สรุปความสำคัญของเงินได้พึงประเมิน ตัวแปรในการลดหย่อนภาษี
สำหรับท่านใดที่อยู่ในช่วงทำงานหารายได้ และต้องมีการยื่นภาษีเงินได้เป็นประจำทุกปี คงจะคุ้นชินกับคำว่า "เงินได้พึงประเมิน" อยู่บ้าง เพราะข้อความดังกล่าวจะปรากฏให้คุณเห็นตอนยื่นภาษีออนไลน์ หรือปรากฏอยู่ในแอปพลิเคชันคำนวณภาษีต่าง ๆ ซึ่งหลายคนอาจงงว่าเงินได้พึงประเมินคืออะไร แตกต่างจากเงินรายรับจากค่าจ้างที่ได้อยู่ทุกวันหรือไม่ รายรับแบบไหนถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน และต้องใส่เงินได้เท่าใดตอนยื่นภาษี แรบบิท แคร์ จะมาอธิบายให้ทุกท่านได้กระจ่างดังนี้
เงินได้พึงประเมินคืออะไร?
"เงินได้พึงประเมิน" เป็นคำศัพท์ของการวางแผนการเงินและภาษีเงินได้บุคคล เงินได้พึงประเมินคือรายได้รายปีที่จะนำมาคำนวณการเสียภาษีนั่นเอง เงิน ทรัพย์สิน กำไร หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารวยขึ้นจะถูกนับเป็นรายได้พึ่งจะเมินทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น รายได้จากการทำงาน, ผลประโยชน์จากการลงทุน, กำไรจากการขายทรัพย์สิน, รายได้จากธุรกิจหรือการประกอบวิชาชีพ รวมถึงรายได้อื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎหมาย
เงินได้พึงประเมินของคุณส่งผลต่อจำนวนภาษีที่คุณต้องจ่าย หากคุณมีรายได้มากก็มีแนวโน้มที่จะเสียมากขึ้น ยกเว้นคุณมีตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี
ทรัพย์สินแบบไหนที่ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน?
ทุกอย่างที่ทำให้เรารวยจะถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
- เงินสด
- เงินในบัญชี
- ทรัพย์สินที่สามารถนำมาตีราคาได้
- สิทธิประโยชน์ที่สามารถนำมาตีราคาได้
- เงินภาษีที่มีคนจ่ายแทนให้เรา
- เครดิตภาษีเงินปันผล
ส่วนอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเงินของคุณ แต่ไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นกว่าเดิม เช่น เงินกู้ ทรัพย์สินของคนอื่น ทรัพย์สินที่ยืมมาหรือเช่ามาใช้งาน หนี้สิน ฯลฯ จะไม่ถูกนับเป็นรายได้ถึงประเมิน
เงินได้พึงประเมิน 8 ประเภทมีอะไรบ้าง?
ตามข้อกำหนดของประมวลรัษฏากร จะมีการแบ่งเงินได้ออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งจะจำแนกตามการประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
เงินได้ประเภทที่ 1 หรือเงินได้มาตรา 40 (1)
หมายถึงเงินที่ได้จากการจ้างงานต่าง ๆ เป็นรายเดือน เช่น เงินเดือน โบนัส เงินโอที เบี้ยขยัน สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้าง เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
เงินได้ประเภทที่ 2 หรือเงินได้มาตรา 40 (2)
หมายถึงเงินได้จากการจ้างงานเป็นครั้งคราว เช่น ค่าจ้างทั่วไป การจ้างให้ทำงาน ค่าคอมมิชชัน ค่านายหน้า ค่าตอบแทนจากการเป็น MC ถ่ายโฆษณา นางแบบ ค่าตอบแทนจากการรีวิวสินค้า เบี้ยประชุม เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ถ้าคุณมีรายได้จากประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ให้นำมาคิดรวมกัน และหักค่าใช้จ่ายได้ 50% สูงสุดไม่เกิน 100,000
เงินได้ประเภทที่ 3 หรือเงินได้มาตรา 40 (3)
หมายถึงเงินได้ที่มาในรูปแบบของค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนจากทรัพย์สินทางปัญญา ค่ากู๊ดวิล เช่น ค่าบทประพันธ์ งานเพลง การทำเว็บไซต์ ค่าเฟรนไชส์ ค่าสิทธิบัตร ค่าชื่อเสียงทางการค้า การเขียนโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์และเงินรายปีจากนิติกรรมหรือคำพิพากษาของศาล เช่น ค่าเลี้ยงดูจากการฟ้องหย่า เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
เงินได้ประเภทที่ 4 หรือเงินได้มาตรา 40 (4)
หมายถึงเงินที่ได้มาในรูปแบบของดอกเบี้ย และเงินปันผล เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยกู้ยืมเงิน เป็นต้น แต่ทั้งนี้เงินได้ประเภทที่ 4 อาจมีรายละเอียดข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบางอย่าง ซึ่งคุณสามารถอ่านรายละเอียดได้จากคำประกาศของสรรพากร เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ไม่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้
เงินได้ประเภทที่ 5 หรือเงินได้มาตรา 40 (5)
หมายถึงเงินได้ที่มาจากค่าเช่า รวมถึงเงินที่ได้มาจากการผิดสัญญาเช่าหรือสัญญาซื้อขาย เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าตึก ค่าเช่ายานพาหนะ ค่าเช่าที่ดิน เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทนี้จะหักค่าใช้จ่ายได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ดังนี้
- เงินค่าเช่าบ้าน อาคาร สิ่งก่อสร้าง แพ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่ายานพาหนะ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าที่ดินที่ใช้ในการทำการเกษตร หักค่าใช้จ่ายได้ 20% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการทำการเกษตร หักค่าใช้จ่ายได้ 15% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าทรัพย์สินอื่นๆ หักค่าใช้จ่ายได้ 10% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินจากการผิดสัญญาเช่าซื้อ สัญญาซื้อขายเงินผ่อน หักค่าใช้จ่ายได้ 20% ของเงินได้หรือหักตามจริง
เงินได้ประเภทที่ 6 หรือเงินได้มาตรา 40 (6)
หมายถึงรายได้จากการประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วยอาชีพโรคศิลปะ เช่น เภสัชกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ์ กายภาพบำบัด เทคนิคการแพทย์ ฯลฯ รวมถึงอาชีพนักกฎหมาย วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ เงินได้พึงประเมินประเภทนี้สามารถหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดดังนี้
- การประกอบโรคศิลปะ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ของรายได้หรือหักตามจริง
- กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 30% ของรายได้หรือหักตามจริง
เงินได้ประเภทที่ 7 หรือเงินได้มาตรา 40 (7)
หมายถึงรายได้ที่มาในรูปแบบของค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ เช่น รับเหมาะก่อสร้าง การรับผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าแบบสั่งทำเฉพาะพิเศษ เป็นต้น รายได้ประเภทนี้สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของเงินได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง
เงินได้ประเภทที่ 8 หรือเงินได้มาตรา 40 (8)
หมายถึงเงินได้ที่ไม่อยู่ในกลุ่มเงินได้พึงประเมินประเภท 1-7 และเป็นรายได้ที่ไม่ได้รับการงดเว้นภาษี เช่น เงินได้จากการขายของออนไลน์ รายได้จากการเปิดร้านอาหาร/คาเฟ่ รายได้จากการเป็นอินฟูลเลนเซอร์ รายได้จากการขายอสังหาฯ เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 40%-60% ของเงินได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
เงินได้พึงประเมินมีส่วนต่อการยื่นภาษีอย่างไร?
เงินได้พึงประเมินเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคำนวณ เพื่อที่จะยื่นหักภาษีได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะนำไปหักลบกับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเพื่อให้ได้เงินได้สุทธิมาก่อนที่จะนำรายได้สุทธิไปคิดอัตราลดหย่อนภาษีแบบขั้นบันไดอีกที ตามสูตรคำนวณดังนี้
เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีขั้นบันได = เงินภาษีที่คุณต้องจ่าย
สรุปก็คือหากคุณต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนเองและยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณต้องเข้าใจว่าเงินได้พึงประเมินของคุณอยู่ในประเภทใดนั่นเอง
สุดท้ายนี้น้องแคร์ อยากจะเตือนทุกคนว่าการคำนวณภาษีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยที่ต้องจ่าย แต่ถ้าคุณคิดว่าในแต่ละปีนั้นคุณจ่ายภาษีเงินได้เยอะเกินไป คุณสามารถเลือกตัวช่วยลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้เพียงซื้อประกันชีวิต ซึ่งจะลดหย่อนสูงได้ 100,000 บาท เลยทีเดียว เช็กความคุ้มครองประกันชีวิตกับเราแรบบิท แคร์ กันได้เลย
ประกันชีวิตที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ