Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับไฟรถยนต์ สำหรับคนรักรถ

ไฟหน้ารถยนต์นั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าขาดไม่ได้ และรถยนต์ทุกคันก็จำเป็นต้องมี เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยในยามค่ำคืน รวมทั้งในช่วงเวลาที่ทัศนวิสัยไม่ดี การเปิดไฟรถยนต์ในระดับที่เหมาะสมก็จะช่วยสร้างความปลอดภัย และมั่นใจในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะมีข้อมูลเรื่องไฟหน้ารถยนต์อย่างครบถ้วน ไปดูกันเลย..

5 เรื่องของ ไฟหน้ารถยนต์ ที่มือใหม่หัดขับควรรู้

สำหรับรถยนต์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ส่วนใหญ่มักจะไม่มีปัญหาให้ต้องกังวลเกี่ยวกับไฟหน้ารถมากนัก แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานไปสักระยะแล้ว หรือเป็นรถยนต์มือสอง อาจจะมีปัญหาให้กังวลเกี่ยวกับระบบไฟหน้ารถยนต์อยู่บ้าง ซึ่งในบทความนี้เรามีสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับไฟหน้ารถมาฝากกัน รับรองว่าอ่านจบแล้วปัญหาต่างๆ จะกลายเป็นปัญหาเล็กน้อยในทันที

1. ไฟหน้ารถยนต์ มีกี่ประเภท

สำหรับไฟที่หน้ารถยนต์นั้นที่พบเห็นทั่วไปบนท้องถนนและสามารถใช้งานได้โดยไม่ผิดข้อบังคับมีอยู่ทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน คือ

  • หลอดไฟหน้ารถยนต์แบบฮาโลเจน เป็นหลอดไฟที่หน้ารถยนต์ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีใช้กันอย่างแพร่หลายกับไฟหน้ารถยนต์หลากหลายประเภทมากที่สุด เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างถูก สามารถหาซื้อใช้กันได้ง่าย อะไหล่ของไฟรถยนต์ที่เหมาะกับหลอดไฟประเภทนี้ก็ยังมีราคาไม่แพง และหาซื้อได้ไม่ยากด้วย
  • หลอดไฟหน้ารถยนต์แบบ LED สำหรับไฟหน้า led นั้นเป็นอีกหนึ่งประเภทที่ปัจจุบันได้รับความนิยมไม่แพ้แบบฮาโลเจน เนื่องจากช่วยในเรื่องของการประหยัดไฟ และมีความร้อนต่ำ แต่ให้ความสว่างที่สูงกว่าแบบอื่น นอกจากนี้แล้ว ไฟหน้ารถยนต์แบบโปรเจกเตอร์ และไฟหน้ารถยนต์แบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ ก็ยังเหมาะที่จะใช้หลอดไฟหน้า led ด้วย
  • หลอดไฟหน้ารถยนต์แบบ ซีนอน ไฟหน้ารถยนต์แบบซีนอนนั้นเรียกอีกอย่างว่า HID เป็นหนึ่งในประเภทของหลอดไฟรถยนต์ที่มีความนิยมสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีข้อเสียอยู่ว่าแสงไฟที่ออกมานั้นให้ความสว่างที่ค่อนข้างสูงมากกว่าแบบ ฮาโลเจน ทำให้หลายๆ ค่ายรถยนต์เลิกที่จะใช้หลอดไฟสำหรับหน้ารถประเภทนี้ แล้วเปลี่ยนไปใช้ไฟหน้า led มากกว่า
  • หลอดไฟหน้ารถยนต์แบบ เลเซอร์ ปิดท้ายกันที่หลอดไฟหน้ารถแบบเลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่ากำลังมาแรง และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากขึ้นในปัจจุบันแต่หลอดไฟรถยนต์ประเภทนี้ยังถูกจำกัดให้ใช้งานในรถยนต์บางรุ่นเท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นค่ายรถยนต์ราคาแพงและต้องมีการใช้กับ โคมไฟหน้ารถยนต์ที่รองรับกันด้วย

2. โคมไฟหน้ารถยนต์ มีกี่แบบ

นอกจากเรื่องของหลอดไฟรถยนต์แล้ว ประเภทของไฟหน้ารถยนต์ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนขับรถมือใหม่ หรือคนที่เพิ่งมีรถยนต์เป็นของตัวเองต้องทราบ โดยไฟหน้ารถยนต์นั้นมีทั้งหมด 3 แบบด้วยกันคือ

  • โคมไฟหน้ารถยนต์แบบ มัลติรีเฟล็กเตอร์ เป็นชุดไฟหน้ารถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และอยู่ในรถเกือบทุกรุ่นที่เป็นกลุ่มรถยนต์ราคาประหยัด โดยลักษณะของจานฉายไฟหน้ารถยนต์แบบนี้จะมีประสิทธิภาพในการหักเหของแสงให้สะท้อนกลับไปมาเพื่อสร้างแสงสว่างมากที่สุด มักใช้คู่กับหลอดไฟที่หน้ารถยนต์ประเภทฮาโลเจน แต่ก็สามารถใข้กับหลอดไฟหน้า led และ ซีนอน ได้
  • โคมไฟหน้ารถยนต์แบบ LED ไฟหน้ารถยนต์แบบ LED นั้นหลักการทำงานแบบเดียวกับมัลติรีเฟล็กเตอร์ แต่ให้แสงที่หลากหลายกว่าตามรูปทรงของหลอดไฟหน้า led ที่ติดตั้ง อีกทั้งยังมีดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวดูทันสมัย เหมาะกับรถยนต์ทรงสปอร์ตเป็นอย่างมาก หากใช้งานร่วมกับหลอดไฟหน้ารถยนต์แบบ LED ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มแสงสว่างได้มากกว่า และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ดีกว่าด้วย
  • โคมไฟหน้ารถยนต์แบบ โปรเจกเตอร์ สำหรับไฟหน้ารถยนต์แบบนี้จะมีลักษณะคล้ายกับแบบ LED แต่จะถูกติดตั้งให้กับรถยนต์ราคาสูง และมีการใช้งานได้ทั้งกับไฟหน้า led, ฮาโลเจน และหลอดไฟสำหรับติดหน้ารถยนต์แบบซีนอน ซึ่งจุดเด่นของไฟรถยนต์แบบโปรเจกเตอร์ก็คือให้การกระจายแสงที่เป็นระเบียบกว่า ไม่ฟุ้งกระจาย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสวยงามหรูหราให้กับรถยนต์มากขึ้นด้วย

3. การทำความสะอาดไฟรถยนต์

หลอดไฟหน้ารถยนต์นั้นสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่าย และทำเองได้ไม่ยุ่งยาก ซึ่งวิธีพื้นฐานในการทำความสะอาดโคมไฟหน้ารถยนต์นั้นทำได้ดังนี้

  • ล้างด้วยฟองน้ำล้างรถยนต์ ฟองน้ำล้างรถยนต์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการทำความสะอาดโคมไฟหน้ารถยนต์ เพื่อให้ทั้งไฟที่หน้ารถยนต์สามารถส่องแสงสว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความสะอาดก็เพียงแค่ชุบน้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างรถโดยเฉพาะ เช็ดทำความสะอาดและล้างออกก็เป็นอันเรียบร้อย
  • ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดไฟหน้ารถยนต์ การเช็ดทำความสะอาดไฟรถนั้นควรจะใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดในการเช็ดเท่านั้น ไม่ควรที่จะใช้ผ้าแห้งในการเช็ด เนื่องจากจะทำให้เกิดรอยที่ไฟหน้ารถยนต์ได้ เพราะเศษฝุ่นและคราบสกปรกต่างๆ ติดอยู่ที่บริเวณโคมไฟ
  • การทำความสะอาดคราบเหลือง เมื่อใช้รถเป็นเวลานานโอกาสที่ไฟรถอาจจะมีคราบสีเหลืองเกาะติด การทำความสะอาดก็สามารถทำได้ด้วยการใช้กระดาษทรายเบอร์ 2000 ชุบน้ำและขัดที่บริเวณไฟหน้ารถยนต์ จากนั้นใช้น้ำล้างแล้วเช็ดด้วยน้ำยาขัดสีคุณภาพสูงตามอีกครั้ง

4. การดูแลรักษาไฟหน้ารถยนต์

ไฟหน้ารถก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของรถไม่แพ้กับส่วนอื่นๆ ซึ่งก็ต้องการดูแลรักษาเช่นเดียวกัน โดยการดูแลรักษาไฟหน้ารถยนต์ให้ใช้งานได้เป็นเวลานาน และไม่เหลืองก็ทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการจอดรถที่โล่งแจ้ง หรือจอดตากแดดเป็นเวลานาน หากจำเป็นก็ให้ใช้ผ้าคลุมรถเพื่อป้องกันการถูกแสงแดดช่วงกลางวัน
  • ทำความสะอาดไฟหน้ารถยนต์เป็นประจำ หลังจากการขับรถเมื่อเลิกใช้แล้วให้ทำความสะอาดที่หลอดไฟหน้ารถกันสักนิดด้วยการใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ด หรือจะใช้น้ำยาเช็ดโดยเฉพาะแล้วล้างออกก็ได้เช่นเดียวกัน
  • หากมีหลอดไฟที่หน้ารถชำรุด แม้ว่าจะดับเพียงดวงเดียวก็ให้รีบเปลี่ยนทันทีไม่ควรปล่อยเอาไว้ เพราะจะยิ่งทำให้ระบบไฟรถยนต์มีปัญหาเพิ่มมากขึ้นได้ ที่สำคัญคือควรรีบเปลี่ยนเป็นคู่ดีที่สุด

5. ช่วงเวลาใดที่ควรเปิดไฟหน้ารถยนต์

สิ่งสำคัญที่มือใหม่ขับรถควรทราบเกี่ยวกับการเปิดไฟหน้ารถยนต์นั้นก็มีข้อควรทราบอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะใช่ว่าจะสามารถเปิดได้ตลอดเวลา โดยช่วงเวลาที่ควรเปิดไฟมีดังนี้

  • ช่วงเวลากลางคืน แน่นอนว่าเวลากลางคืนเป็นช่วงที่ทัศนวิสัยไม่ดี การขับรถโดยใช้ไฟสีขาว หรือปิดไฟหน้ารถยนต์อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ ฉะนั้นเมื่อเริ่มฟ้ามืด การเปิดไฟหน้ารถยนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • ไฟสูงควรเปิดเมื่อจำเป็น ในช่วงกลางดึกในบางพื้นที่ที่ไม่มีแสงไฟเลย อาจจะต้องใช้การเปิดไฟหน้ารถยนต์ในระดับสูงเพื่อให้มองเห็นเส้นทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ข้อควรระวังคือต้องคอยปิดไฟสูงเมื่อมีรถสวนทาง หรือมีรถที่อยู่ข้างหน้าในระยะ 100-200 เมตร
  • ใช้งานเวลาฝนตก ไฟหน้ารถยนต์ถูกออกแบบมาให้ใช้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งนอกจากช่วงกลางคืนแล้ว เวลาที่ฝนตกหนักก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะควรต่อการเปิดไฟหน้ารถด้วย เพราะจะช่วยให้ผู้ใช้รถร่วมทางคันอื่นๆ มองเห็นแสงไฟจากหน้ารถของคุณได้

สำหรับทั้ง 5 ข้อนี้ก็เป็นเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ไฟหน้ารถยนต์ ส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการขับขี่ให้ปลอดภัยจะต้องมีองค์ประกอบของรถยนต์ที่พร้อมต่อการใช้งาน ฉะนั้นแล้วการดูแลรักษาไฟหน้ารถยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สะอาดปราศจากความมัว และเปิดไฟหน้ารถยนต์ส่องสว่างติดได้ทุกดวง ก็จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจ และมั่นใจในการเดินทางได้มากยิ่งขึ้น

ไฟตัดหมอก จำเป็นแค่ไหน? และควรเปิดใช้ในเวลาใด?

ในการขับรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่จะพบเจอกับสถานการณ์ของความมืด, ฟ้าฝนไม่เป็นใจอยู่บ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้รถยนต์จำเป็นที่จะต้องมีตัวช่วยเพื่อสร้างความปลอดภัย และมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือไฟตัดหมอกนั่นเอง

ไฟประเภทนี้เป็นหนึ่งในไฟที่มีความสำคัญต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นไฟที่จะช่วยให้มองเห็นทัศนวิสัยได้ดียิ่งขึ้นช่วงเวลาที่มองไม่เห็นทาง หรือมีสิ่งบดบังสายตาซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าไฟชนิดนี้มีความสำคัญมากขนาดไหน และไฟตัดหมอกมีสัญลักษณ์แบบใด, การใช้งานไฟตัดหมอกเปิดยังไง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากผู้ใช้รถใช้ถนนมือใหม่ให้ได้ทราบกัน

ไฟตัดหมอก คืออะไร?

ไฟตัดหมอกคือไฟขนาดเล็กที่รองลงมาจากไฟหน้ารถ โดยส่วนมากแล้วไฟชนิดนี้เปรียบเสมือนกับออปชันที่เป็นส่วนเสริมของรถยนต์ แต่ก็จะเป็นออปชันเสริมที่มีการติดตั้งมาให้แล้วตั้งแต่ซื้อรถยนต์ โดยบางคนก็จะนำมาติดตั้งเพิ่มเติมภายหลังซึ่งอาจจะเลือกใช้เป็นไฟสำหรับตัดหมอกในการใช้งานได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของไฟตัดหมอกก็คือให้แสงสว่างที่ชัดเจนและหลอดไฟที่ใช้จะเป็นหลอดขนาด H3 ซึ่งหลอดไฟประเภทนี้จะเป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในสปอตไลต์ด้วย โดยที่กำลังไฟแม้ว่าจะน้อยกว่าแต่ประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างของไฟที่ใช้ตัดหมอกต้องบอกเลยว่ามีมากกว่า และเมื่อใช้งานก็จะช่วยสร้างทัศนวิสัยที่เห็นเด่นชัดให้เพิ่มมากขึ้นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปิดใช้ไฟชนิดนี้ ยังคงมีผู้คนบางกลุ่มที่มองว่าไม่ควรเปิดใช้งาน นั่นก็เพราะไฟสำหรับตัดหมอกหากเปิดผิดที่ผิดเวลา ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการของผู้ใช้งานที่อาจจะเปิดผิดเวลาทำให้การเปิดใช้หลอดไฟสำหรับตัดหมอกส่องแสงไปรบกวนสายตาผู้ใช้งานบนท้องถนน ซึ่งปัจจุบันในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ นอกจากจะมีไฟตัดหมอก led ที่หน้าแล้วยังมีการติดตั้งไฟชนิดนี้ที่บริเวณด้านหลังของรถยนต์ให้อีกด้วย

ไฟตัดหมอกมีความสำคัญหรือไม่?

สำหรับไฟชนิดนี้ต้องบอกเลยว่ามีความสำคัญมากทีเดียว เพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยมากสำหรับการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใช้งานในขณะขับขี่ที่มีฝนตกหนัก หรือทัศนวิสัยแย่อย่างเห็นได้ชัดอย่างเช่น หมอกลงหนาการเปิดไฟตัดหมอกจะช่วยเพิ่มแสงสว่างและการกระจายแสงให้เกิดแนวระนาบที่กว้างขึ้น ช่วยให้มองเห็นเส้นทางและผู้ขับขี่บนท้องถนนเองก็จะมีความปลอดภัยร่วมกันด้วย

การใช้งานไฟตัดหมอก

หลายคนที่ใช้รถยนต์มานานก็จะเข้าใจว่าไฟชนิดนี้ใช้งานได้ไม่ยาก แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังงงอยู่การใช้งาน ไฟสำหรับตัดหมอกจะต้องเปิดใช้งานอย่างไร หรือไฟตัดหมอกมีสัญลักษณ์แบบไหน ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าการใช้งานไฟประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องยากเปิดใช้งานได้ง่าย เพราะหากลองสังเกตดูจะเห็นว่าไฟตัดหมอกมีสัญลักษณ์คล้ายกันกับไฟสูง แต่จะมีเส้นโค้งตัดที่บริเวณขีดด้านหลัง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่าไฟตัดหมอกเปิดยังไง ก็เพียงแค่บิดตัวก้านเปิดไฟหน้ารถไปที่สัญลักษณ์ดังกล่าว ก็จะเป็นการเปิดใช้งานไฟสำหรับตัดหมอกได้แล้ว ทั้งนี้สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ นั้นการเปิดไฟที่ช่วยตัดหมอกนั้นจะมีจุดสังเกตเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยคือกรณีที่ไฟแสดงสัญลักษณ์มีเส้นหยักที่ด้านซ้าย แสดงว่าเป็นไฟที่บริเวณด้านหน้า แต่กรณีที่ไฟตัดหมอกแสดงสัญลักษณ์เส้นหยักอยู่ทางฝั่งขวาแสดงว่าเป็นไฟสำหรับตัดหมอกที่หลังรถ

ลักษณะการทำงานของไฟตัดหมอก

สำหรับการทำงานนั้นไม่ว่าจะเป็นไฟตัดหมอก led ที่เพิ่งทำการติดตั้งใหม่ หรือเป็นไฟที่ติดตั้งมาตั้งแต่ซื้อรถก็ตาม การทำงานของไฟชนิดนี้ก็จะไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด โดยจะเป็นการส่องสว่างราวกับสปอตไลต์ที่ให้แสงชัดเจน แต่จะเป็นการส่องระนาบกับพื้น หรือส่องตกพื้นที่อยู่ในระยะไกลซึ่งก็สามารถส่องไกลได้ในบริเวณที่มีฝนตกหนักมาก หรือหมอกลงหนาเป็นจำนวนมาก โดยถ้าเปิดในกรณีที่มีหมอกหนาไฟตัดหมอก led จะทำให้เกิดมุมเอียงลงต่ำเพื่อให้เกิดการสะท้อนเข้าสู่สายตาผู้ขับขี่ ซึ่งผู้ขับขี่จะมองเห็นได้ชัดขึ้นแต่จะอยู่ในพื้นที่ประมาณ 10-15 เมตร เท่านั้น

สำหรับไฟตัดหมอก led ที่ส่องขนานพื้น จะไม่มีการสะท้อนกลับมาในมุมผู้ขับขี่ แต่จะมองเห็นในระยะที่ไกลกว่าคือประมาณ 30-80 เมตร และยังส่องสว่างทะลุทะลวงได้ดีกว่าด้วย ฉะนั้นแล้วการเปิดในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักหรือหมอกลงหนักจึงช่วยให้ความปลอดภัยที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามหากเป็นสถานการณ์ที่วิสัยทัศน์ไม่ได้ย้ำแย่มากนัก เมื่อมีรถยนต์สวนทางมาก็ควรจะปิดไฟตัดหมอก led ลงก่อน เพื่อที่ไม่ทำให้แสงสว่างนั้นเข้าไปรบกวนสายตาในการขับขี่ของรถยนต์ที่ขับสวนทางนั่นเอง

เวลาใดบ้างที่ควรเปิดไฟตัดหมอก?

มาถึงตรงนี้เชื่อว่าส่วนใหญ่ทราบกันแล้วว่า ไฟตัดหมอกมีสัญลักษณ์หน้าตาแบบไหน และหลายๆ คนคงจะเข้าไปดูสัญลักษณ์ของไฟตัดหมอก led ที่รถยนต์ของตัวเองกันมาแล้ว ซึ่งเราก็ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ไฟตัดหมอกเปิดยังไง และไฟตัดหมอกคืออะไร แต่ก่อนที่จะไปถึงการใช้งานจริงๆ ของไฟชนิดนี้ลองมาทำความเข้าใจกันอีกสักหน่อยดีกว่าว่า ช่วงเวลาใดที่ควรเปิดไฟสำหรับตัดหมอกบ้าง เพราะถึงแม้ว่าจะชื่อไฟที่เปิดเพื่อตัดหมอก แต่มันก็ไม่ได้มีความสำคัญแค่ในช่วงเวลาของการขับขี่ผ่านหมอกหนาเท่านั้น แต่ยังสามารถเปิดใช้งานได้กรณีที่จำเป็นต่อไปนี้สำหรับการเปิดไฟตัดหมอก คือ

1. ในกรณีที่ต้องขับขี่ขึ้นภูเขาหรือยอดเขาสูง

โดยปกติแล้วการขับขี่ขึ้นยอดเขายอดดอยนั้นก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว และยิ่งในกรณีที่ต้องขับขี่ขึ้นเขาสูงในช่วงฤดูหนาวสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือหมอกหนามากกว่าปกติ นั่นทำให้ต้องใช้การเปิดไฟสำหรับตัดหมอกเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

2. ช่วงกลางดึกที่ผ่านฝนตกหนักได้ไม่นาน

ไฟตัดหมอกคือสิ่งที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่มากขึ้นในเวลาค่ำคืนหลังจากมีฝนตกหนัก เพราะไฟตัดหมอก led นั้นจะไม่เกิดปฏิกิริยาของการสะท้อนจากน้ำที่อยู่บนพื้นถนน ต่างจากไฟหน้าปกติที่มักจะมีการสะท้อนน้ำเกิดขึ้นจะทำให้มองเห็นพื้นถนนได้ไม่ชัดเจน

3. กรณีที่มองเห็นทัศนวิสัยได้น้อยกว่า 50 เมตร

สำหรับกรณีนี้เมื่อมองเห็นทัศนวิสัยได้น้อยกว่า 50 เมตร ไม่ว่าจะมีหมอกหรือควันไฟก็ตาม ควรจะต้องเปิดใช้งานไฟตัดหมอกทันที ทั้งนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่ว่า หากมองเห็นรถยนต์สวนทางมาให้รีบปิดไฟทันทีเพื่อป้องกันอันตรายของรถยนต์ที่ขับส่วนทางมา

ข้อกำหนดของ ไฟตัดหมอก ตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้งานไฟประเภทนี้จะสามารถเปิดใช้งานได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเปิดเมื่อไรก็ได้ตามใจ เพราะมีกฎหมายระบุเอาไว้อย่างชัดเจนตาม พ.ร.บ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ว่าไฟประเภทนี้จะใช้งานได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเช่น ควัน ฝุ่น หมอก และฝนตกหนัก รวมทั้งสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง ซึ่งหากมีการใช้งานไฟตัดหมอกในกรณีที่นอกเหนือจากนี้แล้วมีเจ้าหน้าที่พบเห็นก็จะต้องเสียค่าปรับในทันที

เรียกได้ว่าเรื่องของ ไฟตัดหมอกคือส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์เป็นอย่างมากที่มองข้ามไปไม่ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้แล้ว การทำความเข้าใจให้เรียบร้อยก่อนสตาร์ทว่าสัญลักษณ์ของไฟประเภทนี้เป็นอย่างไร และไฟตัดหมอกเปิดยังไง ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น

ไฟหรี่รถยนต์คืออะไร มีไว้ทำไม แล้วต้องใช้ในสถานการณ์ไหน?

สำหรับผู้ขับขี่ที่ใช้รถยนต์เป็นประจำ เวลาที่เปิดไฟหน้ารถ เคยเกิดข้อสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมรถรุ่นใหม่ ๆ ถึงต้องมีไฟ 2 ส่วน วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบ และไปทำความรู้จักกับไฟหรี่รถยนต์ให้มากขึ้น ไปดูกันว่าไฟหรี่หน้ารถคืออะไร มีประโยชน์ต่อการขับขี่อย่างไร และควรเปิดใช้ในสถานการณ์ไหนบ้าง?

ไฟหรี่รถยนต์ คืออะไร?

ไฟหรี่รถยนต์ (Sidelights) เป็นไฟขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้าง หรือรอบ ๆ ไฟหน้าแล้วแต่ดีไซน์ของรถยนต์แต่ละรุ่น โดยไฟหรี่จะเป็นไฟที่มีกำลังต่ำ มีความสว่างน้อยกว่า ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นขณะขับขี่ โดยเฉพาะการขับขี่ในเส้นทางที่มืด แต่ไม่ต้องการใช้แสงที่สว่างมาก เช่น การใช้เมื่อเจอฝุ่นลงหนา หรือบางครั้งอาจใช้สำหรับบอกตำแหน่งของตัวรถ เช่น เปิดไว้เพื่อบอกให้รถคันอื่นทราบว่ามีรถจอดอยู่ สรุปก็คือไฟหรี่รถยนต์จะช่วยเรื่องความปลอดภัยทำให้รถคันอื่นมองเห็นรถเราได้ชัดเจนขึ้นเมื่อทัศนวิสัยโดยรอบไม่ดีนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรถยนต์แต่ละรุ่นจะใช้ไฟหรี่เป็นไฟสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น

ถึงแม้ไฟหรี่หน้ารถจะไม่ใช่ไฟหลักที่ใช้ แต่ก็มีกฎหมายเกี่ยวกับไฟหรี่ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 หากมีการแก้ไขดัดแปลงโคมไฟหน้าให้เป็นแสงสีอื่น หรือดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท พูดง่าย ๆ คือไฟหรี่รถยนต์ทั้งจะต้องใช้ไฟสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และทั้ง 2 ข้างต้องเหมือนกันด้วย

ไฟหรี่รถยนต์ สัญลักษณ์สำคัญที่มีประโยชน์ขณะขับขี่?

อย่างที่บอกไปว่าไฟหรี่รถยนต์ เป็นไฟที่มีกำลังต่ำ ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานไฟน้อยกว่าปกติ ทำให้ช่วยควบคุมปริมาณแสงไฟไม่ให้สว่างมากเกินไป ประโยชน์เด่น ๆ ของไฟหรี่รถยนต์ก็คือช่วยส่องสว่างในพื้นที่ที่ไม่ต้องการแสงสว่างมาก ๆ หรือใช้เป็นไฟสำรองในกรณีไฟหลักขาด รวมถึงยังมีประโยชน์ขณะที่ต้องขับรถสวนเลน หากรถยนต์ไม่มีเทคโนโลยี Auto High Beam การใช้ไฟหรี่รถยนต์จะช่วยให้ไม่รบกวนรถที่อยู่ด้านหน้า หรือรถที่วิ่งสวนทางมา

ควรเปิดใช้ไฟหรี่รถยนต์เมื่อไหร่?

ตามกฎหมาย นอกจากการดัดแปลงก็ไม่ได้มีข้อกำหนดการใช้งานที่ตายตัว ไฟหรี่รถยนต์สามารถเปิดใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่เอง โดยส่วนใหญ่ไฟหรี่มักจะถูกเปิดใช้งานเมื่อขับขี่ในเส้นทางที่ไม่ต้องการแสงสว่างมากเกินไป เช่น ขับรถไปในอุโมงค์ ขับรถในเขตชุมชน หรือเปิดเพื่อบอกเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันอื่นรู้ว่ามีรถจอดอยู่ รวมไปถึงเวลาที่ต้องขับรถสวนเลนก็สามารถใช้ไฟหรี่ได้เช่นกัน

ให้คุณจำไว้เสมอว่าความปลอดภัยขณะขับขี่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากคุณใช้รถเมื่อไหร่ให้เปิดไฟหรี่รถยนต์ไว้เมื่ออยู่ในพื้นที่ทัศนวิสัยไม่ดี เพื่อความปลอดภัยกับคุณเองและเพื่อนร่วมทาง

ไฟหรี่รถยนต์เปิดไม่ติดเกิดจากสาเหตุอะไร?

สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาเปิดไฟหรี่รถยนต์ไม่ติดนั้นอาจเกิดจากปัญหาสายไฟขาด หรือหลอดไฟหรี่ขาด หรือขั้วสายไฟต่อไม่แน่น หรือแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้หมด สำหรับมือใหม่แนะนำว่าให้เข้าไปตรวจเช็กสภาพกับอู่ซ่อมรถยนต์ หากไฟหรี่ขาดก็ให้ช่างเปลี่ยนไฟหรี่ให้ใหม่ แนะนำว่าคุณควรเลือกใช้ไฟหรี่ของแท้ซึ่งจะมีอายุการใช้งานนานกว่า ทนทานกว่า อีกทั้งยังมีมีราคาไม่กี่บาทเท่านั้น ซึ่งยุคนี้นิยมติดไฟหรี่รถยนต์เป็นแบบหลอด LED

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ชำนาญแล้วคุณก็สามารถซื้อไฟหรี่มาเปลี่ยนเองได้(หาซื้อไฟหรี่รถยนต์ได้ตามร้านค้าออนไลน์ทั่วไป) ซึ่งมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เพียงแต่เปิดฝากระโปรงรถแล้วหาตำแหน่งไฟหรี่ จากนั้นก็ถอดของเก่าออกแล้วเอาไฟหรี่อันใหม่ใส่เข้าไปก็เสร็จสิ้น (รถแต่ละรุ่นตำแหน่งไฟหรี่จะแตกต่างกัน) แต่ทั้งนี้คุณควรคำนึงว่าต้องติดไฟหรี่เป็นสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดกฎหมาย

เปิดไฟหรี่รถยนต์ ทิ้งไว้เปลืองแบตหรือไม่?

มีผู้ขับขี่หลายคนสงสัย ถ้าลืมปิดไฟหรี่รถยนต์ โดยเปิดทิ้งไว้จะเปลืองแบตหรือไม่ จริงๆ แล้วการเปิดไฟหรี่ทิ้งไว้ไม่ได้เปลืองแบตอะไรขนาดนั้น เพราะตัวไฟหรี่รถยนต์ถูกออกแบบมาให้ใช้กำลังไฟน้อย โดยเฉพาะรถยนต์ประเภทอีโคคาร์ ที่มักจะใช้ไฟหรี่แบบ LED ซึ่งถือว่าประหยัดไฟมาก ๆ รวมถึงแบตเตอรี่มีการคำนวณครอบคลุมการใช้ไฟหรี่ไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าการเปิดไฟหรี่รถยนต์จะเปลืองแบตเลย

ถึงแม้จะเป็นไฟที่มีกำลังต่ำ แต่ก็มีประโยชน์ต่อการขับขี่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการแสงสว่างไม่มาก เช่น ขับขี่ในอุโมงค์ หรือขับสวนเลน ไฟหรี่ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว อีกหนึ่งเรื่องที่อยากเตือนผู้ขับขี่ทุกท่าน การปรับแต่งไฟหรี่รถยนต์ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย ไม่แนะนำให้ปรับแต่ง หรือดัดแปลงไฟหรี่หน้ารถ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และความปลอดภัยต่อผู้ร่วมใช้ถนน

ไฟหรี่รถยนต์ต่างจาก ไฟหน้ารถตอนกลางวันอย่างไร?

ไฟหรี่ไฟหรี่รถยนต์เป็นไฟที่ให้แสงสว่างน้อย โดยวัตถุประสงค์ก็คือให้รถยนต์คันอื่นมองเห็นรถของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทัศนวิสัยไม่ดี แตกต่างจากไฟหน้าที่เปิดตอนกลางวันคือมีไว้เพื่อให้คุณมองเห็นทัศนวิสัยได้ชัดเจนเวลาขับขี่ในตอนกลางวัน นอกจากวัตถุประสงค์การใช้งานจะต่างกันแล้ว แสงไฟยังมีความส่องสว่างต่างกันด้วย โดยแสงของไฟหรี่จะน้อยกว่าไฟหน้ารถกลางวัน และมีรูปทรงที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

แนะนำการดูแลรักษาไฟรถยนต์ให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน

พูดถึงไฟหรี่กันไปแล้ว เราขอปิดท้ายด้วยข้อแนะนำการดูแลไฟหรี่รถยนต์รวมถึงไฟรถยนต์ตำแหน่งอื่น ๆ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างยาวนานดังนี้

  • ควรตรวจสอบการทำงานของระบบไฟรถยนต์ปีละประมาณ 1-2 ครั้ง โดยไล่ตรวจตั้งแต่ไฟหน้า ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอย และไฟหรี่รถยนต์และควรเช็กไฟทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกล
  • โดยปกติแล้วไฟสัญญาณต่าง ๆ รอบรถจะเป็นระบบไฟคู่ หากมีเหตุจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนไป แนะนำว่าให้เปลี่ยนไฟทั้งคู่เลยเพื่อให้ความสว่างเท่ากัน
  • บริเวณไฟรถสามารถทำความสะอาดได้ โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดและผ้าเช็ดคราบสกปรกออก อย่าปล่อยให้สิ่งสกปรกเกาะบริเวณไฟ เพราะอาจทำให้แสงไฟจางลง
  • ไฟหรี่รถยนต์ ไฟหน้า ไฟท้าย และไฟอื่น ๆ สามารถเปลี่ยนเองได้ แต่แนะนำว่าควรใช้สีให้ถูกต้องตามกฎหมายที่ขนส่งทางบกกำหนดไว้ และอย่างใช้ไฟแสงจ้าเกินไปเนื่องจากจะสร้างความรำคาญให้เพื่อนร่วมทาง

จะเห็นได้ว่าไฟหรี่รถยนต์และไฟสัญญาณต่าง ๆ ถูกทำไว้เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ไม่ว่าจะใช้งานรถยนต์แบบไหนก็ต้องเลือกใช้ไฟเพื่อความเหมาะสมด้วย หากไฟหรี่หรือไฟต่าง ๆ ชำรุดก็ให้รีบเปลี่ยนใหม่ทันที ยอมสละเวลาและจ่ายเงินเพียงน้อยนิดเพื่อแลกกับความปลอดภัยบนท้องถนนย่อมเป็นเรื่องคุ้มค่าแน่นอน

หากกล่าวถึงความปลอดภัยบนท้องถนนแล้ว เพื่อให้การขับขี่อุ่นใจมากยิ่งขึ้น เราขอแนะนำว่าให้ทำประกันรถยนต์ติดเอาไว้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องขับขี่รถยนต์เป็นประจำ เดินทางไกลบ่อย ๆ ทำประกันไว้ย่อมอุ่นใจแน่นอน หากคุณสนใจสามารถทำประกันรถยนต์ ได้ที่ Rabbit Care เท่านั้น เพราะเรามีระบบ Care OS ที่จะช่วยเปรียบเทียบและคัดเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะสมตรงความต้องการของคุณ เปรียบเทียบราคาและความคุ้มครองง่ายภายใน 30 วินาที เช็กเบี้ยและความคุ้มครองได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้การซื้อประกันรถยนต์กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ นอกจากนี้เรายังได้มอบสิทธิพิเศษให้คุณดีกว่าที่ไหนด้วย การผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์ นานถึง 10 เดือน ตลอดจนโปรโมชั่นส่วนลดแบบจัดหนักจัดเต็ม รับประกันทั้งเรื่องราคาและความคุ้มค่า นึกถึงประกันรถยนต์ เลือกเปรียบเทียบกับเรา แรบบิท แคร์

รวมวิธีแก้ไฟหน้าเหลือง ให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่

ปัญหาที่ผู้ใช้รถมักเจอ คือโคมไฟหน้ารถยนต์จากที่เคยใส แต่อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นเหลืองขุ่นได้ซะงั้น หลายคนเห็นแล้วมักจะรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อยากถึงขั้นเปลี่ยนโคมไฟหน้าใหม่ เราจะขอแนะนำวิธีแก้ไฟหน้าเหลืองให้กลับมาใสอีกครั้ง ด้วยอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ๆ ในบ้านของคุณก็มี!

ขัดไฟหน้ารถด้วยยาสีฟัน

ใครจะไปคิดว่าของใกล้ตัวเราจะช่วยคืนชีพไฟหน้าเหลือง ให้กลับมาขาวสะอาดได้อีกครั้ง เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ที่ทุกคนมีอยู่ในบ้านอยู่แล้ว “ยาสีฟัน” โดยทายาสีฟันให้ทั่วบริเวณโคมไฟหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งหรือฟองน้ำแห้ง ขัดเป็นวงกลมให้ทั่วเพื่อให้คราบเหลืองที่เกาะอยู่บนโคมหลุดออก เมื่อคราบหลุดแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งมาเช็ดอีกครั้งเพื่อซับน้ำ ก็จะช่วยคืนความขาวกลับมาให้ไฟรถอีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับคราบเหลืองที่ฝังตัวไม่ลึก ก็จะช่วยกำจัดคราบเหลืองออกไปได้ดี

ขัดไฟหน้ารถด้วยกระดาษทราย

ขอแนะนำวิธีขัดคราบไฟหน้าเหลืองแบบประหยัดอีกวิธีหนึ่ง คือการขัดไฟหน้าเหลืองด้วยกระดาษทราย เริ่มจากการแปะเทปนิตโต้ตรงบริเวณรอบ ๆ ฐานโคมไฟที่เป็นบริเวณพื้นที่สีรถ เพื่อป้องกันไม่ให้ตอนขัดไปโดนสีรถจนถลอก จากนั้นให้นำน้ำมาราดตรงบริเวณที่จะขัดเพื่อทำการล้างฝุ่น เริ่มจากการใช้กระดาษทรายเบอร์ 300–500 (เลือกเบอร์ใดเบอร์หนึ่ง) มาขัดไฟหน้ารถด้วยความเบามือ การขัดจะต้องทำแบบใจเย็น ๆ เมื่อขัดจนคราบเหลืองออก ผิวหน้าโคมเรียบแล้วให้ล้างโคมด้วยน้ำเปล่า จากนั้นให้นำกระดาษทรายเบอร์ 1,000-2,000 (เลือกเบอร์ใดเบอร์หนึ่ง) มาขัดโคมอีกครั้งจนคราบขุ่นหลุดออกมา แล้วให้นำน้ำมาล้างเศษฝุ่นที่ขัดออกไปให้หมด ปิดท้ายด้วยการใช้สเปรย์เคลือบเงา หรือน้ำยาขัดรถมาเช็ดที่โคมให้ใสปิ๊ง ซึ่งวิธีนี้จะต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเป็นรอยขนแมว หากคุณลงแรงในการขัดมากเกินไป

ขัดไฟหน้ารถด้วยครีมทำความสะอาดอเนกประสงค์

อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้กู้ไฟหน้าเหลืองให้กลับมาขาวอีกครั้ง และยังใช้อุปกรณ์เพียง 2 อย่างเท่านั้น ได้แก่ ครีมทำความสะอาดอเนกประสงค์ (สเตคลีน) และผ้าสะอาด ให้นำครีมทำความสะอาดอเนกประสงค์มาทาบริเวณโคมไฟหน้าทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ ใช้ผ้าเนื้อนุ่มเช็ดทำความสะอาดโคมไฟ ให้สะอาด ก็จะช่วยให้โคมไฟกลับมาขาวใสได้อีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับไฟหน้ารถที่ไม่เหลืองมาก หรือไม่เหลืองจนกินเนื้อลึกข้างใน

ขัดไฟหน้ารถด้วยผลิตภัณฑ์ขจัดคราบ

หากลองมาหลายวิธีแล้วก็ยังแก้ไฟหน้าเหลืองไม่ได้สักที ให้ใช้วิธีแก้ไฟหน้าเหลืองด้วยผลิตภัณฑ์ขจัดคราบ เริ่มจากนำเทปหรือถุงพลาสติกมาคลุมบริเวณรอบข้างโคมไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาไปกัดโดนสีรถ จากนั้นทำความสะอาดผิวโคมไฟให้สะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง นำน้ำยาขจัดคราบฉีดไปที่โคมไฟหน้า ทิ้งไว้เป็นเวลา 2 นาที จากนั้นให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำยาออกให้หมด ล้างทำความสะอาดไฟหน้าด้วยน้ำเปล่า แล้วเช็ดให้แห้งสนิท ก็จะได้โคมไฟหน้ารถที่กลับมาขาวสะอาดเหมือนเดิม

การดูแลไฟรถเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไฟหน้าจะเป็นตัวช่วยในการส่องสว่างในยามค่ำคืน เมื่อไฟหน้าเหลืองให้ลองทำตามวิธีที่เราแนะนำ ก็จะช่วยให้ไฟหน้ากลับมาสว่างชัดได้อีกครั้ง มองเห็นทัศนียภาพในการขับรถยามค่ำคืนได้ดีขึ้น

อีกหนึ่งตัวช่วยในการขับรถ ช่วยให้คุณยิ้มได้เมื่อภัยมาด้วยประกันรถยนต์ Rabbit Care ประกันจากบริษัทประกันเจ้าดัง ให้คุณได้เลือกหลากหลาย ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ผ่อนสบาย ๆ ได้ทั้งบัตรเครดิต และเงินสด ได้ราคาดีกว่าซื้อตรงอย่างแน่นอน และยังมีบริการช่วยเหลือพิเศษเฉพาะของ Rabbit Care อีกด้วย สมัครเลย!

ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา