การแจ้งความเรื่องซ่อมรถนั้นมีขั้นตอนอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไรบ้าง?
กฎหมายเกี่ยวกับการซ่อมรถมีอะไรบ้าง?
สำหรับธุรกิจซ่อมรถยนต์นั้นจะถือว่าเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมหลักฐานการรับเงิน ตามประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาที่ระบุว่าอู่ซ่อมรถนั้นจะต้องส่งมอบหลักฐานการรับเงินให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้นหากอู่ซ่อมรถไม่ยอมส่งมอบหลักฐานการซ่อมตามรายการที่ระบุ ก็จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้บริโภคจะต้องเตรียมเอกสารในการยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ประกอบธุรกิจกับทาง สคบ. ดังนี้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
- ชื่อและนามสกุล หรือชื่อของผู้ประกอบธุรกิจ พร้อมที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ของผู้ที่ทำให้เสียหาย
- เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเสร็จ สื่อโฆษณาชวนเชื่อ สลิปโอนเงิน เป็นต้น
- เดินทางไปแจ้งความ พร้อมทั้งลงบันทึกประจำวันด้วย
ใบรับรถเข้าซ่อม คืออะไร?
ใบรับรถเข้าซ่อมนั้นถือว่าเป็นหลักฐานที่จะใช้แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ของเรานั้น ได้อยู่ในการดูแลของศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถเรียบร้อยแล้ว และยังใช้เป็นหลักฐานสำคัญในกรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ว่าในตอนนี้รถยนต์ของเรานั้นอยู่ในการดูแลของศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ ซึ่งไม่ใช่เจ้าของรถแต่อย่างใด โดยรายละเอียดในใบรับรถเข้าซ่อมนั้นจะมีดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบธุรกิจอู่ซ่อมรถ
- รายละเอียดของรถยนต์ เช่น ยี่ห้อ รุ่น หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง และหมายเลขทะเบียนรถยนต์
- วันที่เอารถเข้าศูนย์ซ่อม และวันที่รับมอบรถเมื่อซ่อมเสร็จแล้ว
- วันที่ที่อู่ซ่อมรถได้รับเงินจากเจ้าของรถ หรือค่าตอบแทนการในการให้บริการซ่อมรถยนต์
- ระยะเวลาการซ่อมรถยนต์ ตั้งแต่ในวันที่รับมอบรถไปจนถึงวันที่ซ่อมรถเสร็จ
- รายการที่ซ่อมรถยนต์
- กรณีที่มีการเปลี่ยนอะไหล่ด้วย จะต้องระบุรายการ ยี่ห้อ สภาพของอะไหล่ที่เปลี่ยน พร้อมทั้งราคาของอะไหล่ด้วย
- ค่าบริการซ่อมรถยนต์
- ระบุระยะเวลาหรือระยะทางของการรับประกันคุณภาพงานซ่อม และการรับประกันอะไหล่ที่มีการเปลี่ยนด้วย
- มีลายมือชื่อของผู้ที่มีอำนาจในการรับเงินในบิลซ่อมรถยนต์ด้วย เพื่อใช้เป็นหลักฐานการรับเงินที่ครบถ้วนและเรียบร้อย
ร้องเรียนรถซ่อมนาน อู่ประกันซ่อมรถนานมาก ทำอย่างไรดี?
จากข้อมูลในเว็บไซต์ของสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้กล่าวถึงช่องทางในการร้องเรียนไว้ว่า สามารถรวบรวมหลักฐานและเอกสารที่มี เพื่อนำไปร้องเรียนกับ สคบ. ได้ตามช่องทางที่สะดวก ดังนี้
- สายด่วน 1166
- ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ www.tcc.or. th
- อีเมล [email protected]. th
- โทรศัพท์ 02-2391839 กด 1 หรือ 081-1343215 หรือ 081-1343216
- Line Official : @tccthailand (มี @ ข้างหน้า)
- Facebook Fanpage ชื่อว่า “สภาองค์กรของผู้บริโภค”
ขั้นตอนการเคลมประกันรถมีอะไรบ้าง?
- เตรียมเอกสารการเคลมรถให้ครบถ้วน เพื่อนำรถไปซ่อมที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถได้เลย ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ ทะเบียนรถยนต์ กรมธรรม์ประกันภัย รูปรถชนกลางคืน และใบเคลม
- เคลียร์ของออกจากรถ ก่อนที่จะนำรถเข้าไปซ่อมที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ
- หลังจากนั้นรับใบรับรถเข้าซ่อม เพื่อดูรายละเอียดในการซ่อมให้ชัดเจน และจะสามารถใช้แสดงเป็นหลักฐานต่างในการเคลมประกันได้ด้วย ดังนั้นจึงควรเก็บใบรับรถไว้ให้ดี
- เก็บใบเสร็จรับเงินไว้ให้ดี เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรับประกันงานซ่อมจากทางศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ
- ตรวจเช็กสภาพรถก่อนที่จะนำรถออกจากศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ หากตรวจเจอปัญหาอะไรก็จะได้รีบแจ้งได้เลยทันที และไม่เสียเวลาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเรียบร้อยทั้งภายในและภายนอกของรถยนต์ ล้อรถยนต์ ลมยาง รวมไปถึงความเรียบร้อยของอุปกรณ์ในรถยนต์ อีกทั้งควรตรวจเช็กระบบไฟโดยการลองสตาร์ตรถยนต์ และลองขับเพื่อเช็กระบบการทำงานของไฟนั่นเอง พร้อมทั้งตรวจเช็กอะไหล่ว่าเป็นอะไหล่แท้หรืออะไหล่คุณภาพ รวมไปถึงสีของรถว่าตรงกับสีรถเดิมของเรา และไม่ผิดปกติแต่อย่างใด
เคลมรถประกันชั้น 1 นานไหม?
สำหรับการเคลมรถประกันชั้น 1 นั้นจะมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วันทำการ หากลูกค้ามีการตรวจสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง แต่ถ้าหากว่าเป็นการตรวจสภาพรถด้วยบริษัทประกันภัย จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 15 วันทำการ โดยจะนับตั้งแต่วันที่มีการตรวจรถเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการนัดตรวจสภาพรถด้วยบริษัทประกันนั้นจะนับจากวันที่แจ้งงานประมาณ 7 วันทำการนั่นเอง ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของในแต่ละบริษัทประกันภัยร่วมด้วย
เคลมรถนานสุดกี่วัน?
สำหรับการเคลมรถประกันชั้นอื่น ๆ นอกเหนือจากประกันภัยชั้น 1 จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 5 วันทำการ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของในแต่ละบริษัทประกันภัยด้วย
“ซ่อมศูนย์” มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
ข้อดี | ข้อเสีย |
รับประกันงานซ่อมในระยะเวลาที่รับประกัน | ราคาแพงกว่าซ่อมที่อู่ |
มีอะไหล่แท้รองรับ จึงช่วยประหยัดเวลาเพิ่มขึ้น | มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องเปลี่ยนอะไหล่ |
การซ่อมมีมาตรฐาน | รอคิวเข้าซ่อมรถนาน |
ทำงานโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน | มีศูนย์บริการให้เลือกไม่มากเท่าอู่ซ่อมรถ |
“ซ่อมอู่” มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีอู่ให้เลือกมากมาย | อาจโดนโกงเรื่องค่าอะไหล่ หรือค่าแรง |
ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าซ่อมที่ศูนย์บริการ | บางครั้งอะไหล่ที่ใช้จะไม่ใช่ของแท้ |
สามารถต่อรองค่าซ่อมรถได้ง่ายกว่า | บางอู่ไม่มีรับประกันหลังซ่อมเสร็จ |
ใช้ระยะเวลาในการซ่อมไม่นาน | งานซ่อมไม่ประณีตเท่าซ่อมที่ศูนย์บริการ |
กรณีใดบ้างที่จะทำให้การเคลมถูกปฏิเสธ?
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธการเคลม จึงควรศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์อย่างถี่ถ้วน อีกทั้งควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แจ้งเคลมเร็ว ยื่นเอกสารการเคลมครบถ้วน และปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ซึ่งกรณีที่จะสามารถถูกปฏิเสธการเคลมได้นั้นจะมีอยู่หลายกรณี ยกตัวอย่างเช่น
- มีการฉ้อฉลประกันภัย หรือมีการบิดเบือนความจริงโดยเจตนา
- เหตุการณ์นั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขที่กรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง
- มีการรายงานที่ล่าช้า หรือไม่ได้รายงานเหตุการณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- หากอยู่ในข้อยกเว้นความคุ้มครองตามกรมธรรม์ เช่น เมาแล้วขับ เป็นต้น
- มีการปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลเท็จ บริษัทประกันภัยอาจปฏิเสธการเคลมได้
- มีหลักฐานที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่จะต้องจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ไม่ชำระเบี้ยประกันตามเวลาที่กำหนด หรือปล่อยให้กรมธรรม์ขาดอายุ
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
สามารถยกเลิกการเคลมได้ไหม?
สามารถยกเลิกได้เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น โดยจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์เป็นหลัก
เคลมบ่อยแค่ไหนถึงจะเรียกว่า “เสียประวัติ”
หากเป็นการเคลมแบบแห้ง 200% ของราคาเบี้ยประกันที่จ่ายต่อปี และเป็นการเคลมตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป หรือเป็นการเคลมแบบไม่มีคู่กรณี อย่างนี้จะถือว่าเสียประวัติทันที
ซ่อมอู่และซ่อมห้าง อายุรถจะต้องไม่เกินกี่ปี?
สำหรับรถยนต์ที่จะนำมาส่งซ่อมอู่หรือส่งซ่อมห้างนั้นจะมีการจำกัดอายุด้วย กล่าวคือ รถที่มีอายุไม่เกิน 5-7 ปี สามารถซ่อมห้างได้ ส่วนรถที่มีอายุไม่เกิน 10-12 ปี สามารถซ่อมอู่ได้นั่นเอง
ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?
การมีประกันภัยรถยนต์ไว้จะช่วยทำให้ผู้ขับขี่นั้นเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น เพราะเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในอนาคตนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าหากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราก็จะได้รับความคุ้มครองค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้จากประกันภัยรถยนต์ที่เราได้ทำเอาไว้ ซึ่งก็จะแนะนำให้เลือกทำเป็นประกันภัยชั้น 1 เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าเรายังจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วย และจะยังได้รับความคุ้มครองสำหรับการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ค่าซ่อมสีรถ ในกรณีที่รถนั้นเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาจากการเฉี่ยวชนของคู่กรณีอีกด้วย และถ้าหากว่าเราจะดูเฉพาะแค่เรื่องความคุ้มครองของยางรถยนต์ จะเห็นได้ว่าประกันชั้น 2+ และ 3+ นั้นจะสามารถเคลมได้เฉพาะในกรณีที่เกิดความเสียหายจากรถชนรถเท่านั้น ส่วนประกันภัยชั้น 2 และ 3 จะไม่สามารถเคลมได้นั่นเอง
ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
นอกจากคุณจะได้รับแผนประกันภัยที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของคุณแล้ว ในเรื่องของราคาก็คุ้มค่ามากเช่นเดียวกัน เพราะแรบบิท แคร์ เรามีข้อเสนอจากบริษัทชั้นนำที่จะให้คุณได้เลือกสรรแบบหลากหลาย อีกทั้งยังมีสิทธิประโยชน์เฉพาะที่แรบบิท แคร์ มาให้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความอุ่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกับรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์
ความคุ้มครองประกันรถยนต์