์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะละเลยไปไม่ได้ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ กับ แรบบิท แคร์ เอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวเรา และคู่กรณี