กองทุนเงินทดแทน
สำหรับลูกจ้างที่ทำงานกับนายจ้าง ก็จะมีสวัสดิการสำหรับให้ความคุ้มครองลูกจ้างในกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุอย่างกองทุนเงินทดแทน ซึ่งจะให้ความคุ้มครองที่คล้ายคลึงกับกองทุนประกันสังคมที่รู้จักกันเป็นอย่างดีสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน กองทุนเงินทดแทนจะให้ความคุ้มครองเรื่องใดบ้าง? เหมือนหรือแตกต่างกับกองทุนประกันสังคมอย่างไรบ้าง หาคำตอบที่แรบบิท แคร์ได้เลย
กองทุนเงินทดแทน คืออะไร?
ความหมายของกองทุนเงินทดแทนตามกำหนดคปภ. ให้ความหมายว่ากองทุนเงินทดแทน คือ กองทุนที่ถูกจัดตั้งตามกฎหมายพระราชบัญญัติเงินทดแทน ปี พ.ศ.2537 เป็นกองทุนที่เป็นสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมเช่นเดียวกับกองทุนประกันสังคม แต่จะมีการเก็บเงินสมทบจากนายจ้างตามประเภทความเสี่ยงของกิจการเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้จ่ายชดเชยให้กับลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย รวมถึงกรณีการสูญเสียสมรรถภาพ การทุพพลภาพหรือเสียชีวิตเนื่องมาจากการทำงาน โดยประเภทของลูกจ้างที่กองทุนเงินทดแทนให้ความคุ้มครองได้แก่
- ลูกจ้างองค์กรเอกชน
- ลูกจ้างราชการ ทั้งนี้จะไม่รวมข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ลูกจ้างองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ
- ลูกจ้างที่ได้รับการจ้างงานในต่างประเทศ (Local staff) ของสถานเอกอัครราชทูตและองค์กรระหว่างประเทศ
ซึ่งกองทุนเงินทดแทนนี้จะให้ความคุ้มครองนายจ้างทันทีตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างเข้าทำงานและเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน และให้การคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ดังนี้
- คุ้มครองกรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ตั้งแต่วันแรก โดยจะได้รับเงินต่อเนื่องไม่เกิน 1 ปี
- คุ้มครองกรณีลูกจ้างสูญเสียสมรรถภาพร่างกายในการทำงาน (คุ้มครองไม่เกิน 10 ปี)
- คุ้มครองกรณีลูกจ้างทุพพลภาพตลอดชีวิต
- คุ้มครองกรณีลูกจ้างเสียชีวิตหรือสูญหาย (คุ้มครอง 10 ปี)
และมีสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุนเงินทดแทน ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาลของลูกจ้างทั้งลูกจ้างราชการและลูกจ้างส่วนเอกชนในสถานพยาบาล ตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดการรักษาไม่ว่าค่ารักษาจะเป็นจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม
- กรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน : นายจ้างจะต้องจ่ายค่ารักษาเท่าที่จ่ายตามความจำเป็นในอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
- กรณีลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานหลังประสบเหตุ : นายจ้างต้องจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างเท่าที่จ่ายตามความจำเป็นในอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
- ค่าทำศพ จำนวน 50,000 บาท ในกรณีเสียชีวิต
- ค่าทดแทนเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน ในกรณีที่ลูกจ้างมีการหยุดงานเนื่องจากการทุพพลภาพ สูญเสียสมรรถภาพ ตายหรือสูญหาย
กองทุนประกันสังคม vs กองทุนเงินทดแทน แตกต่างกันอย่างไร?
ส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปมักจะรู้จักกับกองทุนประกันสังคมมากว่า นั่นเพราะกองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่ลูกจ้างในฐานะผู้ประกันตนจะมีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสมทบร่วมกับนายจ้างและรัฐบาล ซึ่งกองทุนประกันสังคมก็จะมีหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนในกรณีประสบอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย การทุพพลภาพที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงาน รวมไปถึงให้ความคุ้มครองในการคลอดบุตร การสงเคราะห์บุตร การชราภาพและกรณีการว่างงานด้วย แต่สำหรับกองทุนเงินทดแทนนั้นจะเป็นส่วนความรับผิดชอบที่นายจ้างเจ้าของกิจการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทั้งสองกองทุนนั้นก็มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการดูแลลูกจ้างเช่นเดียวกันแต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่กองทุนเงินทดแทนเป็นส่วนที่นายจ้างต้องเป็นผู้จ่ายเงินสมทบและให้ความคุ้มครองเฉพาะจากการทำงานเท่านั้น ซึ่งในส่วนของกองทุนประกันสังคมนั้นมีไม่ได้มีข้อยกเว้นการจ่ายเงินสมทบในบางกิจการ กล่าวคือนายจ้างทุกกิจการจำเป็นจะต้องมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทั้งหมด แต่ในส่วนของกองทุนเงินทดแทนนั้นจะมีข้อยกเว้นในบางกิจการที่นายจ้างไม่ต้องร่วมสมทบในกองทุนเงินทดแทน ได้แก่ กิจการ 7 ประเภท ดังนี้
- ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น
- รัฐวิสาหกิจ
- กิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้และเลี้ยงสัตว์ ที่ไม่ได้มีการใช้ลูกจ้างตลอดทั้งปีและไม่มีงานในลักษณะอื่นรวมอยู่ด้วย
- ครูโรงเรียนเอกชน
- กิจการที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ
- ลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งงานที่ลูกจ้างทำนั้นมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
- ลูกจ้างของนายจ้างซึ่งประกอบการค้าเร่หรือการค้าแผงลอย
ซึ่งสามารถสรุปส่วนที่แตกต่างของกองทุนประกันสังคม vs กองทุนเงินทดแทน อย่างเข้าใจง่าย คือ แตกต่างกัน 2 ส่วนหลัก ๆ 1.ผู้ที่จ่ายเงินสมทบ และ 2.สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองนั่นเอง
กองทุนเงินทดแทน นายจ้างจ่ายเท่าไหร่?
ตามข้อมูลข้างต้นแล้วกองทุนเงินทดแทนนายจ้างจะมีหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินสมทบแต่เพียงผู้เดียวเป็นรายปี โดยที่กระทรวงแรงงานจะเป็นผู้แจ้งยอดเงินสมทบที่นายจ้างจะต้องดำเนินการจ่ายให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งอัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนที่นายจ้างจะต้องจ่ายจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะความเสี่ยงภัยของแต่ละกิจการ 131 ประเภทกิจการ แต่จะมีอัตราเงินสมทบอยู่ที่ระหว่าง 0.2%-1.0% ของค่าจ้าง หากกิจการใดที่จัดอยู่ในกิจการประเภทเสี่ยงภัยสูง นายจ้างก็จะต้องมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนในอัตราที่สูงนั่นเอง ในกรณีที่นายจ้างมีการจ่ายเงินสมทบครบ 4 ปีปฏิทินแล้ว ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไปอัตราเงินสมทบอาจจะมีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากเดิมก็ได้ ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับค่าของอัตราส่วนการสูญเสียที่ทางกระทรวงแรงงานได้มีการเก็บเป็นข้อมูลสถิติไว้
เงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน จ่ายอย่างไร?
สำหรับวิธีการจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและช่วงเวลาในการจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนนั้นจะมีรายละเอียดในการจัดเก็บปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
• การจัดเก็บครั้งที่ 1
นายจ้างจะต้องดำเนินการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน ภายในวันที่ 31 มกราคมของทุกปี เรียกว่าเงินสมทบประจำปี (ปีแรกที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างจะต้องจ่ายภายใน 30 วันนับตั้งแต่มีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป)
• การจัดเก็บครั้งที่ 2
นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนภายในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี เรียกว่าเงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง
โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนายจ้างจะต้องแจ้งจำนวนค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้ลูกจ้างทุกคนรวมกันทั้งปีในปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปเทียบกับค่าจ้างที่มีการประมาณการไว้ตอนต้นปีผ่านมา หากพบว่าค่าจ้างที่ประมาณการไว้เดิมน้อยกว่าก็จะต้องมีการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มในเดือนมีนาคมด้วย กรณีที่นายจ้างจ่ายเงินสมทบเกินกำหนดเวลาก็จะต้องถูกปรับเป็นจำนวน 3% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย
วิธีการคำนวณ กองทุนเงินทดแทน คิดอย่างไร?
ในการคำนวณ กองทุนเงินทดแทนนั้นจะมีวิธีในการคิดตามเงื่อนไขความคุ้มครองและกรณีที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น
• กรณีเจ็บป่วย
ที่จะมีการจ่ายค่าทดแทนกรณีที่ลูกจ้างมีการหยุดงานเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน เช่น ได้รับค่าจ้าง 20,000 บาท/เดือน มีใบรับรองแพทย์ให้หยุดงาน 20 วัน สามารถคำนวณได้ ดังนี้ 20,000x70% = 14,000 บาท หยุดงานไป 20 วัน จะได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเท่ากับ (14,000x20)/30 = 9,333.33 บาท เป็นต้น
• กรณีสูญเสียอวัยวะบางส่วน
รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน ไม่เกิน 10 ปี หรือ 120 เดือน เช่น ได้รับเงินค่าจ้าง 15,000 บาท สามารถคำนวณได้ ดังนี้ 15,000x70% = 10,500 บาท ได้เงินทดแทนทั้งหมด 120 เดือน จะได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเท่ากับ 10,500x120 = 1,260,000 บาท เป็นต้น
• กรณีทุพพลภาพ
รับเงินทดแทนอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน ไม่น้อยกว่า 15 ปี หรือ 180 เดือน เช่น ได้รับเงินค่าจ้างรายเดือน 20,000 บาท สามารถคำนวณได้ ดังนี้ 20,000x70% = 14,000 บาท ได้รับเงินทดแทน 180 เดือน จะได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเท่ากับ 14,000x180 = 2,520,000 บาท เป็นต้น
• กรณีเสียชีวิตหรือสูญหาย
รับเงินทดแทนอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน เป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี หรือ 120 เดือน เช่น รับเงินค่าจ้าง 15,000 บาท จะคำนวณได้ ดังนี้ 15,000x70% = 10,500 บาท ได้รับเงินทดแทน 120 เดือน จะได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเท่ากับ 10,500x120 = 1,260,000 บาท เป็นต้น
นอกจากกองทุนเงินทดแทนให้ความคุ้มครองกับคุณ ประกันชีวิตก็ดูแลคุณได้เช่นกัน!
นอกจากกองทุนเงินทดแทนแล้ว ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะให้ความคุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้งจากการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการซื้อประกันชีวิตก็มีความคล้ายคลึงกับกองทุนเงินทดแทนในส่วนของการให้ความคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตหรือสูญหาย หลายแผนประกันชีวิตก็ยังให้ความคุ้มครองกรณีทุพพลภาพด้วย โดยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้เกิดกรณีร้ายแรงดังกล่าวกับคุณ บริษัทประกันก็จะทำการจ่ายผลประโยชน์ความคุ้มครองให้กับคุณในรูปแบบทุนประกันชีวิตที่คุณได้ทำเอาไว้ และสำหรับในกรณีที่ไม่ได้มีการเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงไม่คาดคิดคุณยังสามารถเลือกที่จะยุติความคุ้มครองโดยการเวนคืนกรมธรรม์ เพื่อนำเงินที่ได้จากการเวนคืนกรมธรรม์มาใช้เป็นเงินเกษียณอายุใช้ยามชราภาพได้ด้วย
ประกันชีวิตที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ