ไม่ใช่เจ้าของรถ เบิก พรบได้ไหม ? ผิดกฎหมายหรือเปล่า?
หลายคนอาจจะเกิดข้อสงสัย หากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้น หากมี พรบ รถยนต์ แม้จะไม่ใช่เจ้าของรถสามารถเบิกเงินค่าเคลมจาก พรบ รถยนต์ ได้ และให้ความคุ้มครองต่าง ๆ ตามปกติ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือเป็นบุคคลภายนอก ก็สามารถ ก็สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าชดเชยต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด โดยสามารถเบิกเคลม พรบ รถยนต์ ได้ไม่เกินคนละ 30,000 บาท
ในกรณีที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูก จะสามารถเบิกเคลมค่าสินไหมได้เพิ่มอีก
- ค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บ หรือค่าเสียหายอื่น ๆ สูงสุด 80,000 บาท
- การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร สูงสุด 500,000 บาท
- ชดเชยรายวันวันละ 200 บาทไม่เกิน 20 วัน (ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน หรือ IPD)
ในกรณีที่ผู้ขับเป็นฝ่ายผิด จะได้ค่าชดเชยเบื้องต้น ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการบาดเจ็บ (จ่ายตามจริง) สูงสุด 30,000 บาท
- การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร สูงสุด 35,000 บาท
จะเห็นได้ว่า แม้จะไม่ใช่เจ้าของรถ หรือแม้จะเป็นฝ่ายผิด หากเราหมั่นต่ออายุ พรบ รถยนต์ ไว้สม่ำเสมอ จะช่วยคุ้มครองการเกิดอุบัติเหตุเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี และหากใครต้องการเทียบประกันรถยนต์เพิ่มเติมไว้ จะช่วยเสริมความคุ้มครองอื่น ๆ เพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น ลองดูข้อมูลประกันรถยนต์กับ แรบบิท แคร์ ที่ช่วยให้คุณอุ่นใจในทุก ๆ การเดินทางเพิ่มเติม พร้อมเบี้ยประกันรถยนต์ที่จับต้องได้ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ หรือช่วยต่อ พรบ รถยนต์ ได้อีกด้วย
ถ้าไม่ใช่เจ้าของรถทำประกันได้ไหม?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า สามารถทำ พรบ รถยนต์ หรือทำประกันรถ แม้เป็นเป็นเจ้าของรถได้หรือไม่ คำถามนี้ตอบได้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถทำประกันและเคลมประกันได้ แต่ผู้ทำประกันรถจะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของรถเสียก่อน และในการกรอกข้อมูลตอนทำประกันต้องกรอก ชื่อผู้เอาประกัน เป็นคนละชื่อ กับ ชื่อเจ้าของรถ ก็สามารถทำได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขว่า เจ้าของรถยินยอมให้ใช้รถและต้องมีใบขับขี่ และอาจส่งผลต่อเบี้ยประกันรถ
สำหรับเอกสารในการทำประกันรถยนต์แทนเจ้าของรถ เบื้องต้นที่ต้องใช้ มี 3 อย่าง คือ สำเนาใบขับขี่, สำเนาบัตรประชาชน (เจ้าของรถ) และสำเนาทะเบียนรถ
หากไม่ใช่เจ้าของรถ แจ้งเคลมประกันได้ไหม?
ในเชิงกฎหมายแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าของรถ และตัวรถยนต์เองก็ยังคงมีประกัน มี พรบ รถยนต์ ก็สามารถเคลมค่าเสียหายต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยการเคลมในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของรถ จะแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่เป็นฝ่ายถูก
สามารถเรียกร้องจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายชนได้ตามปกติ ไม่ว่าเราจะทำประกันแบบระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่ หรือไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม
กรณีที่เป็นฝ่ายผิด
กรณีนี้ก็สามารถเคลมประกันได้ แต่หากมีการทำผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ เช่น ประกันรถยนต์มีการระบุชื่อผู้ขับ และผู้ขับที่เกิดอุบัติเหตุชื่อไม่ตรงกับที่ระบุได้ จำเป็นต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันเพื่อนำไปร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายให้กับคู่กรณีในเบื้องต้น ไม่เกิน 8,000 บาท โดยแบ่งค่าใช้จ่าย ดังนี้
- ค่าเสียหายทางทรัพย์สิน ของคู่กรณี 2,000 บาท
- ค่าเสียหายทางผู้เอาประกันเอง 6,000 บาท (หากไม่ต้องการให้บริษัทประกันร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายเบื้องต้น อาจไม่จำเป็นต้องจ่าย 6,000 บาท ในกรณีเสียหายเล็กน้อย)
ทั้งนี้ผู้ขับที่เกิดอุบัติเหตุจะต้องมีใบขับขี่ (ไม่ว่าจะหมดอายุแล้ว หรือมีแต่ไม่ได้พกมาด้วยก็นับว่ามี) ไม่เช่นนั้น ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองและรับผิดชอบในทุกกรณี เพราะมองว่าทำผิดกฎหมาย แม้ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือไม่ก็ตาม
ในกรณีที่เป็นฝ่ายถูก แต่ไม่มีใบขับขี่ก็เบิกเคลมไม่ได้ โดยทางบริษัทฯจะแนะนำให้ไปเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีแทน
ในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของรถ เข้าไฟแนนซ์ได้ไหม?
หลายคนอาจจะมีปัญหาด้านการเงิน การนำรถเข้าไฟแนนซ์เพื่อขอสินเชื่อรถแลกเงินจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้คุณหาเงินก้อนเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเงินได้ แต่เราไม่ใช่เจ้าของรถ เข้าไฟแนนซ์ได้ไหม?
เบื้องต้นทำความเข้าใจก่อนว่า การขอสินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ, นำรถเข้าไฟแนนซ์นั้น หรือขอสินเชื่อรถแลกเงินนั้น ผู้ขอกู้ต้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้น แม้ว่าตัวเราเองจะมีเล่มทะเบียนรถอยู่ในมือ ไปต่อ พรบ รถยนต์ ด้วยตัวเอง หรือรถยนต์คันนี้เป็นของคนในครอบครัวที่ซื้อให้แต่ไม่ได้ลงชื่อเราไว้ก็ตาม เพราะทางสถาบันการเงินจะมองว่าผิดทางกฏหมาย อีกทั้งมีความเสี่ยงที่อาจเป็นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาได้
นอกเสียจากเจ้าของรถจะทำหนังสือมอบอำนาจให้ พร้อมด้วยลายมือชื่อที่เซ็นยินยอมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แบบนี้จะสามารถนำรถเข้าไฟแนนซ์ได้
สำหรับเอกสารในการนำรถเข้าไฟแนนซ์ ในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของและผู้ค้ำประกันรถยนต์ หรือผู้กู้ร่วม จะมีเอกสาร ดังนี้
- สำเนาบัตรประชาชน
- หนังสือยินยอมมอบอำนาจจากเจ้าของรถ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือนย้อนหลังอย่างน้อย 3 เดือน
- หนังสือรับรองการทำงาน
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
- ใบทะเบียนสมรส (ในกรณีที่แต่งงานแล้ว)
แต่ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เรื่องไม่ใช่เจ้าของรถเท่านั้น ที่ทำให้เราไม่สามารถขอนำรถเข้าไฟแนนซ์ หรือขอสินเชื่อรถแลกเงินได้ แต่หากคุณเครดิตไม่ดี ยังมีหนี้สินที่ยังค้างชำระอยู่ หรือกำลังติดแบล็คลิสต์ ทางสถาบันการเงินก็อาจมองว่าเสี่ยง เนื่องจากผู้ขอกู้มีเครดิตที่ไม่ดีได้เช่นกัน
การนำรถเข้าไฟแนนซ์เพื่อขอสินเชื่อรถจึงไม่ใช่เรื่องยากหากมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่สถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์ต่าง ๆ กำหนดไว้
ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ และต้องการเงินก้อนเร่งด่วน ยังมีทางเลือกอื่นที่ แรบบิท แคร์ ขอแนะนำ คือ สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ไม่ต้องใช้ทรัพย์สิน หรือรถเข้าไฟแนนซ์ และบัตรกดเงินสด ที่ให้คุณกดเบิกถอนได้ทันที แม้วงเงินอาจจะไม่สูงเท่าการนำรถเข้าไฟแนนซ์ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางหากต้องการใช้เงินเร่งด่วน
หากแจ้งเปลี่ยนสีรถ ไม่ใช่เจ้าของรถทำได้ไหม?
ตามกฎหมายได้ระบุเอาไว้ว่า การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสีของรถไม่ว่าจะดำเนินการด้วยวิธีใด ๆ เช่น การติดสติกเกอร์ ฟิล์ม หรือคาร์บอนเคฟล่า เป็นต้น ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถพิจารณากำหนดสีรถให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 5 เว้นแต่กรณีการติดสติกเกอร์ ฟิล์ม หรือวัสดุอื่นใด เพื่อการโฆษณาหรือตกแต่งรถ เป็นรูปภาพ ข้อความ ตัวอักษร และลวดลายต่าง ๆ เพิ่มเติมบนสีรถในภายหลัง ไม่ต้องกำหนดเป็นสีรถ
และสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสีรถยนต์ให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สามารถทำได้เพียงแค่ไปจดแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์ที่ กรมขนส่งทางบก โดยตามกฎหมายมีข้อกำหนดว่าหากการเปลี่ยนสีรถยนต์มีมากกว่า 30% ของพื้นที่สีรถทั้งหมด เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์ต่อกรมขนส่งทางบก นอกจากนี้ อย่าลืมเรื่องการต่ออายุ พรบ รถยนต์ ด้วย
แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนสีเฉพาะส่วน โดยมีพื้นที่ไม่ถึง 30% ของพื้นผิวรถยนต์ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้ง เช่นการเปลี่ยนสีเฉพาะส่วนหลังคา, ฝากระโปรงหน้า แบบนี้ไม่ถึง 30% ไม่ต้องจดแจ้ง
ส่วนวิธีในการจดแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์นั้น สามารถแจ้งได้ ด้วยการนำรถเข้าไปรับการตรวจ พร้อมเอกสาร ดังนี้
- สำเนาเล่มทะเบียนรถ
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถ
- ใบเสร็จหรือบิลเงินสดค่าทำสีรถ
ในกรณีที่สงสัยว่าแจ้งเปลี่ยนสีรถ ไม่ใช่เจ้าของรถทำได้ไหม บอกเลยว่าสามารถทำได้ โดยเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีผู้ดำเนินการไม่ใช่เจ้าของรถ)
- หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของรถ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท (กรณีผู้ดำเนินการไม่ใช่เจ้าของรถ)
ถ้าไม่ใช่เจ้าของรถ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่ อย่างไรบ้าง
ในกรณีที่คุณไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ แต่ต้องการทราบว่า ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่ โดยทั่วไปมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยและเงื่อนไขที่บริษัทประกันระบุไว้ ดังนี้:
1. ประกันที่ทำเป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่หรือไม่
หากประกันรถยนต์ที่คุณทำเป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ (Named Driver Policy) ความคุ้มครองจะมีให้เฉพาะบุคคลที่มีชื่อระบุไว้ในกรมธรรม์เท่านั้น ดังนั้น หากผู้ขับขี่เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของรถหรือไม่มีชื่ออยู่ในกรมธรรม์ ประกันจะไม่ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลนั้น แต่ถ้าหากประกันที่มีเป็นแบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ และคนที่ขับขี่รถไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถหรือไม่ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตราบใดที่มีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้องและปฏิบัติตามเงื่อนไข ก็จะได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ที่มีอยู่
2. ผู้ขับขี่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของรถหรือไม่
กรณีขับขี่แทนเจ้าของรถ (Permission to Drive) หากคุณขับรถแทนเจ้าของรถโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของและมีใบขับขี่ที่ถูกต้อง ประกันภัยส่วนใหญ่จะยังคงให้ความคุ้มครอง แต่อาจมีข้อกำหนดพิเศษที่คุณต้องตรวจสอบกับบริษัทประกัน
3. ประกันรถยนต์ที่มีให้ความคุ้มครองอย่างไรบ้าง
เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้น ประกันแต่ละชั้นย่อมให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- ความเสียหายต่อรถผู้เอาประกันเมื่อมีคู่กรณี : จะให้ความคุ้มครองเฉพาะในประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และชั้น 3+ แต่ในกรณีที่มีประชั้น 2 หรือประกันชั้น 3 ความคุ้มครองจะไม่ครอบคลุมความเสียหายในส่วนนี้
- ความเสียหายต่อรถผู้เอาประกันเมื่อไม่มีคู่กรณี : จะให้ความคุ้มครองเฉพาะในประกันชั้น 1 เท่านั้น
- ความเสียหายต่อรถหรือทรัพย์สินของคู่กรณี : จะให้ความคุ้มครองในประกันรถยนต์ทุกชั้น
- กรณีได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต : จะให้ความคุ้มครองในประกันรถยนต์ทุกชั้นทั้งสำหรับผู้ขับขี่และคู่กรณี นอกจากนั้น ยังได้รับความคุ้มครองจากประกันภัยภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. รถยนต์อีกด้วย
4. ข้อควรระวังถ้าไม่ใช่เจ้าของรถ
โดยรวมแล้ว การที่ประกันจะคุ้มครองหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของประกันและเงื่อนไขของกรมธรรม์ ดังนั้น ตรวจสอบเงื่อนไขกรมธรรม์และข้อกำหนดของบริษัทประกัน และถ้าหากขับขี่รถที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ ควรมีการขออนุญาตและตรวจสอบว่าประกันครอบคลุมหรือไม่อีกด้วย
บทความแนะนำ