Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
user profile image
เขียนโดยNok Srihongวันที่เผยแพร่: Apr 10, 2024

ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร ทำแบบไหนคุ้มกว่า?

ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร? มือใหม่หัดขับ หรือใครที่เพิ่งซื้อรถคันแรก และกำลังมองหาประกันรถยนต์ อาจกำลังมีข้อสงสัยว่า ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร? ซื้อรถแล้ว ต้องทำทั้ง พรบ กับประกัน เลยหรือเปล่า? วันนี้ แรบบิท แคร์ มีคำตอบ

พ.ร.บ. ย่อมาจากอะไร ทำไมต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ทุกปี

พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือที่เรียกว่า ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่ารถยนต์ทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องมี เพราะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร บุคคลภายนอก ไม่ว่าบุคคลที่ประสบเหตุ จะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก แต่เมื่อเป็นผู้ประสบเหตุและมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็จะได้รับความคุ้มครองทันที นับเป็นหลักประกันที่แสดงว่าประชาชนทุกคนที่ประสบอุบัติเหตุทางถนน จะได้รับความคุ้มครองและรักษาอย่างทันท่วงทีตามที่กฎหมายกำหนด

พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นประกันรถยนต์ภาคบังคับที่ต้องต่อทุกปีตามที่กฎหมายกำหนด หากนำรถยนต์ที่ไม่มีพ.ร.บ. หรือ พ.ร.บ. ขาด ไปวิ่งบนท้องถนน จะโดนค่าปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ดังนั้น ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนจึงจำเป็นต้องต่อ พ.ร.บ. ทุกปีไม่ให้ขาด เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

สรุปได้ว่า ประกันรถยนต์ภาคบังคับ คือ พ.ร.บ. รถยนต์ สองคำนี้มีความหมายเหมือนกัน เพียงแต่คำที่ใช้เรียกอาจแตกต่างกัน และหากถามว่าทำไมภาครัฐต้องบังคับให้ผู้ใช้รถยนต์ทำ พ.ร.บ. รถยนต์ นั่นก็เพราะว่าภาครัฐต้องคุ้มครองผู้ประสบเหตุทุกคน ให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง และเป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลจากผู้ประสบเหตุทุกคนนั่นเอง

พรบรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง พรบ กับประกัน อันเดียวกันไหม

พรบรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง? ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่าผู้ขับขี่จะมี พ.ร.บ. รถยนต์คุ้มครองอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องทำประกันรถยนต์อยู่ เพราะ พ.ร.บ. เป็นประกันที่คุ้มครองเฉพาะการบาดเจ็บ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและร่างกายเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองครอบคลุมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์เหมือนกับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ หรือที่เราเรียกกันว่า ประกันรถยนต์

เมื่อกลับมาในคำถามที่ว่า ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร? ตอบได้เลยว่าต่างกันที่เงื่อนไขความคุ้มครอง มาดูกันว่า พ.ร.บ. รถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง

  • คุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้น
    คุ้มครองทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลอื่นในเหตุการณ์ที่เป็นผู้ประสบเหตุ โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ประสบเหตุ หรือทายาทโดยชอบธรรมภายใน 7 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอให้ชดเชย ในกรณีบาดเจ็บ จะได้รับเงินชดเชยเป็นค่ารักษาพยาบาลตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาท/คน หากสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวร จะได้รับเงินชดเชยเป็นค่าเสียหาย ไม่เกิน 35,000 บาท/คน แต่หากประสบเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ทายาทโดยธรรมจะได้รับเงินชดเชยเป็นค่าปลงศพและดำเนินการที่จำเป็นในการจัดงานศพ 35,000 บาท/คน
  • คุ้มครองค่าสินไหมทดแทน
    หากพิสูจน์แล้วว่าผู้ประสบเหตุเป็นฝ่ายถูกจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกัน หากได้รับบาดเจ็บ จะได้รับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 80,000 บาท/คน โดยจะต้องมีหลักฐานการชำระเงินค่ารักษาที่ชัดเจน เช่น บิลค่ารักษาพยาบาล หากเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 200 บาท รวมกันไม่เกิน 20 วัน หรือหากสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ จะได้รับเงินชดเชยเฉลี่ยประมาณ 200,000 - 500,000 บาท/คน แต่หากร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ทายาทโดยธรรมจะได้รับการชดเชยเป็นเงินค่าสินไหมทดแทน ไม่เกิน 500,000 บาท/คน

ประกันภัยรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ คืออะไร

ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร? ประกันภัยรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง?

ประกันรถยนต์ ต่างจาก พ.ร.บ. รถยนต์ ตรงที่ ประกันรถยนต์ นับเป็นประกันภาคสมัครใจที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่ารถยนต์ทุกคันต้องมี ซึ่งต่างจากพ.ร.บ. รถยนต์ ที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนจะต้องมีตามที่กฎหมายบังคับ โดยประกันรถยนต์จะมีให้เลือกหลายแบบ เลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของเจ้าของรถ ว่าต้องการรับความคุ้มครองครอบคลุมมากน้อยเพียงใด มาดูกันว่าประกันรถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง

ประกันชั้น 1 2 3 ต่างกันอย่างไร ทำแบบไหนดีที่สุด

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ มีกี่ประเภท คุ้มครองอะไรบ้าง?

ในอดีต ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จะมีเพียง 3 ประเภท คือ ประกันชั้น 1 2 3 แต่ปัจจุบันมีประกันอีก 2 ประเภทเพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ ประกันชั้น 2+ และ 3+ ซึ่ง 2 ประเภทนี้ที่เพิ่มมา หมายถึงค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น โดยได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นตามไปด้วย มาดูกันว่า ประกันรถยนต์แต่ละประเภท คุ้มครองอะไรบ้าง? ประกันชั้น 1 2 3 ต่างกันอย่างไร?

ประกันรถยนต์ชั้น 1

เป็นประกันที่ดีที่สุด มีความคุ้มครองครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้

  • ความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
  • ความเสียต่อทรัพย์สินของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
  • ความเสียหายต่อชีวิต และร่างกายของบุคคลอื่นภายนอกรถ
  • ความเสียหายในการซ่อมแซมรถคันที่ทำประกัน
  • ความเสียหายในกรณีรถหาย หรือเกิดเพลิงไหม้รถ ตามทุนประกันที่เลือกซื้อ
  • คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

เป็นประกันที่มีความคุ้มครองมากกว่าประกันชั้น 2 แต่จะไม่ครอบคลุมเท่าประกันชั้น 1 โดยมีความคุ้มครองดังนี้

  • ความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
  • ความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
  • ความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่นภายนอกรถ
  • ความเสียหายในการซ่อมรถที่ทำประกัน เฉพาะในกรณีที่เป็นรถยนต์เหมือนกันและต้องมีคู่กรณีด้วย
  • ความเสียหายในกรณีรถหายหรือเกิดเพลิงไหม้รถ
  • คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่


ประกันรถยนต์ชั้น 2

ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลงมาก เพราะคนส่วนใหญ่จะนิยมซื้อประกันชั้น 2+ ที่มีความคุ้มครองมากกว่า ซึ่งความคุ้มครองของประกันชั้น 2 ก็จะใกล้เคียงกับประกันชั้น 3+

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

มีความคุ้มครองครอบคลุมมากกว่าประกันชั้น 3 แต่ค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าประกันชั้น 2 แม้จะได้รับความคุ้มครองน้อยกว่า แต่ก็เป็นที่นิยมมากกว่าประกันชั้น 2 โดยมีความคุ้มครองดังนี้

  • รับผิดชอบความเสียหายต่อรถคู่กรณีตามจริงแทนเจ้าของรถ
  • รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลกรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บตามจริง
  • ค่าชดเชยรายได้สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ
  • ค่าใช้จ่ายกรณีสู้คดี ค่าทนายความ

ประกันรถยนต์ชั้น 3

จะให้ความคุ้มครองคู่กรณีเป็นหลัก โดยจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีตามจริงแทนเจ้าของรถ ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามจริง ชดเชยรายได้ของคู่กรณี รวมถึงค่าต่อสู้คดีในการฟ้องร้อง

ก่อนซื้อประกันรถยนต์ ต้องรู้อะไรบ้าง

หลังจากที่ได้ทราบกันไปแล้วว่า ประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร ต่อไปเราจะพามาดูกันว่า ก่อนซื้อประกันรถยนต์ ต้องรู้อะไรบ้าง

ก่อนซื้อประกันรถยนต์ ควรจะหาข้อมูลความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน ตรวจสอบประเภทกรมธรรม์ และเลือกกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองเหมาะสมกับความต้องการของเรา และยังจะต้องตรวจสอบค่าเบี้ยประกัน ทั้งของบริษัทเดียวกัน และบริษัทคู่แข่ง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมในราคาเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด ตลอดจนตรวจสอบทุนประกันรถยนต์ด้วยว่ามีวงเงินครอบคลุมเท่าไหร่ เพียงพอต่อการเคลม ทั้งค่าเสียหาย ค่าชดเชยรายได้ ค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมรถหรือไม่

พ.ร.บ. รถยนต์ กับ ภาษีรถยนต์ ต่างกันไหม

หลังจากทราบข้อมูลในประเด็นที่ว่าประกันรถยนต์ กับ พรบ ต่างกันอย่างไร ไปเรียบร้อยแล้ว มาดูกันต่อว่า พ.ร.บ. รถยนต์ กับภาษีรถยนต์ ต่างกันอย่างไร


จุดประสงค์ในการต่อภาษีรถยนต์ ก็เพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปดูแลระบบคมนาคมและส่วนอื่น ๆ ส่วนพ.ร.บ. รถยนต์ มีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากอุบัติเหตุไม่คาดคิด โดยผู้ทำประกันจะได้รับเงินชดเชยในรูปแบบของค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือค่าชดเชยรูปแบบอื่น ๆ

ไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. และ ภาษีรถยนต์ จะมีผลอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นพ.ร.บ. รถยนต์ หรือภาษีรถยนต์ ก็ล้วนจำเป็นจะต้องต่อทุกปีไม่ให้ขาด หากขาดต่อจะนับว่าผิดกฎหมาย โดยจะถูกปรับและระงับทะเบียน ซึ่งเมื่อต่อ พ.ร.บ. รถยนต์เรียบร้อย ก็จะได้เอกสารไปใช้สำหรับต่อภาษีรถยนต์ต่อไป

การต่อพ.ร.บ. รถยนต์ และ ภาษีรถยนต์นั้น มีค่าใช้จ่ายต่อปีที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องต่อทุกปีเป็นการบังคับ แต่แม้ว่าประกันรถยนต์จะเป็นประกันภาคสมัครใจที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่ก็นับเป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถทุกคนควรมี เพื่อคุ้มครองความเสียหายทั้งในเรื่องของค่าซ่อมแซมรถยนต์ และเงินชดเชย ทั้งยังคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน ยิ่งเป็นประกันจากบริษัทที่ได้คุณภาพอย่าง แรบบิท แคร์ ที่พร้อมนำเสนอแผนประกันสุดครอบคลุมจากบริษัทประกันชั้นนำทั่วประเทศในราคาสุดคุ้มค่า จึงสามารถเลือกแผนประกันได้ตามความต้องการในราคาที่คุ้มที่สุด

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา