แบตเตอรี่รถยนต์หมด และเมื่อต้องพ่วงแบตจะมีวิธีพ่วงแบตรถยนต์หรือวิธีจั้มแบตรถยนต์อย่างไร?
แบตเตอรี่รถหมด เป็นอย่างไร ต้องทำไง คุณกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่หรือเปล่า…เช่น รถสตาร์ทไม่ติด สัญญาณแจ้งเตือนขึ้นโชว์จอ ต้องทำอย่างไร มาดูกัน!
เราต้องทราบก่อนว่าแบตเตอรี่นั้นเปรียบเสมือนหัวใจของรถยนต์ เพราะเป็นแหล่งพลังงานชิ้นสำคัญที่ทำให้รถยนต์ของท่านสามารถขับเคลื่อนไปได้ อย่ามัวแต่ขับจนแบตรถยนต์หมด แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์อยู่เป็นประจำนั้น อาจเคยมีประสบการณ์แบตรถยนต์หมดกลางทาง หรือไม่ก็สตาร์ทไม่ติดอันเนื่องมาจากแบตรถยนต์หมดหรือเสื่อม และถ้ามือใหม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้ เราจะต้องรับมืออย่างไร จะมีวิธีแก้ไขสถานการณ์แบบไหน เรามาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย
ลักษณะอาการเมื่อแบตรถยนต์หมดเป็นอย่างไร?
เราต้องมาดูก่อนว่าแบตรถยนต์หมดนั้น อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม ไดชาร์จเสื่อม มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม หรือ ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นอาการที่ทำให้แบตรถยนต์หมดได้ แต่ยังมีวิธีสังเกตง่ายๆอีกวิธีสำหรับมือใหม่ เชื่อเลยว่าหนึ่งในปัญหากวนใจที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับรถมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือปัญหา แบตรถยนต์หมดหรือเสื่อมสภาพจนทำให้คุณต้องปวดหัวได้แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นแน่ถ้าหากเราคอยใส่ใจดูแลรักษาและหมั่นสังเกตอาการรถคุณอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันนี้เรามี 5 สัญญาณบอกเหตุ ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้เสื่อมสภาพนั้นเป็นอย่างไร
แบตเตอรี่รถยนต์มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ หากแบตรถยนต์หมดและจะไม่สามารถทำอย่างที่ว่ามาข้างต้นได้เลย นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่างด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น อย่าปล่อยให้แบตรถยนต์หมดกันเชียวนะ
อาการของแบตเตอรี่เสื่อมจนนำไปสู่การทำให้แบตรถยนต์หมด
แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพนั้นคือ
- เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน
- ไดชาร์จทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยกว่าปกติ และไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้เลย
วิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
1. เริ่มมีอาการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก
โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นานหลายวัน เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์สตาร์ทจะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือรุนแรงถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด นั่นแสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งในกรณีนี้อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นที่แบตเตอรี่นะครับ ให้ลองพ่วงชาร์จเพื่อทำการสตาร์ทดูก่อน ถ้าเครื่องติดแล้วลองขับใช้งานปกติ เมื่อดับเครื่องยนต์ไม่นานนักแล้วกลับมาสตาร์ทติด แสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา แต่ถ้ายิ่งจอดนานหรือจอดข้ามคืนแล้วสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดคราวนี้แน่นอนว่าแบตเตอรี่รถคุณเริ่มเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟไว้จนนำไปสู่การทำให้แบตรถยนต์หมดได้
2. ไฟหน้ารถเริ่มสว่างน้อยลง
เนื่องจากประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ตรงนี้สำหรับคนที่ขับรถกลางคืนบ่อยๆ อาจจะสังเกตได้ง่ายกว่า สำหรับใครที่ไม่ชอบออกจากบ้านค่ำๆ มืดๆ เวลาขับเข้าลานจอดให้ลองเปิดไฟหน้ารถดูน่าจะพอให้สังเกตได้อย่าชะล่าใจไปเลยทีเดียวนั้นคือสัญญานเตือนแบตรถยนต์หมดได้
3. กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง
เป็นอีกหนึ่งอาการที่มักเกิดขึ้นจากกำลังไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ จากปกติที่เคยกดทีเดียวขึ้น/ลงสุดอย่างรวดเร็วกลับค่อยๆ ขึ้น/ลงช้าๆ พร้อมเสียงมอเตอร์กระจกไฟฟ้าที่หมุนแบบหนืดๆ เหมือนไม่มีกำลัง
4. ระบบไฟในรถเริ่มทำงานผิดปกติ
ตรงนี้ให้สังเกตจากไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ไฟหน้าจอเครื่องเสียงและไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ซึ่งเริ่มสว่างน้อยลง บางทีก็อาจติดๆ ดับๆ รวมถึงให้ลองบีบแตรดูถ้าเสียงเบาผิดปกติ นั่นแสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ของคุณไม่เพียงพอเช่นกัน
5. อายุการใช้งานของแบตเตอรี่
ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1.5 – 2 ปี (สำหรับรถที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม) เราสามารถดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ทางร้านแบตเตอรี่จะทำการระบุวันที่เราเริ่มใช้งานแบตเตอรี่ครั้งแรก ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย รถที่จอดทิ้งไว้ทีละหลายๆ วันแบตเตอรี่ยิ่งอายุสั้นกว่ารถที่ใช้งานปกติไปสู่การที่แบตรถยนต์หมด
ดังนั้นถ้าคุณพบว่ารถคุณเริ่มมีอาการต่างๆ เหล่านี้หรือถึงขั้นแบตรถยนต์หมด รวมถึงอายุอานามของแบตเตอรี่ก็ใกล้ครบวาระแล้ว รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ก่อนที่มันจะสร้างความลำบากให้กับคุณได้แบบไม่มีการบอกล่วงหน้า
แบตรถยนต์หมดเกิดจากอะไร?
ทุกวันนี้สาเหตุที่รถยนต์เสียต้องส่งซ่อมนั้นมีหลายเหตุผลด้วยกัน แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยได้สังเกตก็คือ “แบตรถยนต์หมด” เนื่องจากหลายคนที่มีรถยนต์และขับใช้งานอยู่เป็นประจำก็อาจจะไม่เคยรู้ถึงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถสร้างปัญหาใหญ่ให้เราได้ ดังนั้นการป้องกันที่ดีก็คือเราต้องหัดสังเกตให้ดีว่าสาเหตุอะไรบ้างที่จะทำให้แบตรถยนต์หมดเร็วกว่ากำหนด
แบตรถยนต์หมดเร็ว ซึ่งหลักๆ แล้วนั้นจะเป็นปัญหาที่เกิดจากแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า หรือความผิดพลาดในการทำงาน ซึ่งบางอย่างเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่บางอย่างอาจจำเป็นต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ เรามาดูกันว่า
สาเหตุใดบ้างที่ทำให้แบตรถยนต์หมดเร็ว
1. เปิดไฟทิ้งไว้ยามรถจอด
สำหรับสาเหตุแรกนั้นเป็นกรณีที่เราเปิดไฟหน้าหรือไฟภายในห้องโดยสารทิ้งไว้ตลอดเวลาแม้ในยามที่รถจอด อาจจะเนื่องด้วยลืมหรือตั้งใจก็ตาม ซึ่งไฟหน้ารถยนต์บางตัวถูกออกแบบมาให้เปิดทิ้งไว้สักครู่แล้วปิดอัตโนมัติ แต่หากการทำงานของระบบไฟผิดพลาดก็อาจจะทำให้ไม่สามารถดับเองและทำให้เป็นอีกสาเหตุของแบตรถยนต์หมดเร็วนั่นเอง
2. เลือกใช้แบตเตอรี่ไม่เหมาะกับรถ
มาต่อกันที่สาเหตุต่อมาก็คือการเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ที่ไม่เหมาะสมกับรถยนต์ของเรานั่นเองครับ ด้วยการเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีแอมป์น้อยไป ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถใช้ได้ แต่ใช้ได้ไม่นาน ดังนั้นกระแสไฟจากไดชาร์ท เมื่อชาร์ทกระแสเข้ามาที่แบตเตอรี่แล้วเทียบสัดส่วนจะกลายเป็น Over Charge ซึ่งส่งผลให้แบตเตอรี่ไฟเต็มเร็วไป ภายในแบตจะร้อนเร็วและนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุให้แบตรถยนต์หมดเร็ว
3. การดัดแปลงไดชาร์จ
สำหรับการดัดแปลงไดชาร์ทมาเพื่อให้ชาร์ทกระแสเข้าแบตเตอรี่ให้ได้เร็วยิ่งขึ้นนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอในรถแต่งเครื่องเสียงเสียส่วนใหญ่ แต่สาเหตุนี้ไม่ได้ดีต่อแบตเตอรี่รถยนต์เสียเท่าไร และยังเป็นเหตุให้แบตรถยนต์หมดเร็วขึ้นอีกด้วย เนื่องจากสัดส่วนของกระแสไฟในการชาร์ทแบตจะ Over Charge และแบตเตอรี่จะเกิดการ Charge บ่อยและถี่มากกว่ารถยนต์ปกตินั่นเองครับ
4. เชื่อมต่อแบตเตอรี่ที่หลวมหรือสนิม
การเชื่อมต่อแบตเตอรี่รถยนต์ที่หลวมหรือเป็นสนิมรอบๆ ขั้วนั้น ถือเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการขัดขวางการทำงานของมอเตอร์สตาร์ทให้เกิดการดึงกระแสไฟจากแบตเตอรี่และการทำงานของระบบ Charge ทำให้แบตรถยนต์หมดเร็วขึ้นนั่นเองครับ
5. จอดรถนานมากเกินไป
อีกสาเหตุที่หลายคนอาจมองข้ามไปแต่กลับเป็นอีกสาเหตุของการทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วก็คือการจอดรถนานมากเกินไปนั่นเอง โดยเฉพาะหลายคนที่มีความจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เพื่อไปทำงานต่างจังหวัด จนทำให้แผ่นตะกั่วมีเขม่าตะกอนไปเกาะที่แผ่นธาตุ ทำให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บกระแสไปในตัวแบตเตอรี่ทำได้ไม่ดี จนเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วนั่นเอง
6. สภาพอากาศที่หนาวหรือร้อนจัด
อีกสิ่งที่เราไม่อาจเลี่ยงได้นักก็คือสภาพอากาศที่เป็นอีกสาเหตุให้แบตรถยนต์หมดเร็ว ไม่ว่าจะสภาพอากาศที่หนาวหรือร้อนจัดเกินไปนั่นเองครับ แต่สำหรับกรณีนี้จะเกิดขึ้นกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีสภาพเก่าหรือสภาพไม่ดีแล้วเท่านั้น แต่สภาพอากาศจะไม่มีผลต่อแบตเตอรี่รถยนต์ที่ยังใหม่อยู่ครับ
7. ระบบ Charge มีปัญหา
สาเหตุที่บ่งบอกชัดเจนที่สุดว่าแบตรถยนต์หมดเร็วก็คือการที่ระบบ Charge มีปัญหา ซึ่งหากเรากำลังขับรถอยู่แล้วปรากกฏว่าแบตเตอรี่รถยนต์มีอาการผิดปกติเหมือนจะหมดในระหว่างที่กำลังขับรถอยู่ นั่นแสดงว่าระบบ Charge ไฟมีปัญหา หากไม่รีบตรวจสอบก็จะเป็นเหตุให้แบตรถยนต์หมดเร็วกว่าปกติ เจ้าของรถหลายๆ อยากจะรักษาแบตเตอรี่ไว้ เลยอยากจะถอดขั้วแบตเตอรี่ออก แต่เมื่อต้องวุ่นวายกับระบบไฟฟ้า เราก็มักจะกังวลถึงอันตรายต่างๆ นานา แต่ที่จริงแล้วถ้าทำถูกวิธี ถูกขั้นตอน เรื่องการถอดขั้วแบตเป็นเรื่องที่ง่ายมาก และไม่อันตรายอย่างที่คิด
ขั้นตอนการถอด
- ดับเครื่องยนต์ให้เรียบร้อย
- สวมถุงมือ และแว่นตา
- หาขั้วลบของแบตเตอรี่ โดยสังเกตจากสัญลักษณ์รูปลบ (-) มีฝาครอบสีดำ และมักอยู่ฝั่งที่ติดกับตัวถังรถ
- ถอดขั้วลบออกก่อนเสมอ โดยนำประแจมาขันหัวน๊อตขั้วลบทวนเข็มนาฬิกา ที่ไม่ถอดขั้วบวกออกก่อนเพราะถ้าหากถอดขั้วบวกออกก่อน ขั้วบวกนั้นอาจจะไปสัมผัสกับตัวถัง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เป็นขั้วลบ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสปาร์ค และสร้างความเสียหายได้
- เมื่อหัวน๊อตคลายออกแล้ว ให้ดึงขั้วลบออกจากแบตเตอรี่ ระวังอย่าให้น๊อตสัมผัสกับแบตเตอรี่
- ถัดมาถอดขั้วบวกออก ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ทำกับขั้วลบในข้อ 4 และ 5 โดยระวังอย่าให้ขั้วบวกสัมผัสกับโลหะ
- คลายสกรูที่ยึดแบตเตอรี่กับถอดออก นำแบตเตอรี่ออกจากถาดวาง
ส่วนวิธีใส่แบตเตอรี่เข้าไปที่เดิมก็ง่ายมาก แค่สวมถุงมือ และแว่นตาให้เรียบร้อย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนการถอด เพียงแค่เริ่มจากข้อ 7 ย้อนขึ้นไปจนถึงข้อ 4 เท่านั้น
เช็คแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยตนเอง วิธีง่ายๆใครก็ทำได้
แบตเตอรี่รถยนต์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของรถยนต์ ก่อนออกเดินทางไกลควรเช็คแบตเตอรี่รถยนต์เสียก่อน เพื่อป้องกันปัญหารถสตาร์ทไม่ติดหรืออาการกวนใจอื่นๆ ระหว่างทาง การเช็คแบตเตอรี่รถยนต์สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1.เช็คแบตเตอรี่ว่ามีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่แล้ว สำหรับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่ถึง 1 ปี มีโอกาสที่จะเสื่อมสภาพน้อยมาก ส่วนแบตเตอรี่ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ควรได้รับการเช็คสภาพอย่างสม่ำเสมอ
2.ตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น ตามประเภทของแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรเช็กทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรเช็กทุกๆ 6-12 เดือน
3.เช็คสภาพแบตเตอรี่เบื้องต้นผ่านช่องตาแมวแบตเตอรี่ โดยสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมว แบตเตอรี่แต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะแบตที่ต่างกัน สามารถศึกษาคำอธิบายได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่
วิธีพ่วงแบตรถยนต์ ทำอย่างไรให้ปลอดภัย?
วิธีพ่วงแบตรถยนต์ หนึ่งในปัญหาคาใจสำหรับมือใหม่ที่มักจะสงสัยว่าการจั้มแบตรถยนต์ หรือการพ่วงแบตรถยนต์นั้นมีวิธีการอย่างไร และมีข้อควรรู้อย่างไรบ้าง เนื่องจากในหลายครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นตามมาจากการพ่วงแบตรถยนต์จนทำให้ผู้ที่ขับรถมือใหม่หลายคนไม่กล้าที่จะลงมือทำเอง กรณีที่เกิดเหตุการณ์แบตเตอรี่หมดระหว่างทาง
เพื่อให้ผู้ที่ขับรถมือใหม่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพ่วงแบตรถยนต์ หรือการจั้มแบตรถยนต์ให้สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ วันนี้เราก็มี วิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ถูกวิธีที่ทำแล้วปลอดภัยมาแนะนำกัน
5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องใช้วิธีพ่วงแบตรถยนต์หรือวิธีจั้มแบตรถยนต์
ก่อนที่จะไปดูวิธีพ่วงแบตรถยนต์หรือวิธีจั้มแบตรถยนต์กัน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กรณีแบบไหนที่จะส่งผลต่อความเสื่อมของแบตเตอรี่รถยนต์ได้ง่าย และทำให้ต้องจั้มแบตรถยนต์โดยด่วนเนื่องจากอาการรถดับ และสตาร์ทไม่ติดระหว่างทาง โดยมีอยู่ 5 ปัจจัยสำคัญ คือ
1. น้ำกลั่นแบตเตอรี่แห้ง
แบตเตอรี่ในรถหลายรุ่นจำเป็นที่จะต้องคอยเช็ค และเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เนื่องจากเมื่อน้ำกลั่นแห้ง หรืออยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าแผ่นธาตุในแต่ละช่องแบต จะส่งผลให้รถดับ หรือมีอาการสตาร์ทไม่ติดเกิดขึ้น นั่นจึงทำให้คุณต้องรีบทำการพ่วงแบตรถยนต์ในทันที
2. ไดชาร์จนำกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่มากเกินไป
กรณีนี้จะมาจากการที่สวิตช์ หรือคัตเอาต์ที่คอยตัดกระแสไฟฟ้าให้เข้าแบตเตอรี่เสีย จนส่งผลให้ไดชาร์จนำเข้ากระแสไฟฟ้าไปสู่แบตเตอรี่มากจนเกินไป ส่งผลให้แบตเตอรี่ไม่ทำงานการใช้วิธีพ่วงแบตรถยนต์จึงเป็นวิธีที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของแบตเตอรี่ให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
3. แผ่นธาตุแบตเตอรี่เสื่อม
ผู้ที่ใช้รถยนต์ต้องทราบว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์ก็มีวันหมดอายุการใช้งานด้วย โดยเฉพาะเมื่อแผ่นธาตุของแบตเริ่มเสื่อมหรือหมดอายุการใช้งาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีอายุอยู่ที่ 1.5 – 2 ปี ทั้งนี้อาการที่จะบ่งบอกได้ชัดว่าแบตใกล้หมดอายุก็คือ เริ่มสตาร์ทติดบ้างเป็นครั้งคราว หรือสตาร์ทติดยาก ซึ่งเมื่อเกิดอาการเช่นนี้ ให้เตรียมตัวสำหรับการหาวิธีพ่วงแบตรถยนต์เอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย
4. ขนาดของแบตเตอรี่ไม่ตรงกับการใช้งาน
แบตเตอรี่ที่ใช้กับระบบไฟฟ้าของรถยนต์นั้นควรจะเป็นแบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ที่เหมาะสมกับการใช้งานของระบบไฟฟ้าในตัวรถ ซึ่งปัญหานี้อาจจะมาจากการเปลี่ยนแบตเตอรี่จากนอกศูนย์บริการ ทำให้ได้แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA น้อย หรือมากเกินไป จนเกิดการเสียหายก่อนเวลาอันควรจะต้องใช้วิธีพ่วงแบตรถยนต์เพื่อช่วยจุดสตาร์ทชั่วคราว
5. เปิดใช้ไฟฟ้าในรถยนต์เป็นเวลานานจนเกินไป
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องใช้วิธีพ่วงแบตรถยนต์ในการช่วยสตาร์ทรถยนต์ก็คือ การใช้ไฟฟ้าในรถยนต์จนเกินความจำเป็น หรือบางครั้งอาจมาจากการหลงลืมที่จะปิด เช่นไฟในรถยนต์ หรือการสตาร์ทรถทิ้งไว้โดยเปิดทั้งเครื่องปรับอากาศ ไฟส่องสว่าง และวิทยุเอาไว้แล้วลงไปทำธุระเป็นเวลานาน การทำเช่นนี้บ่อยครั้งส่งผลให้แบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุได้เร็วขึ้น
วิธีจั้มแบตรถยนต์ ที่ถูกวิธีและมีความปลอดภัย
เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ต้องทำให้ใช้การพ่วงแบตรถยนต์กันไปแล้ว คราวนี้มาทราบถึงวิธีพ่วงแบตรถยนต์ หรือจั้มแบตรถยนต์กันบ้าง ว่าวิธีพ่วงแบตรถยนต์แบบไหนถึงจะถูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอันตรายจากวิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ผิดได้
1. เตรียมสายจั้มแบตรถยนต์ให้พร้อม
ประการแรกของวิธีพ่วงแบตรถยนต์ให้ถูกวิธีก็คือ การเตรียมสายสำหรับจั้มแบตรถยนต์ให้พร้อม โดยแนะนำว่าควรเก็บเอาไว้ในรถยนต์ตลอดเวลา เพราะมักจะมีกรณีฉุกเฉินที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นมาได้อยู่เสมอ สำหรับการใช้สายพ่วงแบตรถยนต์นั้นจะมีทั้งหมด 2 เส้น คือสีแดงสำหรับประจุไฟฟ้าขั้วบวก และสีดำ หรือสีเขียว สำหรับประจุไฟฟ้าขั้วลบ สิ่งสำคัญคือควรเลือกให้มีความยาวที่เพียงพอต่อการลากมาพ่วงต่อกันได้ อย่าให้รถต้องประชิดกันมากจนเกินไป
2. ปิดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
วิธีพ่วงแบตรถยนต์ให้ปลอดภัยสูงสุดคือ รถยนต์จะต้องอยู่สถานะที่ดับสนิท ไม่มีการเกิดไฟส่องสว่าง หรือวิทยุใด ๆ ของรถยนต์ รวมทั้งระบบปรับอากาศ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะป้องกันการเกิดประกายไฟฟ้าขึ้น ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นที่ทำให้เกิดระเบิดตามมาได้ รวมทั้งการปิดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดยังช่วยให้กระแสไฟฟ้าไปถึงมอเตอร์สตาร์ทได้อย่างเต็มที่ด้วย
3. เริ่มต่อสายพ่วงแบตรถยนต์เพื่อเชื่อมกระแสไฟฟ้า
เมื่อมีรถที่จะทำการต่อพ่วงแบตเตอรี่แล้ว และมีการเตรียมความพร้อมสำหรับวิธีพ่วงแบตรถยนต์แล้ว คราวนี้มาเริ่มต่อกระแสไฟฟ้าให้เข้าสู่แบตเตอรี่หรือที่เรียกว่าการจั้มแบตรถยนต์ได้ด้วยการใช้สายพ่วงแบต ด้วยวิธีการดังนี้
- นำสายสีแดงคีบไว้ที่ขั้วบวกของรถที่แบตเตอรี่หมด
- นำสายสีแดงอีกด้านไปคีบไว้ที่ขั้วบวกของรถที่มีไฟ
- นำสายสีดำหรือเขียวไปคีบไว้ที่ขั้วลบของรถที่มีไฟ
- นำสายสีดำหรือเขียวอีกด้านไปหนีบไว้กับโครงโลหะของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด
4. เริ่มทำการสตาร์ทเครื่อง
ทำตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์มาถึงตรงนี้แล้วให้เริ่มสตาร์ทรถยนต์คันที่มีไฟเต็ม หรือสตาร์ทติดได้ก่อน จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที โดยทำการเร่งเครื่องเล็กน้อย เพื่อให้เกิดการถ่ายประจุไฟฟ้าระหว่างรถคันที่แบตเตอรี่เต็มกับรถที่ทำการจั้มแบตรถยนต์ จากนั้นให้เริ่มทำการสตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่หมด โดยทำการเร่งเครื่องเล็กน้อยหากว่าสตาร์ทติดเพื่อเป็นการตรวจสอบดูว่าการวิธีพ่วงแบตรถยนต์สำเร็จผลหรือไม่ หากยังไม่ติดก็ให้ทำซ้ำอีกครั้ง และเมื่อสามารถสตาร์ทติดแล้ว ให้ปล่อยทิ้งเอาไว้อีกสัก 1-2 นาทีก่อน
5. ทำการถอดสายจั้มแบตรถยนต์ออก
แม้ว่าจะสามารถสตาร์ทรถยนต์ให้กลับมาใช้ได้อีกครั้งแล้วก็ตาม แต่วิธีพ่วงแบตรถยนต์ก็ยังไม่เสร็จสิ้นเพราะต้องทำการถอดสายที่จั้มแบตรถยนต์ออกเสียก่อน โดยวิธีการถอดสายจั้มแบตรถยนต์ให้ปลอดภัย คือ
- เริ่มจากการถอดขั้วลบที่ของคันที่หมดออกก่อน
- จากนั้นทำการถอดสายจั้มแบตรถยนต์ของขั้วลบจากรถคันที่แบตเตอรี่เต็ม
- ทำการถอดสายพ่วงแบตรถยนต์คันที่แบตเตอรี่เต็มออกก่อน
- จากนั้นทำตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์คือถอดสายจั้มแบตรถยนต์จากขั้วบวกของรถยนต์คันที่แบตหมดออก
- ขณะที่ทำการถอดสายจั้มแบตรถยนต์ไม่ควรให้ขั้วสายที่ต่างสีมาสัมผัสกัน
เพียงเท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์ได้อย่างถูกต้อง และถูกขั้นตอนแล้ว โดยหากปฏิบัติตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์ดังนี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอันตรายลงได้ และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสตาร์ทรถยนต์ติดได้ง่ายขึ้นด้วย
ข้อควรระวังสำหรับการจั้มแบตรถยนต์ทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม วิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ได้ระบุมาข้างต้นนี้ก็อาจจะไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยได้ 100% หากว่าละเลยข้อควรระวังของวิธีพ่วงแบตรถยนต์อยู่ ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังของการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ที่ต้องกาดอกจันตัวโต ๆ เอาไว้มีดังนี้
1. เช็กให้ชัวร์ว่าปิดระบบไฟฟ้าทั้งสองคันแล้ว
ตามที่ได้ระบุเอาไว้ในวิธีพ่วงแบตรถยนต์แล้วว่า ก่อนจะพ่วงแบตรถยนต์นั้นต้องมีการปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดเสียก่อน ทั้งนี้ก็ไม่ได้เพียงแค่คันที่แบตเตอรี่หมดเท่านั้น แต่ต้องปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าของรถยนต์ทั้งสองคัน และต้องดับเครื่องเสมอ
2. ตรวจสอบอุปกรณ์จั้มแบตรถยนต์ให้พร้อมใช้งานเสมอ
ก่อนที่จะนำสายจั้มแบตรถยนต์ไปใช้งาน ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า อุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่มีการแตกหัก หรือบิดงอของสาย รวมทั้งตัวแบตเตอรี่ก็ต้องอยู่ในสภาพภายนอกที่เป็นปกติด้วย
3. ไม่ควรต่อพ่วงสายจั้มแบตรถยนต์ที่ขั้วลบของรถที่แบตหมด
อย่างที่ได้ระบุไว้ในวิธีพ่วงแบตรถยนต์แล้วว่า เมื่อต่อสายพ่วงแบตรถยนต์ให้ทำการหนีบสายขั้วลบเข้ากับโลหะของตัวรถเท่านั้น เพราะการคีบที่ขั้วลบของแบตรถยนต์ที่หมด อาจส่งผลให้เกิดการระเบิดของแบตเตอรี่ขึ้นได้
4. ระวังปลายสายพ่วงแบตสัมผัสกัน
นอกจากวิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ต้องให้ความสำคัญแล้ว วิธีการถอดสายถ่วงแบตรถยนต์ก็สำคัญเช่นเดียวกัน ในระหว่างที่ทำการถอดสายพ่วงแบตออก ต้องระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ปลายสายพ่วงที่ต่างขั้วกันเกิดการสัมผัสกัน
5. เรียงลำดับการปลดสายให้ถูกต้องเสมอ
วิธีพ่วงแบตรถยนต์มักจะมีการจัดลำดับของถอดสายจั้มแบตรถยนต์ที่ถูกต้องเอาไว้อยู่เสมอ ฉะนั้นแล้วการค่อย ๆ ลำดับการถอดสายพ่วงแบตอย่างถูกต้อง ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดกระแสไฟไหลย้อนกลับได้
6. ไม่สูบบุหรี่หรือกระทำการที่ก่อให้เกิดประกายไฟ
เพราะในขณะที่ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่อยู่นั้น จะมีแก๊สเกิดขึ้น หากแก๊สเจอกับประกายไฟอาจส่งผลให้เกิดระเบิดได้
7. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณแบตเตอรี่โดยตรง
เนื่องจากในแบตเตอรี่จะมีน้ำกรดที่เป็นสารกัดกร่อน หากสัมผัสโดนผิวหนังหรือดวงตา อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้
8. ห้ามสตาร์ทเครื่องทั้ง 2 คันพร้อมกัน
ให้ทำตามวิธีจั้มแบตรถยนต์ที่เราได้แนะนำไปในข้างต้นอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องสตาร์ทรถยนต์คันที่มาช่วยก่อน จึงจะสตาร์ทรถยนต์คันที่แบตหมดตามลำดับ
ทั้งนี้ข้อควรระวังในการจั้มแบตรถยนต์ คุณจะต้องจำให้ขึ้นใจเพื่อป้องกันไม่ให้อันตรายเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง และจะต้องปฏิบัติตามวิธีจั้มแบตรถยนต์อย่างเคร่งครัด
เรียกได้ว่า วิธีพ่วงแบตรถยนต์ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่สำหรับมือใหม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล โดยเฉพาะหากปฏิบัติตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ถูกต้อง และไม่มองข้ามข้อควรระวังในการถอดสายพ่วงแบตอยู่เสมอ ก็จะป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจั้มแบตรถยนต์ได้มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้เรื่องของแบตเตอรี่และประกันรถยนต์ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกรณีของการทำประกันรถยนต์ หากเกิดความเสียหายขึ้นของแบตเตอรี่จากอุบัติเหตุ การทำประกันรถยนต์เอาไว้ก็จะช่วยคุ้มครองและเคลมได้อย่างแน่นอน แต่หากแบตเตอรี่หมดจนต้องเปลี่ยน กรณีแบบนี้แม้จะมีประกันชั้นหนึ่งก็ไม่สามารถเคลมได้ ดังนั้นขับขี่อย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท และใช้พลังงานรถอย่างคุ้มค่าอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างเหมาะตามอายุการใช้งานได้ และไม่ต้องกลัวกรณีฉุกเฉินเมื่อรถดับ เพราะทำตามวิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่เราแนะนำไป ปลอดภัยหายห่วงแน่นอน
แบตเตอรี่รถยนต์หมด เคลมประกันรถยนต์ได้หรือไม่
กรณีแบตเตอรี่รถยนต์หมด ไม่สามารถเคลมประกันรถยนต์ได้ เนื่องจากการหมดอายุหรือเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ถือเป็นการสึกหรอตามปกติ ซึ่งประกันรถยนต์ทั่วไปไม่ครอบคลุมการสึกหรอหรือการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของชิ้นส่วนรถยนต์ อย่างไรก็ตาม มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่อาจได้รับในกรณีนี้:
• การสึกหรอของแบตเตอรี่
ประกันภัยรถยนต์ทุกประเภท (ชั้น 1, ชั้น 2/2+, ชั้น 3/3+) ไม่คุ้มครองในกรณีแบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพ เนื่องจากถือว่าเป็นความสึกหรอตามปกติของชิ้นส่วน ซึ่งไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการคุ้มครองของประกันรถยนต์
• บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน
หากคุณมีประกันชั้น 1 หรือซื้อบริการเสริมที่เรียกว่า บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance) คุณอาจได้รับความช่วยเหลือในกรณีแบตเตอรี่หมด เช่น: บริการพ่วงแบตเตอรี่, บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ (แต่ค่าซื้อแบตเตอรี่อาจจะต้องจ่ายเอง) ฯลฯ ซึ่งการให้บริการเหล่านี้ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจหรือบริการที่คุณซื้อเพิ่มเติมจากบริษัทประกัน
• การดูแลและบำรุงรักษา
การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ต้องดูแลบำรุงรักษาเป็นประจำ หากแบตเตอรี่หมดและทำให้ไม่สามารถใช้รถได้ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบเอง
โดยสรุปแล้ว แบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพไม่สามารถเคลมประกันรถยนต์ได้ เนื่องจากถือว่าเป็นการสึกหรอตามปกติ แต่ถ้าคุณมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน คุณอาจได้รับการช่วยเหลือในการพ่วงหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ แต่ค่าใช้จ่ายในการซื้อแบตเตอรี่ใหม่มักจะต้องจ่ายเอง ซึ่งถ้าหากแบตเตอรี่หมดบ่อย อาจต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหา