เบรคกระทันหัน รถชนท้ายใครผิด และจะมีการตัดสินอย่างไร?

โดยปกติแล้วรถยนต์คันข้างหลังมักจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิดเสมอเวลาที่มีเหตุการณ์รถชนท้ายกันเกิดขึ้น หรือเบรคกระทันหัน รถชนท้าย ใครผิดกันแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นจะต้องดูที่สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเป็นหลัก ว่าเกิดจากความประมาทของรถยนต์คันไหนที่ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า เพราะว่าคันที่อยู่ข้างหลังนั้นไม่ได้เป็นฝ่ายที่ผิดเสมอไป แต่อาจจะเกิดจากความประมาทของรถคันข้างหน้าที่เปลี่ยนเลนกะทันหัน เหม่อลอย มึนเมา มีรถคันอื่นตัดหน้ารถ หรือรถคันข้างหลังมาชนข้างหลังรถเราจนทำให้รถของเรานั้นเกิดการเคลื่อนไปชนกับคันข้างหน้า และจะต้องมีหลักฐานมายืนยันด้วยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก เช่น ภาพหรือวิดีโอจากกล้องวงจรปิด หรือภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ๆ ที่จะสามารถพิสูจน์ความจริงจากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้

ในกรณีที่มีการเบรคกระทันหัน รถชนท้าย ใครผิด แบบนี้จะดูที่ความประมาทจนทำให้เกิดความเสียหายเป็นหลัก เพราะการขับรถชนท้ายนั้นรถคันหลังจะไม่ถือว่ามีความผิดเสมอไป และพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 40 ได้ระบุเรื่องระยะที่สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยเอาไว้ว่า “ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างจากคันข้างหน้าพอสมควร ในระยะที่สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยและเมื่อจำเป็นจะต้องหยุดรถ โดยที่ผู้ขับขี่จะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้รถถอยหลังไปชนคันอื่นเมื่อขับรถขึ้นสะพานหรือทางลาดชัน” ดังนั้นถ้าหากว่ารถคันข้างหลังนั้นอยู่ในกรณีดังต่อไปนี้ จะถือว่าไม่มีความผิดเสมอไป ได้แก่

• รถคันข้างหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหัน
• ผู้ขับรถคันข้างหน้ามีอาการมึนเมา หากตรวจพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือมีโทษปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถึงแม้ว่าจะมีประกันภัยรถยนต์ แต่ทางบริษัทประกันภัยก็จะไม่ให้ความคุ้มครองอีกด้วย
• รถคันข้างหลังขับมาชนหลังรถเรา เลยทำให้รถเราเคลื่อนไปชนหลังรถคันข้างหน้า
• รถคันข้างหน้าเกิดเบรกกะทันหัน เพราะมีรถคันอื่นตัดหน้า หรือว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถคันข้างหน้า
• รถคันข้างหน้าเกิดเบรกกะทันหัน อันเนื่องมาจากความประมาท เช่น เหม่อลอย หลับใน หรือเบรกรถโดยไม่มีเหตุอันควร

หากมีการเบรคกระทันหัน รถชนท้าย ใครผิดกันแน่ โดยปกติแล้วผู้ที่เป็นฝ่ายถูกนั้นจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้จากฝ่ายคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด เช่น ค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ ค่าซ่อมรถ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็จะต้องขึ้นอยู่กับวงเงินที่ระบุอยู่ในกรมธรรม์ด้วย เพราะถ้าหากว่าเกินวงเงินความคุ้มครอง ทางฝั่งคู่กรณีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมดตามที่ได้มีการตกลงกันไว้ และถ้าหากว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายนั้นมีประกันภัยรถยนต์ด้วย ทางตัวแทนบริษัทประกันก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและจัดการเรื่องค่าเสียหายให้แทนทั้งหมดด้วย

สำหรับในกรณีเบรคกระทันหัน รถชนท้าย ใครผิด แบบนี้เราจะดูที่ความประมาทเป็นหลัก เพราะว่ารถยนต์คันหลังหรือรถยนต์ที่ขับมาชนท้ายนั้นจะไม่ถือว่าเป็นฝ่ายผิดเสมอไป เนื่องจากมีข้อยกเว้นในบางประการตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 40 และหลักฐานที่ใช้ยืนยันความบริสุทธิ์จากการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ภาพหรือวิดีโอจากกล้องวงจรปิด หรือภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ๆ ที่จะสามารถพิสูจน์ความจริงจากในเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้นั่นเอง

ในกรณีเบรคกระทันหัน รถชนท้าย ใครผิด แบบนี้เราจะดูที่หลักฐานยืนยันเป็นหลัก เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ ภาพจากกล้องหน้ารถ หรือภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ๆ เพราะตามหลักการแล้วจะมีการประเมินว่าคันที่ชนท้ายนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่ถ้าหากว่ามีหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ได้ ก็จะสามารถเป็นตัวช่วยยืนยันความถูกต้องให้กับฝ่ายที่ชนข้างหลังรถคันข้างหน้านั่นเอง

อันดับแรกถ้ายังไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก เราอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปตกลงกับทางคู่กรณีว่าเราเป็นฝ่ายผิดเด็ดขาด เพราะเราจะกลายเป็นฝ่ายผิดทันที และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายบวกกับรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นทางที่ดีควรจะรอให้ตัวแทนประกันภัยเดินทางมาถึงยังที่เกิดเหตุก่อน เพื่อให้ช่วยตรวจสอบความเสียหายและช่วยไกล่เกลี่ยกับทางคู่กรณีให้จะดีที่สุด อีกทั้งเรายังไม่ต้องเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเองอีกด้วย

กรณีที่เป็นฝ่ายถูก เมื่อถูกรถคันข้างหลังชนเข้าที่ด้านท้ายรถ

สำหรับในกรณีนี้ หากเรามีหลักฐานยืนยันชัดเจนได้ว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ทางฝ่ายคู่กรณีก็จะต้องมีการรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยที่ถ้าหากว่าทางฝ่ายคู่กรณีมีทำประกันภัยรถยนต์ไว้ด้วยเหมือนกัน ก็จะเป็นทางตัวแทนบริษัทประกันภัยที่จะดำเนินการในส่วนนี้ให้เองทั้งหมด ดังนั้นเราจึงสามารถนำรถไปซ่อมที่อู่ได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าการทำประกันภัยรถยนต์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะว่าจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่นั้นมีความมั่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น และเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในอนาคตนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าหากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราก็จะได้รับความคุ้มครองค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้จากประกันภัยรถยนต์ที่เราได้ทำเอาไว้ด้วย

กรณีที่เป็นฝ่ายผิด เมื่อขับรถไปชนข้างหลังรถยนต์คันข้างหน้า

ถ้าหากว่าเราได้มีการทำประกันภัยรถยนต์เอาไว้ ทางตัวแทนบริษัทประกันภัยก็จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ดำเนินการชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ตามเงื่อนไขความคุ้มครอง และวงเงินความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่ถ้าหากไม่ได้มีการทำประกันภัยรถยนต์เอาไว้หรือค่าความเสียหายนั้นเกินกว่าที่อยู่ในวงเงินความคุ้มครอง ทางผู้ขับขี่ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดยการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเองทั้งหมดนั่นเอง

หากเกิดเหตุไปชนข้างหลังรถคนอื่นเข้า โดยที่ทางเราไม่ได้มีประกันภัยรถยนต์ นั่นหมายความว่าเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความประมาทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมรถของทางคู่กรณี เงินชดเชยอื่น ๆ หรือค่าซ่อมแซมรถของตนเองด้วย แต่ถ้าหากว่าทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ไว้เลย ก็จะต้องมีการเจรจาเรื่องค่าเสียหายกันก่อนที่จะไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าทางใครเป็นฝ่ายผิด พร้อมทั้งจะมีการรับผิดชอบและเสียค่าชดเชยต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

ในกรณีนี้จะถือว่ารถยนต์คันที่ตัดหน้ารถคันแรกนั้นเป็นฝ่ายผิด โดยจะถือว่ามีความผิดและจะต้องมีการรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการชนข้างหลังกันเป็นทอด ๆ และรถยนต์คันแรกที่เบรกกะทันหันนั้นก็จะไม่ถือว่ามีความผิด เพราะสาเหตุที่แท้จริงมาจากคันที่ขับรถตัดหน้า ซึ่งไม่ใช่รถยนต์คันแรกที่เหยียบเบรกกะทันหันนั่นเอง