รวม 7 ต้นตอแอร์รถยนต์ไม่เย็นเกิดจากอะไร รีบเช็กก่อนสาย
เชื่อว่าปัญหาเกี่ยวกับแอร์รถยนต์คงเป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นแน่นอน อะไรเสียก็ยอมยกเว้นแอร์เสียเพราะอากาศประเทศไทยนั้นร้อนเหลือเกิน วันนี้เราพามารู้ถึงสาเหตุ สัญญาณเตือนว่าแอร์รถยนต์กำลังจะมีปัญหากันดีกว่า
แอร์รถยนต์สำคัญอย่างไร
แอร์รถยนต์ หรือระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ คือ ระบบที่ทำให้ภายในห้องโดยสารมีอุณหภูมิตามที่เราต้องการ หากอุณหภูมิภายนอกสูงเราสามารถควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้ต่ำตามที่เราต้องการได้ แอร์รถยนต์บางคันเมื่ออุณหภูมิข้างนอกรถต่ำภายในรถก็สามารถปรับอุณหภูมิให้สูงเหมือนฮีตเตอร์ได้อีกด้วย โดยกลไกการทำงานเบื้องต้นของระบบปรับอากาศมีดังนี้
- คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ ทำหน้าที่ดูดน้ำยาแอร์รถยนต์เข้ามาอัดความดันและเพิ่มอุณหภูมิน้ำยาแอร์ให้สูงขึ้นจากนั้นจะส่งน้ำยาแอร์ออกไปตามท่อทางออกของคอมเพรสเซอร์แอร์เพื่อเข้าสู่กระบวนการระบายความร้อนภายในคอยล์ร้อน เมื่อน้ำยาแอร์มีอุณหภูมิต่ำจะไหลสู่คอยล์เย็น
- พัดลมแอร์จะทำหน้าที่ดูดอากาศจากห้องโดยสารผ่านคอยล์เย็นโดยอุณหภูมิที่สูงจะถูกดูดซับความร้อนด้วยน้ำยาแอร์ภายในคอยล์เย็นอากาศจะผ่านท่อลมกลับมาที่คอยล์เย็นและออกสู่ช่องปรับอากาศบริเวณหน้าคอนโซลรถ ส่วนความร้อนที่น้ำยาแอร์ดูดซับไว้จะแปรสภาพกลายเป็นก๊าซเข้าสู่คอมเพรสเซอร์แอร์อีกครั้ง
สาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
1. น้ำยาแอร์รถยนต์รั่วหรือใกล้หมด
น้ำยาแอร์รถยนต์รั่วหรือใกล้หมดเป็นอีกสาเหตุที่พบบ่อยเนื่องจากการใช้งานเป็นเวลานานและละเลยการตรวจเช็กปริมาณน้ำยาแอร์ เมื่อน้ำยาแอร์รถยนต์เหลือน้อยหรือใกล้จะหมด จะทำให้แรงดันภายในแอร์ลดลง น้ำยาแอร์ไม่สามารถเข้าสู่แผงคอยล์เย็นเพื่อออกไปดูดจับความร้อนบริเวณห้องโดยสารได้ ทำให้รู้สึกร้อนเพราะมีแต่ลมออกมาไม่มีความเย็นหรือความฉ่ำของแอร์
ปกติควรตรวจเช็กน้ำยาแอร์รถยนต์และเติมน้ำยาแอร์ทุก ๆ 2 ปี หรือตามรอบการเช็กสภาพรถยนต์ วิธีตรวจสอบรอยของน้ำยาแอร์รถยนต์รั่วเบื้องต้นสามารถทำได้ โดยการใช้น้ำสบู่ลูบบริเวณท่อ หากสังเกตเห็นฟองอากาศแสดงว่าจุดนั้นมีแอร์รถยนต์รั่ว
2. แผงคอยล์ร้อนมีปัญหา
แผงคอยล์แอร์คือแผงที่อยู่บริเวณพัดลมระบายความร้อนในห้องเครื่องทำหน้าที่ระบายความร้อนออกจากน้ำยาแอร์รถยนต์ ทำให้ภายในห้องโดยสารเย็น หากคอยล์แอร์รถยนต์มีสิ่งอุดตันจะทำให้แผงคอยล์แอร์เกิดปัญหา เช่น แผงคอยล์แอร์แตก หัก ไม่สามารถระบายความร้อนได้เนื่องจากมีสิ่งอุดตันทำให้ระบายความร้อนจากน้ำยาแอร์ไม่ได้ทำให้แอร์รถไม่เย็นนั้นเอง
3. คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ชำรุด
คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเย็นภายในห้องโดยสาร ซึ่งปัญหาแอร์รถไม่เย็นจากคอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ชำรุดสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ ลูกสูบภายในคอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์หลวม, สายพานคอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์หย่อน, คลัตช์คอมเพรสเซอร์ขัดข้อง หรือคอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์มีการใช้งานนานเกินไป ข้อควรระวังไม่ควรตั้งอุณหภูมิภายในรถยนต์ให้เย็นเกินไปเพราะจำให้คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ทำงานหนัก
4. กรองแอร์รถยนต์อุดตัน
กรองแอร์รถยนต์ (Cabin Air Filter) ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยที่สุด โดยเกิดจากฝุ่นหรือการสะสมของสิ่งสกปรกทำให้กรองแอร์รถยนต์อุดตัน หากแอร์รถยนต์ไม่เย็นหรือแอร์รถยนต์มีกลิ่นอับ ให้สันนิษฐานว่าเกิดจากกรองแอร์อุดตัน โดยตัวกรองแอร์รถยนต์ควรตรวจเช็กทุก 2,000 - 5,000 กิโลเมตร และทำการเปลี่ยนไส้กรองทุก 20,000 กิโลเมตร หากพบปัญหาฝุ่นอุดตันสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้โดยการทำความสะอาดตัวกรองแอร์รถยนต์ด้วยการเป่าลม หากตัวกรองเป็นแสตนเลสสามารถนำมาล้างทำความสะอาดและเป่าให้แห้งได้
5. พัดลมแอร์มีปัญหา
พัดลมแอร์ทำให้เกิดลมส่งผ่านเข้ามาภายในห้องโดยสาร หากลมที่ออกมามีความแรงที่เบาให้เช็กว่าพัดลมแอร์ยังทำงานปกติหรือไม่ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพหรือมีสิ่งเข้าไปอุดตันพัดลมแอร์จึงทำให้เกิดปัญหานั้นเอง
6. ระบบไฟไม่ทำงาน
สาเหตุที่ไม่ควรมองข้ามเพราะว่าระบบภายในรถยนต์ส่วนมากอาศัยระบบไฟฟ้าเป็นหลัก หากอุณหภูมิภายนอกมีความร้อนมากกว่า 45 องศาเซลเซียสสามารถทำให้สายไฟเกิดความร้อนและลัดวงจรได้
เมื่อเกิดไฟลัดวงจรจะทำให้แอร์รถยนต์รวมถึงวงจรแอร์รถยนต์หยุดทำงานทันที หรือเกิดจากฟิวส์ไหม้หรือเสื่อมสภาพ ทำให้ระบบแอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
7. เครื่องยนต์ร้อนเกินไป
หากเครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ไม่ดีอาจส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมและส่งผลต่อประสิทธิภาพความเย็นของแอร์รถยนต์ได้
จุดที่ควรตรวจเช็กเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็น
1. เช็กน้ำยาแอร์รถยนต์
หากสตาร์ทเครื่องแล้วเปิดระบบเครื่องปรับอากาศปุ่ม A/C และสังเกตดูช่องตรวจสอบน้ำยาแอร์รถยนต์ ระหว่างแผงระบายความร้อนด้านหน้ารถ หากเห็นฟองอากาศสีขาว แสดงว่าน้ำยาแอร์รถยนต์กำลังจะหมด กรณีเกิดรอยรั่วของน้ำยาแอร์รถยนต์จะสังเกตได้จากคราบสกปรกบริเวณท่อแอร์
2. ตรวจดูแผงคอยล์ร้อน
ทำการตรวจเช็ดได้โดย สตาร์ทเครื่องยนต์ เปิดแอร์ เปิดฝากระโปรงรถ แล้วสังเกตบริเวณแผงคอยล์ร้อนว่ามีเสียงหรือหมุนช้าหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวให้เช็กว่าแผงคอยล์มีสิ่งอุดตันหรือแตกหักหรือไม่ ถ้าอุดตันสามารถนำแผงคอยล์แอร์ออกมาทำความสะอาดแล้วใส่กลับไปที่เดิมได้ หากแตกหรือหักควรเปลี่ยนแผงคอยล์แอร์ใหม่ เพื่อให้แผงคอยล์กลับมาระบายความร้อนได้เหมือนเดิม
3. ตรวจเช็กฝาครอบท่ออัดน้ำยา
หากฝาท่อปิดไม่สนิทอาจทำให้มีฝุ่นเกาะบริเวณฝาท่อ การอัดน้ำยาแอร์รถยนต์ในครั้งถัดไปอาจทำให้ฝุ่นที่บริเวณฝาท่อลงไปกับน้ำยาแอร์ทำให้ระบบต่างๆภายในแอร์รถยนต์เกิดการอุดตันได้
ข้อแนะนำในการดูแลแอร์รถยนต์
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมภายในรถที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ตู้แอร์เกิดการผุกร่อนเร็วกว่ากำหนด
- หลีกเลี่ยงการเปิดกระจกขนาดขับรถเพราะจะทำให้ฝุ่นละอองภายนอกเข้าไปอุดตันในตู้แอร์หรือกรองแอร์มากยิ่งขึ้น หากมีเหตุจำเป็นที่ต้องเปิดกระจกขับรถ ให้ปิดช่องแอร์บริเวณคอลโซลแอร์ทุกจุดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปนั้นเอง
- ควรล้างแอร์รถยนต์ ทุก 2 ปี หรือหากเปิดกระจกขับรถเป็นประจำให้ล้างแอร์รถยนต์ทุก ๆ ปี
- ระบายความร้อนภายในรถก่อนเปิดแอร์ หากในรถอากาศร้อนมาก ๆ ก่อนเปิดแอร์ให้ทำการลดกระจกลงแล้วเปิดพัดลมแอร์แรงสุดทิ้งไว้สักพักเพื่อระบายความร้อนออกจากภายในรถ ทำให้แอร์เย็นแล้วแถมยังยืดอายุการทำงานของแอร์รถยนต์อีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการเปิดแอร์โหมดออโต้ เพราะจำให้ความเย็นและความร้อนปะทะกันแล้วเกิดเป็นหยดน้ำภายในตู้แอร์น้ำที่ค้างอยู่บริเวณดังกล่าวอาจรั่วสร้างความเสียหายให้แก่รถของท่านได้
- อย่าเปิดแอร์ขณะสตาร์ทรถ โดยทั่วไปเรามักจะดับเครื่องรถโดยไม่ปิดแอร์ก่อน เมื่อสตาร์ทรถใหม่แอร์จะติดทันที เครื่องยนต์จะทำรอบสูงทำให้ระบบแอร์ทำงานหนักไปด้วยเพราะทั้งระบบทั้งสองอย่างทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อเครื่องยนต์ทำงานหนักจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักไปด้วย ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์มีรอบสูงเพิ่มโอกาสการพังของแอร์เร็วขึ้น
- หากใครที่ชอบขับรถเร็วแล้วชอบปิดแอร์อย่ารีบเปิดแอร์ทันที เพราะเมื่อเราใช้ความเร็วสูงขณะขับรถจะทำให้รอบเครื่องยนต์สูงมากหากเปิดแอร์ทันทีจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานอย่างหนักหรือถึงขั้นพังเลยก็เป็นได้ ต้องรอให้รอบเครื่องยนต์ค่อยๆต่ำลงมาก่อนค่อยทำการเปิดแอร์
หากพบปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็นหรือสังเกตเห็นถึงอาการผิดปกติควรรีบเอารถเข้าตรวจเช็กสภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดมากยิ่งขึ้น ก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้งควรตรวจเช็กสภาพรถก่อนออกเดินทาง เพื่อให้คุณเดินทางได้อย่างปลอดภัยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
ซ่อมแอร์รถยนต์ราคาเท่าไหร่? และค่าบริการล้างแอร์เท่าไหร่บ้าง?
รถยนต์จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจสงสัยว่าราคาซ่อมแอร์รถยนต์รวมไปถึงในกรณีการล้างแอร์รถยนต์ว่ามีค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไรบ้าง น้องแคร์ได้ไปรวมราคาในการซ่อมแซมอย่างคร่าว ๆ มาให้เพื่อน ๆ ได้ดังนี้
- ราคาซ่อมแอร์รถยนต์ : ค่าใช้จ่ายจะคิดจากสองส่วนสำคัญคืออย่างแรกค่าแรงค่าบริการ และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คืออะไหล่ที่เสียหาย โดยคิดเป็นรายชิ้น ยิ่งมีชิ้นส่วนเสียหายเยอะค่าซ่อมแซมก็จะยิ่งสูงตามโดยค่าอะไหล่แอร์รถยนต์จะเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยกลาง ๆ ขึ้นไป
- ค่าล้างแอร์รถยนต์ : สำหรับค่าใช้จ่ายในการใช้บริการล้างแอร์รถยนต์นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละร้านว่าจะมีอัตราค่าบริการเท่าไหร่ โดยจะมีราคากลางเริ่มต้นตั้งแต่ 5xx บาทขึ้นไป
แอร์รถยนต์มีปัญหาหรือว่าแอร์รถยนต์เสียเคลมประกันได้ไหม?
หากแอร์รถยนต์เริ่มมีปัญหาหรือเริ่มออกอาการแอร์รถยนต์ไม่เย็นแล้ว การซ่อมแซมหรือว่าจะเป็นการล้างแอร์รถยนต์จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายในการซ่อมแอร์รถยนต์ รวมถึงกรณีที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นไม่สามารถทำเรื่องเบิกหรือเคลมเงินกับประกันได้ เป็นขอยกเว้นเนื่องจากประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองดูแลในกรณีมีการเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเท่านั้น ดังนี้
• ประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ รวมถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถยนต์ เช่น แอร์ หากความเสียหายของแอร์เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น รถชน รถถูกกระแทก หรือเหตุการณ์ที่ทำให้แอร์เสียหายจากภายนอก ประกันภัยชั้น 1 จะคุ้มครองและสามารถเคลมได้
• ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และชั้น 3+
สำหรับประกันชั้น 2+ และชั้น 3+ จะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการชนกับยานพาหนะอื่นเป็นหลัก และไม่ได้ครอบคลุมถึงความเสียหายภายในรถ เช่น การเสียหายของแอร์รถยนต์ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพหรือจากปัญหาทางเทคนิค แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการชนและส่งผลให้แอร์รถเสียหาย ประกันชั้น 2+ และ 3+ อาจคุ้มครองเฉพาะค่าใช้จ่ายในการซ่อมแอร์ที่เสียหายจากการชนกับคู่กรณี
ดังนั้นในกรณีที่แอร์รถยนต์มีปัญหาหรือเสียหายที่เกิดจากการเสื่อมสภาพจะไม่สามารถเคลมประกันได้ ซึ่งยังมีประกันอีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถคุ้มครองในกรณีที่แอร์รถยนต์เสียได้ ซึ่งก็คือประกันอะไหล่รถยนต์ และนอกจากนี้ประกันภัยรถยนต์เองก็ยังให้ยัความคุ้มครองการซ่อมบำรุงแอร์ในกรณีที่ทุกคนคาดไม่ถึงอีกดังนี้
- คุ้มครองน้ำยาแอร์รถยนต์ : น้ำมันหล่อลื่นและของเหลวหลาย ๆ ชนิด ทางประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง แต่กับน้ำยาแอร์ทางบริษัทประกันจะรับผิดชอบจริงในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- สายไฟ : ในกรณีที่มีหนูกัดจนสายไฟชำรุด หากใครทำประกันชั้น 1 ก็สามารถแจ้งเคลมกับประกัน
ปัญหารถยนต์ยอดฮิต
ตู้แอร์รถยนต์รั่ว
- ระบบปรับอากาศในรถยนต์ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
- ตู้แอร์รถยนต์รั่ว สาเหตุมาจากอะไร?
- ดูอย่างไรว่าตู้แอร์รถยนต์รั่ว?
เครื่องยนต์วาล์วรั่ว วาล์วยัน
- อาการวาล์วรถยนต์รั่ว
- อาการวาล์วรถยนต์ยัน
- การแก้ปัญหาอาการวาล์วรั่ว วาล์วยัน
หม้อลมเบรครั่ว
- หม้อลมเบรคคืออะไร? มีการทำงานอย่างไร?
- หม้อลมเบรครั่วคืออะไร อาการ
- วิธีเช็กหม้อลมเบรครั่ว ซ่อมได้ไหม?
ประกันอะไหล่รถยนต์คืออะไร? ต่างจากประกันรถยนต์ตรงไหน?
ประกันอะไหล่รถยนต์ คือ ประกันที่ให้ความคุ้มครองในส่วนของอะไหล่ เครื่องยนต์ รวมถึงระบบกลไกการทำงานของรถยนต์ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพไปตามเวลาก็สามารถทำการเคลมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้รถยนต์รวมไปถึงระบบแอร์รถยนต์ให้กลับมาทำงานได้ดังเดิมกับทางประกันได้
ซึ่งต่างจากกระทำประกันรถยนต์ทั่วไปที่จะให้ความคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่รถยนต์เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุเพียงเท่านั้น ไม่ได้ให้ความคุ้มครองทั้งหมดรวมถึงในกรณีที่อะไล่หรือชิ้นส่วนเสียหายหรือชำรุดตามกาลเวลานั่นเอง
แอร์รถยนต์จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่เราไม่ควรละเลย การทราบถึงสาเหตุของแอร์รถยนต์ไม่เย็นจึงเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับการทำประกันรถยนต์เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการลดความเสี่ยง และเพิ่มความคุ้มครองด้านค่าเสียหายให้ทุกท่านได้รู้สึกอุ่นใจระหว่างการเดินทาง หากประสบปัญหาสามารถเรียกใช้บริการฉุกเฉินได้ 24 ชั่วโมง เคลมง่าย หากใครกำลังมองหาประกันรถยนต์ให้เรา แรบบิท แคร์ ช่วยเลือกบริษัทประกันภัยที่เหมาะสำหรับรถคุณ
ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์