บทเรียนสำคัญสำหรับเจ้าของรถ หลังน้ำท่วมรถยนต์ ปี 2568
น้ำท่วมรถยนต์ในปี 2568 ไม่ได้สร้างความเสียหายแค่ “ตัวถัง” แต่ลุกลามถึง เครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายซ่อมหลักแสน เจ้าของรถจำนวนมากเสียสิทธิ์เคลมเพราะทำสิ่งที่ “ไม่ควรทำ” ตั้งแต่นาทีแรก
บทความนี้สรุป สิ่งที่รถเสียหายจริง ควรทำทันที และสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด จากเคสเคลมจริงในปี 2568
ทำไมปี 2568 น้ำท่วมรถถึงรุนแรงกว่าที่คิด
ในปี 2568 ประเทศไทยเผชิญ น้ำท่วมหลายระลอกต่อเนื่อง ส่งผลให้รถยนต์จมน้ำจำนวนมาก ทั้งรถส่วนบุคคล รถใช้งาน และรถเชิงพาณิชย์
ระลอกหลัก: ภาคเหนือ–ภาคกลาง (ก.ค.–ต.ค. 2568)
จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ เชียงใหม่, น่าน, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร, นครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, สุพรรณบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, นครปฐม, สุโขทัย, แพร่, เชียงราย, สกลนคร, นครพนม และอุบลราชธานี
ระลอกปลายปี: ภาคใต้ (พ.ย.–ธ.ค. 2568)
จังหวัดเสี่ยงสูง ได้แก่ สุราษฎร์ธานี, กระบี่, นครศรีธรรมราช, ตรัง, พัทลุง, สตูล, สงขลา (หาดใหญ่), ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, ชุมพร และภูเก็ต เพียง Posttoday กล่าวว่าพื้นที่หาดใหญ่แห่งเดียว มีรถจมน้ำกว่า 8,000 คัน จากความล่าช้าในการอพยพรถ
จากประสบการณ์อู่และผู้เคลมประกันจริง
จากเคสซ่อมและการเคลมจริงในปี 2568 พบว่า ความเสียหายของรถที่จมน้ำมักรุนแรงและตามมาเป็นลูกโซ่ ไม่ได้จบแค่วันแรกที่น้ำลด โดยเฉพาะรถที่มีระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก
รถที่จมน้ำ “เสียหายอะไรบ้าง”
-
1. เครื่องยนต์ (Engine)
น้ำเข้าห้องเครื่อง → เครื่องน็อก หรือจำเป็นต้องยกเครื่อง
ค่าเสียหายประมาณ 50,000 – 300,000+ บาท -
2. ระบบไฟฟ้า & ECU
กล่อง ECU, เซนเซอร์ และสายไฟเสื่อมสภาพ
มักไม่เสียทันที แต่แสดงอาการพังภายใน 1–3 เดือน -
3. ระบบเกียร์
เกียร์อัตโนมัติมีความเสี่ยงสูงเมื่อโดนน้ำสกปรก
ค่าเปลี่ยนหรือซ่อมตั้งแต่ หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท -
4. ห้องโดยสาร
เบาะ พรม เชื้อรา และกลิ่นอับ
หากไม่รื้อทำความสะอาดตั้งแต่ต้น จะกลายเป็นปัญหาถาวร
สิ่งที่ต้องทำ “ทันที” เมื่อรถโดนน้ำท่วม
❗ ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด❗ ถอดขั้วแบตเตอรี่ (ถ้าปลอดภัย)
❗ ถ่ายรูปหรือวิดีโอระดับน้ำและสภาพรถทันที
❗ ติดต่อบริษัทประกัน ภายใน 24 ชั่วโมง
❗ เคลื่อนย้ายรถด้วย รถสไลด์เท่านั้น
เคสเคลมปี 2568 พบว่า กว่า 30% ของรถเสียสิทธิ์บางส่วน เพราะเจ้าของรถ “ลองสตาร์ทดู”
สิ่งที่ “ห้ามทำเด็ดขาด” หลังรถจมน้ำ
❌ สตาร์ทเครื่องเพื่อเช็กว่า “ยังติดไหม”❌ ล้างรถเองก่อนแจ้งประกัน
❌ ปิดบังระดับน้ำจริง
❌ นำรถเข้าซ่อมเองก่อนบริษัทประกันตรวจสภาพ
การกระทำเหล่านี้สามารถทำให้บริษัทประกัน ปฏิเสธหรือจำกัดความคุ้มครองได้ทันที
บทเรียนสำคัญจากเคสจริง ปี 2568
-
1. ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า
ไม่รู้จุดอพยพรถ และไม่มีเบอร์ประกันพร้อมติดต่อ -
2. เคลมช้า = เสียหายเพิ่ม
รถที่แช่น้ำเกิน 48 ชม. มีความเสียหายเพิ่ม
ค่าเคลมสูงขึ้นเฉลี่ย 20–40% -
3. ประกันไม่ครอบคลุมตามที่คิด
ประกันชั้น 2+ / 3 ไม่คุ้มครองน้ำท่วม
หลายคนเข้าใจผิดว่า “มีประกัน = เคลมได้ทุกกรณี”
แนวทางเยียวยาและค่าชดเชยสำหรับรถยนต์ที่จมน้ำ ปี 2568
แนวทางการเยียวยาหลักสำหรับ รถยนต์ที่จมน้ำในปี 2568 คือการเคลมประกันภัยตามเกณฑ์ของ คปภ. ซึ่งแบ่งระดับความเสียหายออกเป็น 5 ระดับ โดยบริษัทประกันต้องชดใช้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์
หากประเมินแล้วพบว่า ค่าซ่อมเกิน 70% ของมูลค่ารถ บริษัทประกันจะคืนทุนประกันเต็มจำนวน (ให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์)
เกณฑ์เคลมรถจมน้ำ 5 ระดับ (อ้างอิง คปภ.)
-
ความเสียหายระดับ A:
น้ำท่วมถึงพื้นรถ (เช่น พรม)
ค่าซ่อมโดยประมาณ 8,000–10,000 บาท -
ความเสียหายระดับ B:
น้ำท่วมถึงเบาะนั่งและระบบไฟฟ้าบางส่วน
ค่าซ่อมโดยประมาณ 15,000–20,000 บาท -
ความเสียหายระดับ C:
น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า
ค่าซ่อมโดยประมาณ 25,000–30,000 บาท -
ความเสียหายระดับ D:
น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า
ค่าซ่อมเริ่มต้น 30,000 บาทขึ้นไป -
ความเสียหายระดับ E:
รถจมน้ำทั้งคัน
คืนทุนประกันเต็มจำนวน
ขั้นตอนและคำแนะนำในการเคลม
- ติดต่อบริษัทประกันทันที เพื่อแจ้งเหตุและนัดตรวจสภาพ
- หลีกเลี่ยงการลากหรือเคลื่อนย้ายรถด้วยตนเอง เพราะอาจเพิ่มความเสียหาย
- ใช้บริการรถสไลด์หรือศูนย์เคลมที่บริษัทประกันแนะนำ
- คปภ. แนะนำให้ใช้ ศูนย์เคลมกลางในพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อความรวดเร็วในการประเมินและชดเชย
ทราบแบบนี้แล้ว อย่าลืมช่วยกันยืดอายุการใช้งานรถยนต์ของเราด้วยการดูแลเขาให้ดีกันนะคะ หรือถ้าหากใครไม่มั่นใจโดยเฉพาะคุณผู้หญิงละก็ การนำรถเข้าไปตรวจสภาพรถยนต์ที่ศูนย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเช่นกัน

ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี

