Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

เลือกประกันสุขภาพที่ใช่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา

เปรียบเทียบแผนง่าย
ไม่ต้องติดต่อตัวแทนขายประกัน

ข้อมูลส่วนตัวของท่านปลอดภัยแน่นอน

โรคที่ประกันสุขภาพไม่คุ้มครองมีอะไรบ้าง
user profile image
เขียนโดยNok Srihongวันที่เผยแพร่: May 20, 2024

ฝีที่รักแร้คืออะไร และมีวิธีการรักษาอย่างไร?

ฝีเกิดจากอะไร?

จากข้อมูลในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลเมดพาร์ค ได้พูดถึงความหมายของฝีไว้ว่า ฝี (Abscess) นั้นเกิดจากเชื้อ Staphylococcus ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดฝีบ่อยมากที่สุด แต่ในส่วนของเชื้อรา เชื้อไวรัส หรือเชื้อปรสิต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มักจะไม่ค่อยทำให้เกิดฝีมากนัก ดังนั้นเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อขึ้นมา ตัวเซลล์เม็ดเลือดขาวก็จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค จนเกิดเป็นการสะสมของเม็ดเลือดขาวขึ้นมาภายในเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย และส่งผลทำให้เกิดการอักเสบและเกิดเป็นก้อนขึ้นมา เพราะฉะนั้นก้อนที่เกิดมาก็จะกลายเป็นฝีนั่นเอง

ฝีที่รักแร้ อาการมีอะไรบ้าง?

  • ผิวหนังของรักแร้มีอาการปวด บวมแดง
  • กดตรงบริเวณฝีที่รักแร้แล้วเจ็บ
  • มีไข้และหนาวสั่น
  • รู้สึกเหนื่อยง่าย
  • มีเหงื่อออกเยอะ
  • น้ำหนักลดลง ไม่อยากอาหาร

สาเหตุของการเกิดฝีที่รักแร้ มีอะไรบ้าง?

• การโกนขนรักแร้

เนื่องจากรักแร้เป็นแหล่งสะสมเหงื่อและเซลล์ผิวหนังที่ตายไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการโกนขนรักแร้บ่อย ๆ ก็อาจจะพลาดทำมีดโกนบาดผิวหนังจนเป็นแผลขึ้นมาได้ จึงส่งผลทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียมากขึ้นยิ่งขึ้นด้วย

• มีเหงื่อออกที่เยอะมากจนเกินไป

พร้อมทั้งไม่ได้ดูแลรักษาและทำความสะอาดร่างกายให้ดี ๆ โดยเฉพาะที่บริเวณรักแร้ ก็อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการติดเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

• ไม่รักษาความสะอาดบริเวณรักแร้ให้ดี

ก็อาจจะทำให้เซลล์ผิวหนังที่ตายไปแล้วนั้นเข้าไปผสมรวมกันกับไขมันหรือเชื้อโรค จนส่งผลทำให้เกิดเป็นฝีที่รักแร้ขึ้นมาได้

• มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายก็จะไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่ง่ายขึ้น

ฝีที่รักแร้ รักษาอย่างไรบ้าง?

ฝีบนผิวหนังขนาดเล็กหรือฝีที่รักแร้ รักษาเองได้ เมื่อผู้ป่วยมีการประคบอุ่นบนฝีที่รักแร้เพื่อกระตุ้นให้ฝีที่รักแร้นั้นสามารถระบายออกมาได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ควรบีบหนองออกจากฝีที่รักแร้เด็ดขาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและอาจจะทำให้แบคทีเรียในฝีนั้นแพร่กระจายออกไปยังบริเวณอื่นได้ และในส่วนของการรักษาฝีที่รักแร้นั้น ส่วนใหญ่แล้วแพทย์มักจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะพร้อมกับการผ่าตัดเพื่อระบายหนองออกมาก และในระหว่างการผ่าตัดก็จะมีการฉีดยาระงับความรู้สึกบริเวณรอบ ๆ ฝีก่อนที่จะกรีดเพื่อเอาหนองและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกมา ดังนั้นหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยควรดูแลรักษาแผลให้ดี ซึ่งโดยปกติแล้วแผลมักจะแห้งสนิทภายใน 2 สัปดาห์

แนวทางป้องกันการเป็นฝีที่รักแร้ มีอะไรบ้าง?

  • หลีกเลี่ยงการโกนขนรักแร้ เพราะอาจจะทำให้เกิดบาดแผลที่รักแร้ได้ง่าย ดังนั้นจึงควรระมัดระวังไม่ให้โดนใบมีดโกนบาด หรือควรหาวิธีกำจัดขนวิธีอื่นแทน
  • ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ทารักแร้ มีดโกน เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
  • รักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการหมักหมมของเหงื่อและเชื้อแบคทีเรียที่รักแร้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย จนทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ยากมากยิ่งขึ้น
  • หากเกิดบาดแผลที่รักแร้ ควรรักษาบาดแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดฝีที่รักแร้ตามมา
  • ควรซักเสื้อผ้าที่สวมใส่และผ้าขนหนูด้วยน้ำร้อนผสมกับน้ำยาซักผ้า แล้วนำไปตากหรืออบให้แห้งสนิทก่อนที่จะนำมาใส่ใหม่

ฝีที่รักแร้อันตรายไหม?

ฝีที่รักแร้ไม่ถือว่าเป็นอันตรายที่ร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต เพียงแต่ฝีที่รักแร้นั้นมักจะไปสร้างความรำคาญ ความเจ็บปวด และความทรมานในขณะที่กำลังใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการสวมใส่เสื้อผ้าที่จะลำบากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่าจะต้องมีการยกแขนขึ้นลงด้วยความลำบาก ดังนั้นจึงควรระมัดระวังไม่ให้ฝีที่รักแร้แตกขึ้นมาก็เพียงพอ เพราะว่าเชื้อแบคทีเรียในฝีนั้นอาจจะแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นของร่างกายได้นั่นเอง

ฝีมีทั้งหมดกี่ประเภท?

ฝีสามารถออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1. ฝีบนผิวหนัง เป็นฝีชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด

โดยจะเกิดขึ้นบริเวณใต้ผิวหนัง และสามารถรักษาได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น

  • ฝีรักแร้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการอักเสบของต่อมเหงื่อ และส่งผลทำให้ผิวหนังของรักแร้นั้นเกิดการบวมแดงและกดเจ็บ
  • ฝีที่เต้านม มักจะพบได้บ่อยในแม่ที่ให้นมบุตร อันเนื่องมาจากการติดเชื้อที่เต้านม
  • ฝีบริเวณก้นหรือทวารหนัก เช่น ฝีบริเวณขอบทวารหนัก ฝีร่องก้น เป็นต้น

2. ฝีในปาก

หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ที่บริเวณฟัน เหงือก และลำคอ ดังนั้นหากมีฝีเกิดขึ้นมารอบ ๆ ฟันก็มักจะเรียกกันว่าเป็นฝีในฟันหรือฟันเป็นหนอง ซึ่งจะสามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้

  • ฝีต่อมทอนซิล ฝีชนิดนี้มักจะพบได้ในวัยรุ่น
  • ฝีรอบต่อมทอนซิล
  • ฝีที่เหงือก มักจะส่งผลกระทบต่อเหงือก แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อฟัน
  • ฝีบริเวณรอบฟัน เกิดจากโรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือก มักจะส่งผลต่อกระดูกและเนื้อเยื่อที่รองรับฟัน
  • ฝีที่ปลายรากฟัน เกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน อันเนื่องมาจากฟันผุ หรือได้รับบาดเจ็บ
  • ฝีในช่องคอส่วนลึก เกิดขึ้นเมื่อต่อมน้ำเหลืองที่ด้านหลังลำคอเกิดการติดเชื้อขึ้นมา

3. ฝีที่อวัยวะภายในร่างกาย

ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในสมอง บนไขสันหลัง หรืออวัยวะภายในอื่น ๆ ที่มักจะพบได้น้อยกว่า โดยการตรวจวินิจฉัยและการรักษาฝีที่อวัยวะภายในนั้นจะทำได้ยากกว่าฝีชนิดอื่น ๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น

  • ฝีที่ไขสันหลัง
  • ฝีในช่องท้อง อาจพบได้ภายในร่างกาย ใกล้ไต ตับอ่อน หรือตับ
  • ฝีในสมอง ฝีชนิดนี้มักจะพบได้น้อย ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ในแผล หรือบริเวณศีรษะนั้นเดินทางไปยังสมอง

ควรเลือกทำประกันสุขภาพแบบไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

เรื่องสุขภาพถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่ามีการวางแผนดูแลสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวก็จะส่งผลดีต่อตัวเราเป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยที่ในระยะสั้นอาจจะวางแผนเรื่องการกินอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะสม ออกกำลังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียดจนเกินไป ใช้ชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาท ส่วนในระยะยาวก็จะเป็นการเลือกทำประกันสุขภาพ ที่สามารถให้ความคุ้มครองและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น เช่น การลดหย่อนภาษี เนื่องจากว่าเบี้ยประกันนั้นสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และสำหรับในกรณีที่ทำประกันสุขภาพร่วมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปหรือเงินฝากแบบที่มีประกันชีวิต ก็จะสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท/ปี หรือการทำประกันสุขภาพร่วมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ ก็จะสามารถนำเบี้ยประกันไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 215,000 บาท/ปี และอื่น ๆ ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรดังนี้

  1. เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิต สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
  2. เบี้ยประกันของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 วิธี ได้แก่
  • แบบเดียวกับกรมธรรม์ประกันชีวิตทั่วไป
  • แบบที่นำเบี้ยประกันบำนาญที่เหลือไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจริง ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินที่ลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ทุกรายการลดหย่อนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เป็นต้น

ซื้อประกันสุขภาพผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

ประกันสุขภาพที่ทำกับทาง แรบบิท แคร์ นั้นจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในกรณีที่เป็นประกันสุขภาพแบบระยะยาว (Long term care) ประกันโรคร้ายแรง (Critical illnesses) ประกันอุบัติเหตุที่ให้ความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ หรือการสูญเสียอวัยวะ รวมไปถึงประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ โดยที่เรานั้นจะสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่หรือของตนเองมาขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งกฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีในแต่ละปีนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้เสมอ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

Delight Care ประกันสุขภาพเหมาจ่ายDelight Care

เหมาจ่าย

  • คุ้มครองครบ เบี้ยเริ่มต้น 53 บาท/วัน
  • เหมาจ่ายตามจริง สูงสุด 1.25 ล้าน ไม่จำกัดครั้ง
  • ค่าห้องจัดเต็ม สูงสุด 3,000 บาท/วัน 365 วัน
  • สมัครได้ ตั้งแต่อายุ 1 เดือน ถึง 60 ปี
  • พบมะเร็งลุกลาม รับเพิ่ม 1 เท่าต่อปี
  • คุ้มครองชีวิตเต็มที่ รับสูงสุด 150,000 บาท
  • นอนรพ.ทั่วไทย ไม่ต้องจ่ายก่อน
เติมเงินยามป่วย ประกันสุขภาพเหมาจ่ายเติมเงินยามป่วย

เหมาจ่าย

  • เบี้ยเริ่มเบา ๆ เพียง 4 บาท/วัน
  • ชดเชยรายได้ 1 ปี สูงสุด 1,500 บาท/วัน
  • ชดเชย ICU สูงสุด 3,000 บาท/วัน นาน 30 วัน
  • ชำระเบี้ย 5 ปี รับประกัน 16 - 60 ปี
  • ค่าผ่าตัดใหญ่ รับเงินก้อนสูงสุด 30,000 บาท
  • คุ้มครองเสียชีวิต รับเงินก้อน 300,000 บาท
  • มอบเงินปลอบขวัญ หลังออก รพ. 1,500 บาท/ครั้ง
วิริยะ เฮลท์แคร์ พลัสบาย บีดีเอ็มเอสวิริยะ เฮลท์แคร์ พลัสบาย บีดีเอ็มเอส

สุขภาพและอุบัติเหตุ

  • แคร์ทุกวัย สมัครได้ 16 - 60 ปี ไม่ตรวจสุขภาพ
  • แคร์ทั้งปี คุ้มครองเหมาจ่าย 700,000 บาท/ปี
  • แคร์ยามนอน รพ. ค่าห้องสูงสุด 8,000 บาท/วัน
  • แคร์มะเร็ง คุ้มครองเคมีบำบัด สูงสุด 50,000 บาท
  • แคร์คนทำ สมัครง่าย ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • คุ้มครองเสียชีวิต 100,000 บาท แคร์ไม่คาดฝัน
  • แคร์ภาษี ลดหย่อนสูงสุด 25,000 บาท
ประกันเพิ่มเติมGEN Health D-Koom

ประกันเพิ่มเติม

  • ค่าเบี้ยเริ่มเบา ๆ เพียง 18 บาท/วัน
  • เหมาจ่ายสูงสุด 1 ล้าน ไม่จำกัดวงเงิน
  • ค่าห้อง รพ. สูงสุด 8,000 บาท/วัน BDMS
  • สมัครได้ตั้งแต่อายุ 6-65 ปี ต่ออายุถึง 70
  • คุ้มครองหลายโรค รวมกว่า 100 อาการ
  • ไม่ต้องสำรองจ่าย รพ.เอกชน 550 แห่ง
  • ลดหย่อนภาษี สูงสุด 25,000 บาท

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา