เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง หมายความว่าอะไร? หากฝ่าฝืน ผิดกฎหมายหรือไม่ แล้วมีโทษอย่างไร?
ในทุก ๆ ประเทศย่อมมีกฎหมายจราจรแตกต่างกันออกไป ซึ่งในประเทศไทยก็มีการกำหนดเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางเพื่อให้ผู้ขับขี่ปฎิบัติตามเช่นกัน โดยจุดประสงค์ของการสร้างเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางก็เพื่อสร้างความเรียบร้อยบนถนนในขณะขับขี่และลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน วันนี้น้องแคร์จะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง ว่าแต่ละเครื่องหมายมีความหมายอย่างไร หากฝ่าฝืนจะมีโทษอย่างไร ไปดูกันเลย!!
สัญลักษณ์ เส้นจราจรบนถนน
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง มีอยู่ด้วยกันหลากหลายเครื่องหมาย เช่น เส้นเหลือง เส้นทึบ ลูกศรตรงไป เป็นต้น ซึ่งผู้ขับขี่จำเป็นต้องรู้และปฎิบัติตามเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัยในการขับขี่ โดยสัญลักษณ์มีดังนี้
1. เส้นประเหลือง
สำหรับมือใหม่หัดขับที่เจอเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่เป็นเส้นประสีเหลือง ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันคือเส้นที่แสดงการแบ่งแยกการจราจรของรถยนต์ที่มีทิศฤทางตรงกันข้าม หากเจอเส้นนี้ ผู้ขับขี่ต้องขับรถบริเวณด้านซ้ายของรถ ยกเว้นกรณีที่ต้องการแซงหรือเลี้ยวขวา
2. เส้นทึบสีเหลืองเดี่ยวหรือคู่
หากพบเห็นเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่เป็นเส้นเหลืองทึบเดี่ยวหรือคู่ นั่นคือสัญลักษณ์แบ่งทิศทางจราจรซึ่งผู้ขับขี่ห้ามแซงโดยเด็ดขาด หมายความว่าผู้ขับขี่ต้องขับรถบริเวณด้านซ้ายของเส้น ห้ามคร่อมเส้นหรือแซงโดยเด็ดขาด ดังนั้นเส้นทึบ ห้ามแซงและเปลี่ยนเลน
3. เส้นทึบสีเหลืองคู่กับเส้นประสีเหลือง
เมื่อพบเห็นเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่เป็นเส้นทึบสีเหลืองคู่กับเส้นประสีเหลือง นั่นคือ เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซงเฉพาะด้าน หมายถึง รถที่อยู่ติดกับด้านเส้นทึบ ห้ามเปลี่ยนเลน ห้ามแซงหรือขับคร่อมเส้นโดยเด็ดขาด ในขณะที่รถยนต์ที่อยู่ทางด้านเส้นประสามารถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น หรือมีการขับคร่อมเส้นได้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์สามารถทำได้และมีความปลอดภัย
4. เส้นประสีขาว
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่มีลักษณะเส้นประสีขาว หมายถึง เส้นที่แบ่งช่องทางเดินรถหรือแบ่งช่องจราจร โดยผู้ขับขี่จำเป็นต้องขับรถภายในช่องทางเดินรถเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ขับคร่อมเส้น เว้นแต่ต้องการจะเปลี่ยนช่องทางจราจร
5. แถบสีเหลืองสลับขาวแสดงที่ขอบทาง
เมื่อเจอเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่เป็นแถบสีเหลืองสลับขาวแสดงที่ขอบทาง นั่นแปลว่า คุณห้ามจอดรถทุกชนิดระหว่างแนวฟุตบาทสีเหลือง-ขาวเป็นระยะเวลานาน แต่สามารถจอดเพื่อรับส่งคนหรือสิ่งของในชั่วขณะได้ซึ่งต้องกระทำโดยมิชักช้า เช่น การจอดรถเมล์หรือรถแท๊กซี่เพื่อรับคนขึ้น-ลง
6. แถบสีแดงสลับขาวแสดงที่ขอบทาง
ผู้ขับขี่หลายคนอาจมีความสับสนระหว่าง “เหลือง-ขาว” กับ “ขาว-แดง” จริง ๆ แล้วสัญลักษณ์ เส้นจราจรบนถนน มีความแตกต่างกัน เนื่องจากเหลืองขาว เป็นการห้ามจอดค้างไว้แต่สามารถหยุดเพื่อรับคนได้ แต่ ขาว- แดง คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการห้ามจอดหรือหยุดรถทุกชนิดบริเวณแนวเขตที่กำหนดไว้ โดยคนส่วนมากมักฝ่าฝืน ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องออกใบสั่งและทำการล็อคล้อ ซึ่งผู้ขับขี่จำเป็นต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักเพื่อทำการปลดล็อคล้อ
7. แถบสีขาวสลับดำแสดงที่ขอบทาง
ผู้ขับขี่บางคนอาจตกใจว่าเครื่องหมายขาวดำ คืออะไร สามารถจอดได้หรือไม่ จริง ๆ แล้วแถบสีขาวสลับดำแสดงที่ขอบทางเป็นเพียงขอบที่ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นขอบทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น
8. แถบสีขาวกว้าง และยาวหลาย ๆ แถบประกอบกันขวางทางเดินรถ
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่มีสีขาวกว้างสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทางม้าลายหรือเส้นทางข้าม เมื่อผู้ขับขี่เห็นสัญลักษณ์นี้บนท้องถนน ต้องชะลอและขับรถให้ช้าลง เมื่อมีคนข้ามให้ทำการหยุดรถลงทันทีเพื่อให้ผู้ข้ามได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นจึงสามารถขับรถต่อได้
9. เส้นทึบสีเหลืองลากทะแยงตัดกันภายในกรอบเส้นทึบสีเหลือง
เมื่อผู้ขับขี่พบเห็นเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่เป็นเส้นทะแยง นั่นแปลว่า ห้ามหยุดรถทุกชนิดภายในกรอบเส้นทะแยงห้ามหยุดรถโดยเด็ดขาด ยกเว้นรถที่หยุดรอเพื่อทำการเลี้ยวขวา
10. ลูกศรแสดงทิศทาง
สีของลูกศรสามารถมีทั้งสีแดงและสีเหลือง เมื่อลูกศรปรากฎในเลนหรือช่องทางเดินรถที่คุณกำลังขับขี่อยู่ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องปฎิบัติตามลูกศรนั้นอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น ลูกศรตรง: ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเดินรถในทางตรง ห้ามเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา
นอกจากนี้เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง อาจมาในรูปแบบของตัวหนังสือ เช่น หยุด, ลดความเร็ว, ขับช้า ๆ เป็นต้น ซึ่งผู้ขับขี่จำเป็นต้องปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด นอกจากทำตามเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางแล้ว ก็อย่าลังเลที่จะปฎิบัติตามไฟจราจรเช่นกัน เช่น ไฟเหลือง: ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็วรถเพื่อให้รถหยุด ไม่ใช่รีบเหยียบคันเร่งให้ผ่านเร็วขึ้น
ฝ่าฝืนสัญลักษณ์ เส้นจราจรบนถนน มีโทษอย่างไร?
ทางกฎหมายมีการกำหนดโทษเมื่อผู้ขับขี่ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางจะถูกปรับ 500 บาท อย่างไรก็ตามหากเปลี่ยนช่องทางการเดินรถ ขับรถคร่อมเลน จะเข้ากฎหมายมาตรา 43 (6) ที่ว่า ห้ามขับคร่อม หรือทับเส้น เว้นแต่เมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถ ซึ่งจะมีโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท
ละเลยการปฎิบัติตามเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง จนเกิดอุบัติเหตุ ประกันจ่ายไหม?
หากผู้ขับขี่ละเลย เพิกเฉยและไม่ปฎิบัติตามกฎหมายจราจรจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในกรณีนี้หากรถชนขึ้นมาทางบริษัทประกันภัยยังให้ความคุ้มครองเหมือนเดิมแม้ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม และไม่ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมากน้อยเพียงใด บริษัทประกันก็ยังจะให้ความคุ้มครอง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมรถ ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ หรือค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ เป็นต้น แต่คุณต้องยอมรับว่ากรณีนี้จะต้องเสียประวัติดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นต้องตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันรถยนต์ก่อนว่าให้ความคุ้มครองเรื่องใดบ้างและคุ้มครองกรณีขับรถโดยประมาทจากการฝ่าฝืนกฎหมายจราจรหรือไม่
เหล่านี้คือความหมายของเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางที่คุณจำเป็นต้องปฎิบัติตาม อุบัติเหตุทางถนนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นอย่าลังเลที่จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 กับ แรบบิท แคร์ ติดรถไว้ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่หัดขับ เพราะถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็จะได้รับความคุ้มครอง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม นอกจากนี้หากคุณซื้อผ่าน แรบบิท แคร์ คุณจะได้บริการเสริมสุดพิเศษ เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง, บริการรถยก รถลาก, บริการรถเช่ารถหว่างขับ เป็นต้น มีแผนประกันให้คุณเลือกมากมายและค่าเบี้ยยังสามารถผ่อน 0% ได้นาน 10 เดือน หากสนใจโทรเลย 1438
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางมีประโยชน์ในการเคลมประกันอย่างไร
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง เช่น เส้นแบ่งเลน, เส้นทึบ, เส้นประ, ลูกศรบอกทิศทาง, เส้นขาว-เหลือง หรือเครื่องหมายต่างๆ บนถนน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนน การปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนเครื่องหมายเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการพิจารณาความถูกผิดในการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการใช้ข้อมูลจากเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางสามารถมีประโยชน์ในการเคลมประกัน ดังนี้:
ประโยชน์ของเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางในการเคลมประกัน
1. พิสูจน์ความถูกต้องในการเปลี่ยนเลนหรือขับขี่
เครื่องหมายเส้นแบ่งเลนหรือเส้นทึบสามารถใช้พิสูจน์ว่าคุณหรือคู่กรณีเปลี่ยนเลนหรือขับขี่ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น หากเกิดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนเลนและคุณอยู่ในเลนที่ถูกต้องตามกฎหมาย (เลนที่มีเส้นประ) ขณะที่คู่กรณีเปลี่ยนเลนในบริเวณเส้นทึบ ข้อมูลจากเครื่องหมายบนพื้นทางสามารถใช้เพื่อยืนยันว่าคุณไม่ได้ทำผิดกฎจราจรและช่วยสนับสนุนการเคลมประกันของคุณได้
ตัวอย่าง : หากคุณขับรถอยู่ในเลนที่มีเส้นทึบคู่ และมีรถคันอื่นแซงจากทางที่เส้นทึบ (ซึ่งห้ามแซง) แล้วเกิดอุบัติเหตุ คุณสามารถใช้ภาพถ่ายของเส้นทึบคู่เพื่อยืนยันว่าคุณขับขี่ในเลนที่ถูกต้อง และคู่กรณีเป็นฝ่ายทำผิด
2. สนับสนุนการอ้างอิงตำแหน่งที่เกิดเหตุ
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางสามารถช่วยระบุตำแหน่งที่เกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ เช่น ตำแหน่งที่รถของคุณจอดในบริเวณทางแยก ทางม้าลาย หรือจุดหยุดชั่วคราว หากมีการพิพาทเกี่ยวกับตำแหน่งการจอดหรือการขับขี่ การใช้ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางจะช่วยสนับสนุนการอ้างอิงได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่าง : หากเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดหยุด (Stop Line) และคุณหยุดรถตามเครื่องหมายบนพื้นทาง แต่คู่กรณีไม่หยุดตามเส้นหยุดและชนเข้ากับรถของคุณ ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นเส้นหยุดและตำแหน่งรถของคุณจะช่วยพิสูจน์ความถูกต้องของคุณได้
3. ใช้เพื่อพิสูจน์การทำผิดกฎจราจรของคู่กรณี
หากคู่กรณีขับขี่ฝ่าฝืนเครื่องหมายบนพื้นทาง เช่น ขับรถสวนเลนในพื้นที่ที่มีเส้นทึบคู่, ขับรถย้อนศร, หรือเลี้ยวผิดกฎหมายในจุดที่มีเครื่องหมายห้ามเลี้ยว การใช้ข้อมูลจากเครื่องหมายบนพื้นทางจะช่วยพิสูจน์ว่าคู่กรณีทำผิดกฎจราจร ซึ่งส่งผลให้ความรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุเป็นของคู่กรณี
ตัวอย่าง : หากคู่กรณีเลี้ยวขวาในจุดที่มีเส้นทึบหรือป้ายห้ามเลี้ยวและเกิดอุบัติเหตุกับรถของคุณ การถ่ายภาพเครื่องหมายบนพื้นทางจะช่วยยืนยันว่าคู่กรณีทำผิดกฎจราจร และสนับสนุนการเคลมประกันของคุณได้
4. ใช้เป็นหลักฐานเสริมในการเคลมประกัน
- ในกรณีที่การขับขี่ของทั้งสองฝ่ายอาจถูกตีความได้หลากหลาย เช่น การแซง การเลี้ยว หรือการเข้าช่องทาง การใช้ข้อมูลจากเครื่องหมายบนพื้นทางจะช่วยลดความไม่ชัดเจนและสนับสนุนคำอธิบายของคุณในการเคลมประกันให้ชัดเจนมากขึ้น
- การมีภาพถ่ายหรือวิดีโอที่แสดงเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางร่วมกับจุดเกิดเหตุจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในการเคลมประกันมากขึ้น
การเก็บหลักฐานจากเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง
- ถ่ายภาพหรือบันทึกวิดีโอเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางในบริเวณที่เกิดเหตุ รวมถึงภาพมุมกว้างที่แสดงให้เห็นตำแหน่งของรถคุณและคู่กรณี รวมทั้งบริเวณโดยรอบ
- หากมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ ควรขอข้อมูลติดต่อพยานเพื่อยืนยันคำอธิบายของคุณเกี่ยวกับการปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางมีบทบาทสำคัญในการเคลมประกัน เพราะสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์การขับขี่ที่ถูกต้องหรือการทำผิดของคู่กรณี ช่วยให้กระบวนการเคลมประกันเป็นไปอย่างราบรื่นและยุติธรรมมากขึ้น ดังนั้นควรเก็บภาพถ่ายหรือวิดีโอของเครื่องหมายจราจรในบริเวณที่เกิดเหตุไว้เสมอ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเคลมประกันค่ะ
ความคุ้มครองประกันรถยนต์