iPrice รายงาน Covid-19 กระทบ E-commerce SEA ‘มาก’ หรือ ‘น้อย’ แค่ไหนในปี 2020!

กองบรรณาธิการ
ผู้เขียน: กองบรรณาธิการ Published: มีนาคม 24, 2021
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี
Thirakan T
แก้ไขโดย: Thirakan T Last edited: มีนาคม 22, 2021
Thirakan T
Thirakan T
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology
iprice-covid-ecommerce

เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงระดับโลกที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับการแพร่ระบาดของ Covid-19 หรือไวรัสโคโรน่า แรกเริ่มต้นปี 2020 ที่มีการแพร่ระบาดในจีนหลายประเทศก็ได้แต่เฝ้าภาวนาให้มันลดน้อยลง และจางหายไปเหมือนไวรัสร้ายแรงต่าง ๆ ที่เราต่างก็เคยรับมือกันมาได้ มิคาดว่า Covid-19 จะอยู่กับเรานานกว่าที่คิดล่วงมาถึงปีที่ 2 (2021) ส่งผลกระทบต่อหลายภาคธุรกิจออฟไลน์โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และมีแนวโน้มว่าบางประเทศอาจต้องได้รับผลกระทบไปจนจบปีหากวัคซีนยังกระจายได้ไม่ทั่วถึง

และเมื่อมีธุรกิจที่ร่วง ก็ต้องมีธุรกิจที่รุ่งเป็นเรื่องธรรมดา ประกอบกับสภาวะที่หลายคนต้องทำงานที่บ้าน นักช้อปมีโอกาสถือถุงช้อปปิ้งน้อยลงเปลี่ยนมาเป็นคอยรับกล่องพัสดุที่ส่งมาถึงหน้าบ้านแทน บ่งบอกกลาย ๆ ว่าธุรกิจออนไลน์คือธุรกิจที่กำลังมาแรงในขณะนี้ และคาดว่าแม้โลกเราจะปราศจากโควิดแล้ว แต่ด้วยความเคยชินในการมีไลฟ์สไตล์แบบออนไลน์ก็อาจทำให้ยุค New Normal หลังวิกฤติโควิดมีธุรกิจออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนมากกว่าเดิม จึงเป็นเครื่องการันตีได้ดีว่าอุสาหกรรมอีคอมเมิร์ซใน 6 ตลาดยักษ์ใหญ่ ได้แก่ อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และไทย จะสามารถมีมูลค่ารวมกันแตะ 172 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐได้ภายในปี 2025 ตามที่ Google, Temasek และ บริษัทเบน ได้คาดการณ์เอาไว้

ซึ่ง iPrice Group บริษัทวิจัยตลาดได้ร่วมมือกับ SimilarWeb และ Appsflyer จัดทำงานวิจัยเรื่อง Map of E-commerce Yearend Report 2020 ขึ้น โดยมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ 3 ประเด็นหลักด้วยกัน ดังนี้

  • รายงาน 10 อันดับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากที่สุด
  • รายงานอัตราการสั่งซื้อสินค้าอีคอมเมิร์ซโดยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้นถึง 19%
  • รายงานผลการคาดคะเนปัจจัยที่ทำให้นักช้อปชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถอนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งเพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสที่ 2 2020

covid-ecommerce

รายงาน 10 อันดับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากที่สุด

แม้ดูเหมือนธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ รวมไปถึงอีคอมเมิร์ซจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดโดยตรง แต่ก็ยังได้รับทางอ้อมซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการขนส่งที่ล่าช้ากว่าปกติช่วงการแพร่ระบาด และกระทบอย่างมากกับสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เรียกได้ว่างานนี้หากอีคอมเมิร์ซเจ้าไหนเตรียมแผนสำรองสำหรับการขนส่งไว้ล่วงหน้าที่ถึงแม้จะล่าช้ากว่าเดิมแต่ก็อยู่ในระดับที่ผู้สั่งซื้อยอมรับได้แล้วละก็ อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มนั้นๆ ก็จะสามารถจับกลุ่มนักช้อปออนไลน์ได้อยู่หมัดเลยทีเดียวในช่วงนี้

จากข้อมูลพบว่า การเข้าใช้งานแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในแต่ละประเทศต่างก็มีเปอร์เซ็นเพิ่มขึ้นทั้งนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2019 โดยตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 35% คือตลาดสิงคโปร์ ตามด้วยตลาดฟิลิปปินส์ 21%, ตลาดเวียดนาม 19%, ตลาดมาเลเซีย 17%, ตลาดไทย 15% และตลาดอินโดนีเซีย 6%
จากการจัดอันดับรายไตรมาสจะพบว่า อันดับ 1-5 ได้แก่ร้านค้ายักษ์ใหญ่ชื่อคุ้นหูอย่าง Shopee และ Lazada ที่มีต้นกำเนิดจากสิงคโปร์, Tokopedia และ Bukalapak จากอินโดนีเซีย ตามด้วย The Gioi Di Dong จากเวียดนาม ร้านค้าอีคอมเมิร์ซเหล่านี้คือ 5 อันดับร้านค้ารักษาตำแหน่งได้เหนียวแน่นตั้งแต่ปี 2019

ส่วนแพลตฟอร์มที่มีการเปลี่ยนอันดับเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4 คือ Tiki จากเวียดนาม และ Blibli จากอินโดนีเซีย โดยจากที่ Tiki ครองอันดับที่ 6 และ Blibli ครองอันดับ 7 ของภูมิภาคตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 2020 แต่ในไตรมาสที่ 4 2020 Blibli สามารถก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 6 แทนที่ Tiki ได้

จากภาพรวมจะเห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซที่มักจะมีชื่อติดอันดับ 1-10 ดูจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งจากค่าเฉลี่ยจำนวนผู้เข้าชมสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจะพบว่า แม้ Shopee และ Lazada จะครองอันดับที่ 1-2 อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกระจายครอบคลุมถึง 6 ประเทศ ทำให้มีจำนวนเฉลี่ยผู้เข้าชมสินค้าโดยรวมสูงกว่าร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่มีจำนวนแพลตฟอร์มกระจายอยู่น้อยกว่า ต่างจากตลาดอินโดนีเซีย (มีประชากรมากที่สุดทำให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์สูงขึ้นตามไปด้วย) ที่เป็นต้นกำเนิดของ Tokopedia, Bukalapak และ Blibli สอดคล้องกับอีก 5 ร้านค้าอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในเวียดนามอย่าง The Gioi Di Dong, Tiki, Sendo, Bach Hua Xanh และ FPT shop ที่ต่างก็เติบโตโดยมีเพียงหนึ่งแพลตฟอร์มในประเทศของตนเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศเวียดนามซึ่งมีร้านค้าติด 1-10 ถึง 5 ร้านค้าด้วยกันดูจะเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเจริญเติบโตมากที่สุด

การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนามในระยะเวลา 3 ปี (2018-2020)

  • ปี 2018: ตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีร้านค้าติดอันดับ 1-10 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ ตลาดอินโดนีเซี ย 4 ร้านค้า ได้แก่ Tokopedia, Bukalapk, Blibli และ JD ID ตามมาด้วยตลาดสิงคโปร์และเวียดนามซึ่งมีจำนวนร้านค้าติดอันดับเท่ากันที่ 3 ร้านค้า เริ่มจากสิงคโปร์ ได้แก่ Lazada, Shopee และ Qoo10 ส่วนร้านค้าที่ติดอันดับของตลาดเวียดนามจะได้แก่ Tiki, The Gioi Di Dong และ Sendo
  • ปี 2019: ดูเหมือนจะเป็นปีที่ตลาดเวียดนามกำลังมาแรงด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะมีร้านค้าติด 1-10 มากถึง 5 ร้านค้า ได้แก่ The Gioi Di Dong, Sendo, Tiki, Bach Hua Xanh และ FPT shop ตามมาด้วยตลาดอินโดนีเซีย ได้แก่ Tokopedia, Bukalapak และ Blibli รวม 3 ร้านค้า ปิดท้ายด้วยตลาดสิงคโปร์ที่มี Shopee และ Lazada เพียง 2 ร้านค้าเท่านั้น
  • ปี 2020: เป็นไปในทำนองเดียวกันกับปี 2019 ในแต่ละตลาดอีคอมเมิร์ซมีจำนวนร้านค้าติด 1-10 เท่ากัน ได้แก่ สิงคโปร์ 2 ร้านค้า, อินโดนีเซีย 3 ร้านค้า ซึ่งตลาดเวียดนามก็ยังคงครองแชมป์อยู่เช่นเดิมที่ 5 ร้านค้า

อัตราการสั่งซื้อสินค้าอีคอมเมิร์ซโดยเฉลี่ย

รายงานอัตราการสั่งซื้อสินค้าอีคอมเมิร์ซโดยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้นถึง 19%

จากการศึกษาข้อมูลพบว่า ร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดคือร้านค้าอีคอมเมิร์ซทั่วไป ในขณะที่ร้านค้าแฟชั่น และอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวนผู้เข้าชมสินค้าลดลง แม้สินค้าที่เลือกซื้อจากร้านค้าทั่วไปจะมีสินค้าประเภทแฟชั่น และอิเล็กทรอนิกส์รวมเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม อาจเพราะโปรโมชั่นจากร้านค้าทั่วไปดึงดูดใจให้ซื้อสินค้าหลากหลายประเภทพร้อม ๆ กันมากกว่า ซึ่งจากข้อมูลของ iPrice ที่รวบรวมจากแพลตฟอร์มใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และไทย พบข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ 2 ประเด็นด้วยกัน ดังนี้

  • อัตราการสั่งซื้อสินค้าในภูมิภาคเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 19% และจำนวนการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงถึง $32 ต่อการสั่งซื้อ โดยตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราการใช้จ่ายสูงสุดคือ สิงคโปร์ $62, Malaysia $41, ไทย $29, ฟิลิปปินส์ $23, อินโดนีเซีย $21 และเวียดนาม $17 ตามลำดับจากมากไปหาน้อย
  • แฟชั่น คือหมวดหมู่สินค้าที่มีอัตราการสั่งซื้อมากที่สุดโดยเฉลี่ย $46 ตามด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ $41 และสินค้าอุปกรณ์กีฬาและเพื่อการออกกำลังกาย $33 พร้อมยังสามารถแบ่งหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับความนิยมในแต่ละประเทศได้ดังนี้

หมวดหมู่สินค้าแฟชั่น: มีจำนวนการสั่งซื้อสูงสุดในตลาดมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์

หมวดหมู่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์: มีจำนวนการสั่งซื้อสูงสุดในตลาดไทย และเวียดนาม

หมวดหมู่สินค้าอุปกรณ์กีฬาและเพื่อการออกกำลังกาย: มีจำนวนการสั่งซื้อสูงสุดในตลาดอินโดนีเซียเท่านั้น

นอกเหนือจาก 6 ตลาดอีคอมเมิร์ซที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ตลาดฮ่องกงยังมีข้อมูลที่สอดคล้องกัน โดยจากการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างไตรมาสที่ 2-4 พบว่า ช่วงไตรมาสที่ 2 (การแพร่ระบาดสูงสุด) จำนวนผู้เข้าชมสินค้าผ่านทางร้านค้าอีคอมเมิร์ซสายแฟชั่นมีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย คาดเพราะรัฐบาลประกาศให้ทำงานที่บ้านช่วงไตรมาสที่ 2 และพนักงานเริ่มทยอยกลับไปทำงานที่ออฟฟิศช่วงไตรมาสที่ 3 นั่นเอง

ปัจจัยที่ทำให้ชาวเอเชียถอนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้ง

รายงานผลการคาดคะเนปัจจัยที่ทำให้นักช้อปชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถอนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งมากที่สุด

เพราะอัตราการใช้งานสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้นทำให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ต่างก็สร้างแอพพลิเคชั่นรองรับความต้องการของเหล่านักช้อปเพื่อง่ายต่อการจับจ่ายใช่สอยได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยเหตุนี้ iPrice จึงร่วมมือกับ Appsflyer ผู้นำด้านแพลตฟอร์มการวัดผลโฆษณาและการวิเคราะห์การตลาดบนมือถือ เผยข้อมูลอัตราถอนการติดตั้งของแอพพลิเคชั่นหมวดหมู่ช้อปปิ้งใน 5 ประเทศตลาดอีคอมเมิร์ซชั้นนำ (เฉพาะระบบปฎิบัติการ Android) ได้แก่ อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย โดยเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2020 (ช่วงที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุด) พบว่า อัตราถอนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นในไตรมาสที่ 2 เพิ่มมากขึ้นโดยเฉลี่ย 42.2% ต่างจากไตรมาสแรกที่มีเฉลี่ย 37.4% โดยมีข้อมูลในแต่ประเทศดังนี้

  • สิงคโปร์ เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราถอนการติดตั้งในไตรมาสที่ 2 สูงที่สุดถึง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 9%
  • รองลงมาคือตลาดมาเลเซีย ซึ่งมีอัตราถอนการติดตั้งสูงถึง 41% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 8%
  • ตามมาด้วยตลาดอินโดนีเซีย ที่มีอัตราถอนการติดตั้งอยู่ที่ 47% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ 5%
  • สุดท้ายคือตลาดไทย และเวียดนาม ซึ่งมีอัตราถอนการติดตั้งที่ต่างจากไตรมาสแรกเพียง 1% โดยไทยเพิ่มจาก 36% เป็น 37% และเวียดนาม 48% เป็น 49%

คาดอัตราถอนการติดตั้งที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากทั้ง 5 ประเทศต่างก็อยู่ภายใต้การปิดเมือง (Lockdown) หรือปิดเมืองบางส่วน (Partial Lockdown) ทำให้ส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้าน และออกไปจับจ่ายใช้สอยได้เพียงในซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แอพพลิเคชั่นซื้อของออนไลน์จึงก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และส่วนใหญ่โปรโมชั่นสุดคุ้มมักจะนำเสนอให้กับสมาชิกใหม่เท่านั้น นำไปสู่สาเหตุอัตราเพิ่มขึ้นของการถอนการติดตั้ง เพื่อลงทะเบียนในชื่อผู้ใช้ใหม่ 

ในอีกกรณีหนึ่งคือ ช่วงทำงานที่บ้าน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ค้นหาแอพพลิเคชั่นจำพวกเกม, แต่งรูป และอื่น ๆ อีกมากมายมาติดตั้ง ทำให้หน่วยความจำในตัวเครื่องสมาร์ทโฟนลดน้อยลง นำไปสู่การทยอยลบแอพพลิเคชั่นที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออก สำหรับแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ติดตั้งเกิน 1-3 แอพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันน่าโหลดติดมือถือในช่วงโควิด แอปเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตประจำวันของคุณในช่วงการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างมาก อย่าลืมดูแลสุขภาพ สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และติดตามข่าวสารอยู่เสมอเพื่อเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที


บทความแนะนำอื่นๆ : ข่าวสารและเหตุการณ์ปัจจุบัน

อัปเดทค่าแรงขั้นต่ำ 2566 ทุกจังหวัด ทุกประเทศ 3 ไฮไลท์ ของคนไทย หลังประกาศคุณแมทธิว โดย iPrice โควิดสายพันธ์โอไมครอน ติดง่ายแค่ไหน วัคซีนเอาอยู่หรือไม่? รวมจุดฉีดวัคซีนกรุงเทพ 2566 ที่มีฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นและทั่วไป ต่างชาติในไทย เสี่ยงสุขภาพที่อาจยังไม่รู้ รัฐบาลทุ่ม 6.5 แสนล้านบาท หนุน 4 โครงการ EEC ค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ UPDATE ปี 2568 กรมศุลฯ เพิ่มเครื่องเอ็กซเรย์ จับแบรนด์เนมเลี่ยงภาษี 11.11 ดันตลาด อีคอมเมิร์ซ โตต่อเนื่อง เช็กวันหยุด 2567 วันหยุดราชการ 2567 พร้อมแนะนำแผนวันหยุดยาว Soft Power คืออะไร ไทยเทียบอันดับโลกได้ไหม คลิก โครงการบ้านล้านหลัง ยอดจองทะลุ 5 หมื่นล้าน! หอศิลป์กรุงเทพฯ กลุ้ม! ไม่มีงบจาก กทม. มา 2 ปีติด โบกมือลา สวนสัตว์ดุสิต 31 สิงหาคมนี้!!! แรบบิท แคร์ เตือนสถิติอุบัติเหตุหน้าฝนพุ่ง แนะเลือก “แคร์ ครบ คุ้ม”

บทความแคร์การลงทุน

Rabbit Care Blog Image 104318

แคร์การลงทุน

วิธีดูกราฟหุ้น ฉบับเข้าใจง่าย มือใหม่ก็อ่านได้

การดูกราฟหุ้นนั้น ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะช่วยให้คุณรู้ว่าหุ้นกำลัง “ขึ้น” หรือ “ลง” และยังช่วยหาจังหวะซื้อขายได้แม่นยำขึ้น
คะน้าใบเขียว
05/09/2025
Rabbit Care Blog Image 104313

แคร์การลงทุน

วิธีดูแนวรับแนวต้าน และการใช้หาจุดเข้าซื้อหุ้น เริ่มต้นยังไงดี?

เมื่อถึงการวิเคราะห์หุ้นหรือกราฟเทคนิค แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนต้องเข้าใจ เพราะทั้งสองจุดนี้เปรียบเสมือน
คะน้าใบเขียว
03/09/2025
Rabbit Care Blog Image 103623

แคร์การลงทุน

รู้จักกับการลงทุนหุ้นสกุลเงินต่างประเทศ ฉบับมือใหม่เข้าใจง่าย

คุณเคยสงสัยไหมว่า การลงทุนในหุ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศ? จริงๆ แล้วนักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินผ่าน หุ้นสกุลเงินต่างประเทศ
คะน้าใบเขียว
19/08/2025