โรคสมาธิสั้นคืออะไร และอาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นโรคสมาธิสั้น?
โรคสมาธิสั้นคืออะไร?
โรคสมาธิสั้น หรือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD เป็นการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชเด็ก (ตามเกณฑ์ DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน) หรือ Hyperkinetic Disorder (ตามเกณฑ์ ICD-10 ขององค์การอนามัยโลก รหัส F90) ซึ่งเกิดจากการที่สมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสมาธิและพฤติกรรมนั้นมีการทำงานที่ลดลง และมีสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาน้อยกว่าคนปกติทั่วไป โดยมีการพบว่าเด็กวัยเรียนทั่วโลกนั้นเป็นโรคสมาธิสั้นถึงประมาณ 7% เลยทีเดียว แต่โรคนี้ก็สามารถพบได้ทั้งในเด็กและวัยผู้ใหญ่ ซึ่งอาการของโรคสมาธิสั้นนี้มักจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันพอสมควร และผู้ใหญ่ที่เป็นโรคสมาธิสั้นมักจะมีอาการที่ไม่ชัดเจนเหมือนกับในวัยเด็ก อันเนื่องมาจากการมีอาการ Hyperactivity ที่ลดลงนั่นเอง
โรคสมาธิสั้น อาการเป็นอย่างไร?
สามารถแบ่งลักษณะอาการได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. การขาดสมาธิ
- มีอาการเหม่อลอย
- ทำอะไรแล้วไม่ละเอียดรอบคอบ เกิดข้อผิดพลาดบ่อย
- ทำงานไม่เสร็จ เพราะเบื่อง่าย ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน
- ไม่ตั้งใจฟังเวลาที่มีคนอื่นคุยด้วย
- ขาดความตั้งใจที่ต่อเนื่องเวลาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- ทำของหายบ่อย และเป็นสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน
- ว่อกแว่กง่าย สนใจสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความพยายาม
- ขาดการคิดวางแผนในการทำงาน
- มักขี้ลืมบ่อย ๆ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของตนเอง
2. การหุนหันพลันแล่น
- ขาดการยับยั้งชั่งใจตนเอง
- ใจร้อน วู่วาม หุนหันพลันแล่น
- พูดไม่หยุด
- พูดมากจนเกินไป
- ชอบขัดจังหวะผู้อื่น
- ชอบพูดแทรก
- ชอบพูดโพล่งขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายยังคุยไม่จบ
- ไม่ชอบการรอคิวหรือรอนาน ๆ
3. การซุกซนที่ผิดปกติ หรืออยู่ไม่นิ่ง
- ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้เป็นเวลานาน
- นั่งไม่ติดที่
- เล่นเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้ ชอบทำเสียงดัง ๆ
- มีพลังงานมากเกินไปจนผิดปกติในแต่ละวันโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร
- ชอบเคลื่อนไหวขยับร่างกายไปมา หรือชอบปีนป่ายเกินเท่าที่ควร
โรคสมาธิสั้น เกิดจากอะไร?
จากบทความสุขภาพเรื่อง “โรคสมาธิสั้น” ในเว็บไซต์โรงพยาบาลมนารมย์ ได้กล่าวไว้ว่า สำหรับโรคสมาธิสั้นนั้นมีสาเหตุปัจจัยที่เกิดจากหลาย ๆ อย่างร่วมกัน โดยที่มีปัจจัยหลักเป็นปัจจัยทางชีวภาพหรือพันธุกรรม ซึ่งจะส่งผลมากถึง 75% ปัจจัยทางระบบประสาทที่มีการทำงานในด้านของการวางแผน ความคิด การควบคุมตนเอง และการจัดลำดับสิ่งต่าง ๆ ที่ผิดปกติไป รวมไปถึงการหลั่งสารสำคัญในสมองที่น้อยกว่าคนปกติ และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ในระหว่างที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ และในเด็กที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักแรกเกิดที่น้อยกว่าปกติ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะสามารถทำให้เกิดโรคสมาธิสั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน
และนอกจากนี้ยังมี “โรคสมาธิเทียม” ที่มีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี เช่น การตามใจเด็กที่มากเกินไป การเลี้ยงดูที่ขาดระเบียบวินัย การไม่มีกฎหรือการควบคุมภายในบ้าน หรือวิธีการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่
- ตรวจร่างกายเพื่อแยกโรคที่อาจเป็นออกก่อน
- รวบรวมข้อมูลจากประวัติของผู้ป่วย เพื่อประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วย ทั้งจากโรงเรียนและตัวผู้ปกครองเอง
- เช็กคะแนน ADHD rating scales หรือ psychological tests เพื่อประเมินอาการและความรุนแรงของโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น รักษาหายไหม?
เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 20-30% จะมีโอกาสหายได้เองโดยที่ไม่ต้องใช้ยาในช่วงที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น แต่ยังคงมีความบกพร่องทางด้านสมาธิอยู่ ดังนั้นจึงควรพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรับรู้ถึงวิธีการดูแลรักษาโรคสมาธิสั้นที่ถูกต้องและเหมาะสม ได้แก่
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
- สื่อสารกันอย่างกระชับ ชัดเจน และตรงไปตรงมา สบตาในขณะที่ผู้ปกครองกำลังพูดด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจและการรับฟังสารที่ครบถ้วน
- การปรับบรรยากาศภายในบ้านให้สงบ ไม่มีเสียงดังรบกวน เพื่อไม่ให้เกิดอาการว่อกแว่ก และสนใจสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย
- ทำตารางเวลาในแต่ละวันให้ชัดเจน ว่าจะต้องทำกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้รู้จักการรับผิดชอบ และฝึกปฏิบัติจนเกิดเป็นนิสัย
- จำกัดการใช้เครื่องมือสื่อสาร ให้เล่นได้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง
- หมั่นชื่นชมเด็กเวลาที่เด็กทำได้ดี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติซ้ำจนเป็นนิสัย
- สำหรับเด็กบางคนที่พลังงานเยอะ ควรหากิจกรรมในเชิงสร้างสรรค์และเหมาะสมให้ได้ทำในแต่ละวัน เช่น การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย การทำงานบ้าน เป็นต้น
- ผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของระเบียบวินัยให้กับเด็ก เพราะเด็กมักจะปฏิบัติตามพฤติกรรมที่ผู้ปกครองทำให้เห็น
- จัดสถานที่เรียนให้เหมาะสมกับเด็ก คือ ให้เด็กนั่งด้านหน้าห้อง และนั่งใกล้กระดาน เพื่อป้องกันการสนใจสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมากกว่าในห้องเรียน
- หากเด็กเริ่มเสียสมาธิ ให้คุณครูดึงความสนใจเด็กโดยไม่ใช้น้ำเสียงที่ดุดัน
2. การใช้ยารักษาโรคสมาธิสั้น เช่น
- ยาในกลุ่ม Alpha 2 agonist ใช้ในเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นที่มีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้อกระตุกร่วมด้วย
- ยาในกลุ่มออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท เป็นยาที่สามารถรักษาโรคสมาธิสั้นได้ดีที่สุดในคนหมู่มาก โดยจะมีทั้งหมด 2 รูปแบบ คือ แบบออกฤทธิ์สั้นและแบบออกฤทธิ์ยาว ซึ่งแบบออกฤทธิ์สั้นนั้นจะออกฤทธิ์ครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง ดังนั้นในแต่ละวันจะต้องกินยาประมาณ 2-3 ครั้ง ส่วนแบบออกฤทธิ์ยาวนั้นจะออกฤทธิ์ครั้งละประมาณ 10-12 ชั่วโมง ดังนั้นในแต่ละวันจะกินยาเพียงแค่ครั้งเดียวในตอนเช้าเท่านั้น แต่ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการกินยากลุ่มนี้ คือจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร หรือนอนไม่หลับ เป็นต้น
- ยาในกลุ่มไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท จะใช้เฉพาะในเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นที่ไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาในกลุ่มออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทได้ เช่น ยา Atomoxetine ที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยา Methylphenidate ได้
- ยาต้านเศร้าหรือยาคลายกังวล จะใช้รักษาโรคสมาธิสั้นสำหรับเด็กที่มีปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน หรือกระวนกระวาย เป็นต้น
3. การรักษาโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- จัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เป็นที่เป็นทาง
- ฝึกควบคุมอารมณ์ตนเองให้ไม่หุนหันพลันแล่นมากจนเกินไป
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- สร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจให้กับตนเอง
- รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาเฟอีนและน้ำตาลสูง
- มีการวางแผนและจัดตารางเวลาให้กับตนเอง
- รู้จักการสังเกตคนรอบข้าง เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
โรคที่มักพบร่วมกันกับโรคสมาธิสั้น
- โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tics)
- โรควิตกกังวล
- โรคการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder) ที่พบได้มากถึง 30%
- พฤติกรรมต่อต้าน ดื้อมาก ไม่ทำตามคำสั่ง
- ไม่เข้าใจการคิดคำนวณตัวเลข
- เขียนตัวหนังสือไม่ถูก สับสนเวลาสะกดตัวอักษร
- อ่านหนังสือไม่คล่อง
- โรคซึมเศร้า
- โรคอ้วน
- โรคภูมิแพ้
- โรคย้ำคิดย้ำทำ
- ออทิสติก
- โรคดื้อ เกเร และต่อต้าน
- ปัสสาวะรดที่นอน
- โรคลมชัก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตประจำวันให้เป็นไปอย่างปกติ และถึงแม้ว่าในบางครั้งเราจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีตัวปัจจัยภายนอกหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั้นก็มีอยู่เยอะเช่นเดียวกัน ดังนั้นการใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทและมีการวางแผนเพื่อรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากว่าเรามีการวางแผนทำประกันสุขภาพ ไว้ก็จะสามารถช่วยลดความกังวลใจและค่าใช้จ่ายที่อาจจะต้องเสียขึ้นมาได้ในอนาคตอยู่พอสมควร เพราะเราจะได้รับความคุ้มครองทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วยด้วยอุบัติเหตุและภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ซึ่งทางแรบบิท แคร์ ก็ได้มีแผนความคุ้มครองดี ๆ ที่มาพร้อมกับเบี้ยประกันราคาไม่แพงในทุกรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ในทุกความต้องการได้ทันที เพราะแรบบิท แคร์ เรามีบริการเปรียบเทียบประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชั้นนำทั่วประเทศมากมายให้คุณได้เลือกแผนประกันที่ตรงตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแบบปกติและในแบบเหมาจ่าย ที่จะช่วยทำให้คุณประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกแผนความคุ้มครองที่คุณนั้นสามารถสมัครและขอรับความคุ้มครองได้เองเลยผ่านทางเว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์ โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปรียบเทียบแต่อย่างใด
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ