โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (CVS) คือโรคอะไร และเป็นอันตรายมากไหม?
สำหรับในปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่าทุกคนมีสมาร์ตโฟน มีคอมพิวเตอร์ หรือมีแท็บเล็ตพกติดตัวตลอดเวลา เนื่องจากว่ามีการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้นกว่าในอดีตเยอะมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักจะต้องใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์ในการทำงาน การเรียน การประกอบอาชีพ การค้าขาย การทำธุรกิจ การประชุม หรือการใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ กันมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของดวงตาเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากอีกด้วยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาการตาล้า ตาแห้ง ตาพร่ามัว อีกทั้งยังมีอาการปวดกล้ามเนื้อใกล้เคียงร่วมด้วย เช่น อาการปวดคอ ปวดบ่า หรือปวดไหล่ เป็นต้น
โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม หรือโรค cvs คืออะไร?
จากบทความสุขภาพเรื่อง “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม โรคฮิตของคนติดจอ” ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้กล่าวถึงความหมายของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome : CVS) ว่าเป็นโรคที่เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือการจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ แบบไม่หยุดพัก โดยจะมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาในการใช้งานหรือระยะเวลาในการจ้องจอคอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของดวงตา เช่น อาการตาแห้ง ปวดตา เคืองตา หรืออาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ร่วมด้วย และนอกจากนี้ในจอคอมพิวเตอร์ยังมีแสงสีฟ้า (Blue Light) ที่เป็นอันตรายต่อสายตาอีกด้วย เนื่องจากแสงสีฟ้านั้นเป็นคลื่นแสงที่มีพลังงานสูง จึงอาจจะส่งผลทำให้เกิดอนุมูลอิสระในเซลล์จอประสาทตา และทำให้เซลล์นั้นค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง จนทำให้เกิดเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ในที่สุด
เกี่ยวกับโรค CVS
โรค cvs อาการเป็นอย่างไร?
- มีอาการทางตา เช่น ตาแห้ง ปวดตา เคืองตา แสบตา ตาโฟกัสได้ช้าลง ตาสู้แสงไม่ได้ ตาล้า ตาพร่ามัว หรือปวดกระบอกตา ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อค่าสายตาที่สั้นขึ้นอีกด้วย กล่าวคือ ยิ่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็จะทำให้ค่าสายตานั้นยิ่งสั้นลงมากขึ้นนั่นเอง
- มีอาการปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย เช่น ปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดศีรษะ เป็นต้น
- ภาวะแทรกซ้อนของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมนั้นส่วนมากจะไม่ส่งผลร้ายแรงในระยะยาว แต่อาจจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือลดประสิทธิภาพในการทำงานได้ เช่น รู้สึกเหนื่อยล้า หรือมีสมาธิน้อยลง เป็นต้น
กลุ่มเสี่ยงโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมมีใครบ้าง?
- พนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำทุกวัน
- คนที่ทำงานด้านกราฟิก
- นักเขียนออนไลน์
- นักเรียนและนักศึกษาที่ต้องเรียนออนไลน์
- คนที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค cvs มีอะไรบ้าง?
- เมื่อเราจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะทำให้มีการใช้งานกล้ามเนื้อตาที่หนักขึ้น เพราะเป็นการใช้สายตาในระยะใกล้ถึงปานกลาง จึงส่งผลทำให้เกิดการกะพริบตาที่ลดลงด้วย ดังนั้นจึงก่อให้เกิดอาการตาแห้งร่วมกับอาการปวดกระบอกตาได้ง่าย ซึ่งถ้าหากไม่ดูแลรักษาให้ดีหรือมีใส่คอนแทกเลนส์นาน ๆ ควบคู่ไปด้วย ปัจจัยเหล่านี้ก็มักจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตาขึ้นมาอีก เพราะถ้าหากว่ามีอาการตาแห้งมาก ๆ และปล่อยทิ้งไว้นานวันขึ้น ก็อาจจะทำให้กระจกตานั้นเกิดการถลอกและเกิดเป็นแผลขึ้นมา จนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและตาบอดในที่สุด
- สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เช่น แสงสว่างที่ไม่มากพอ ระยะห่างจากหน้าจอที่ไม่เหมาะสม ความคมชัดของหน้าจอที่ไม่เสถียร ความชื้นในห้อง การนั่งที่ไม่เหมาะสม หรือแสงสะท้อนจากหน้าจอที่มากจนเกินไป ที่จะต้องทำให้เกิดการใช้กล้ามเนื้อตาที่เพิ่มมากขึ้น จนก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้าดวงตา ปวดตา ตาพร่ามัว หรือตาแห้งมากขึ้นกว่าเดิม
- จากงานวิจัยพบว่าการใช้สายตาไปกับจอนาน ๆ จะทำให้คนเรากะพริบน้อยลงกว่าปกติมากถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จากปกติประมาณ 15 ครั้งต่อนาที จึงส่งผลทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นจากการกระพริบตา และระคายเคืองได้ง่ายมากกว่าปกติอีกด้วย
- นอกจากในเรื่องของระยะเวลาในการใช้งานที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมแล้ว ในเรื่องของอายุก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน เนื่องจากเลนส์แก้วตาของมนุษย์เรานั้นจะค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่นไปตามอายุ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็มักจะทำให้ความสามารถในการโฟกัสภาพของดวงตานั้นถดถอยลงตามไปด้วย และตามมาด้วยการมีสายตาที่ยาวมากขึ้น และถ้าหากว่ามีปัญหาสายตาเอียงหรือสายตาสั้นมาก่อนหน้านี้แล้วไม่ยอมใส่แว่น ก็อาจจะก่อให้เกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมตามมาได้มากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน
- แสงสีฟ้า (Blue Light) และรังสียูวีจากแสงแดด
การป้องกันโรค cvs มีอะไรบ้าง?
- มีการพักสายตาในระหว่างที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เช่น ทำงาน 20 นาที พักสายตา 20 วินาที หรือทำงาน 2 ชั่วโมง ให้หยุดพักประมาณ 15 นาที เป็นต้น
- ควรหยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำ เพื่อช่วยลดอาการตาแห้งจากการกะพริบตาที่ลดลง
- หากมีการใส่แว่นสายตา ก็ควรที่จะต้องมีการวัดค่าสายตาที่ถูกต้อง เพื่อให้เหมาะสมกับค่าสายตาให้ได้มากที่สุด
- ควรปรับแสงสว่างในห้องทำงานให้เหมาะสม โดยไม่ควรให้มีแสงที่สว่างมากจนเกินไป เนื่องจากแสงสว่างที่มากจนเกินไปนั้นจะทำให้เรามีการใช้สายตาที่เพิ่มมากขึ้น หรืออาจจะมีโคมไฟตั้งไว้ที่โต๊ะทำงาน โดยปรับให้มีความสว่างอยู่ในระดับเดียวกันกับจอคอมพิวเตอร์
- ควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 5-6 นิ้ว เพื่อลดอาการเมื่อยล้าและปวดคอจากการก้มเงยที่มากจนเกินไป
- ควรตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากระดับสายตาประมาณ 20-28 นิ้ว
- ควรปรับระดับเก้าอี้ให้นั่งสบาย เท้าสามารถวางพื้นได้พอดี และเข่าตั้งฉากทำมุม 90 องศากับพื้น
- เก้าอี้ควรมีพนักพิงที่เหมาะสม นั่งหลังตรง และนั่งสบาย
- แป้นพิมพ์และเมาส์ควรวางอยู่ในระดับที่เท่ากับหรือต่ำกว่าข้อศอก เพื่อช่วยลดอาการเมื่อยล้าที่แขนได้
- ปรับความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับพอดี และไม่จ้าจนเกินไป
- ปรับสีของตัวอักษรและภาพพื้นหลังของจอคอมพิวเตอร์ให้สบายตา และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
- ควรใช้แผ่นกรองแสงติดที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยลดแสงสว่างและแสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เราจะได้มองจอได้แบบสบายตา และไม่เกิดอาการตาล้า
- หากเริ่มมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาให้เร็วที่สุด โดยแพทย์จะประเมินจากปัจจัยเสี่ยงของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- พยายามกะพริบตาบ่อย ๆ เพื่อให้ดวงตานั้นชุ่มชื้นตลอดเวลา
- หากใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ แนะนำให้เว้นช่วงถอดพักแล้วใส่แว่นตาแทนบ้าง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจ้องจอให้เหมาะสม และควรตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นเรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใดหรือจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม การวางแผนป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งการทำประกันสุขภาพ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการเริ่มต้นวางแผนในตอนที่เรายังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่ เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่ในตอนที่เกิดเจ็บป่วยกะทันหัน ดังนั้นการวางแผนเตรียมตัวไว้ก่อนจึงสามารถมั่นใจได้มากกว่านั่นเอง อีกทั้งยังช่วยรองรับความเสี่ยงด้วยวงเงินคุ้มครองในยามที่คุณเจ็บป่วยได้อีกด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาที่มีประสิทธิภาพนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการมีสวัสดิการด้านสุขภาพทั่วไปจึงยังไม่สามารถครอบคลุมในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลได้อย่างเต็มที่เหมือนกับการทำประกันสุขภาพนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพสามารถลดภาระค่ารักษาพยาบาลได้ ประกันสุขภาพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และประกันสุขภาพสามารถเคลมในกรณีที่เจ็บป่วยเล็กน้อยได้ เป็นต้น
ซึ่งทาง แรบบิท แคร์ ก็มีบริการเปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพที่ใช่สำหรับคุณ โดยที่ไม่ต้องติดต่อตัวแทนขายประกัน ดังนั้นข้อมูลส่วนตัวของทุกท่านจะปลอดภัยและมั่นใจได้โดยที่ไม่ต้องเป็นกังวลเลย โดยแรบบิท แคร์ นั้นมีทุกแผนประกันสุขภาพที่คุ้มครองครบ และตอบโจทย์ทุกความต้องการรวมอยู่ในที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD), ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) และประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illness Insurance) อีกทั้งลูกค้ายังสามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Chiiwii ผ่านการวิดีโอคอลออนไลน์ได้อีกด้วย เพื่อเป็นการมอบความสะดวกสบายและความสบายใจให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ พร้อมบริการรับใบสั่งยาออนไลน์แล้วให้คุณไปรับยาได้เองที่ร้านเภสัชใกล้บ้าน หรือจะเลือกเป็นบริการจัดส่ง (มีค่าจัดส่ง) ให้ถึงที่บ้านก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถใช้บริการนี้ได้ที่ Rich menu ใน Line official account ของแรบบิท แคร์
ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ