รถกี่ปีเลิกเข้าศูนย์ และไม่ไปเช็กระยะได้หรือไม่?
เช็กระยะรถยนต์ คืออะไร?
“การเช็กระยะรถยนต์” จะเป็นการตรวจสอบสภาพรถยนต์ตามระยะไมล์ของรถยนต์ เพื่อบำรุงรักษาอะไหล่และช่วยชะลอความเสื่อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถยนต์ หลังจากที่ได้มีการใช้งานตามรอบระยะเวลาที่ได้มีการคำนวณมาไว้แล้วโดยทางฝั่งของผู้ผลิต ซึ่งจะกำหนดไว้อย่างชัดเจนในเล่มคู่มือรถยนต์ และในกรณีของศูนย์บริการว่าจะต้องตรวจสอบในจุดใดบ้างสำหรับการเข้าศูนย์บริการในแต่ละครั้ง
รถเก่าเข้าศูนย์ได้ไหม?
รถเก่าสามารถนำเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็กสภาพได้ตามปกติ เพียงแต่จะมีเสียค่าบริการเพิ่มเติม โดยจะขึ้นอยู่กับการรับประกันรถยนต์ที่ได้ทำเอาไว้
รถไม่เข้าศูนย์ได้ไหม?
ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ป้ายแดง ก็แนะนำว่าควรเข้าศูนย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเช็กสภาพและตรวจสอบความเสื่อมของรถตามระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสม หากมีอะไหล่ชิ้นส่วนใดที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ ก็จะได้ซ่อมแซมและบำรุงรักษาได้เลยทันที ไม่ต้องรอให้รถเสียหรือว่าออกอาการที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความขัดข้องก่อน เนื่องจากว่าสาเหตุเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเอง ดังนั้นจึงควรนำรถเข้าศูนย์ตามระยะเวลาเหมาะสม เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ไปได้อีกหลายปี
รถยนต์ไม่ได้เช็คระยะตามกำหนดได้หรือไม่?
แนะนำว่าให้เอารถไปเช็คระยะที่ศูนย์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคู่มือทุกครั้ง เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของรถยนต์ และช่วยบำรุงรักษาในส่วนที่จำเป็นอย่างถูกต้อง นอกจากนี้การนำรถเข้าศูนย์ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าอีกด้วย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการนำรถเข้าไปเช็กระยะที่ศูนย์ตามกำหนด จึงถือว่าเป็นอีกสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
รถหมดประกันศูนย์กี่ปี?
โดยปกติแล้ว รถยนต์ส่วนใหญ่มักจะมีการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรือบางค่ายอาจจะให้มากถึง 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร เลยก็มี ดังนั้นจึงสามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากคู่มือเล่มรถยนต์
รถหมดประกันศูนย์ เช็คระยะที่ไหนดี?
สามารถนำรถไปเช็กระยะได้ที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน หรือจะเป็นอู่ซ่อมรถใกล้บ้านก็ได้ เพียงแต่จะแนะนำว่าถ้าหากนำรถเข้าไปใช้บริการที่ศูนย์ ก็ย่อมไว้วางใจในเรื่องของคุณภาพได้มากกว่าอู่ซ่อมรถนั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อู่ซ่อมรถบางที่ก็มีคุณภาพและเป็นที่ไว้วางใจได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากคุณเคยเข้าไปใช้บริการมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ที่ใช้บริการได้เลย
ต้องเช็คระยะรถทุกกี่กิโล จึงจะเหมาะสม?
จากข้อมูลในเว็บไซต์ของ Cockpit ได้กล่าวถึงข้อมูลการเช็กระยะของรถยนต์ไว้ว่า ควรเช็กระยะรถตามข้อมูลที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์ทุกครั้ง อาจจะเป็นปีละ 1 ครั้ง หรือทุก ๆ 20,000 กิโลเมตรนั่นเอง ซึ่งจะรวมการตรวจสอบมากกว่า 50 รายการ ยกตัวอย่างเช่น ไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ผ้าเบรก ไส้กรองอากาศในห้องโดยสาร ตรวจสอบน้ำมันเบรก น้ำหล่อเย็น ตรวจสอบหัวเทียน สายพานและท่อรถยนต์ เช็กของเหลวส่วนต่าง ๆ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก ตรวจสอบน้ำมันเกียร์ (ถ้ามี) เปลี่ยนสายพานราวลิ้น ทดสอบแบตเตอรี่ ตรวจสอบยางรถยนต์ เป็นต้น
รถหมดประกันแล้ว ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหนดี?
เลขไมล์ (กิโลเมตร) | ประเภทน้ำมันเครื่อง | ระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง |
100,000 - 150,000 | น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% | 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน |
150,000 - 200,000 | น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ | 7,000 กิโลเมตร หรือ 4 เดือน |
200,000 ขึ้นไป | น้ำมันเครื่องมาตรฐาน | 5,000 กิโลเมตร หรือ 3 เดือน |
เช็กสภาพรถยนต์ ต้องเช็กเรื่องอะไรบ้าง?
การเช็กสภาพรถยนต์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเช็กสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ และการเปลี่ยนตามระยะทางหรือระยะไมล์
1. การเช็กสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ
สามารถเช็กได้โดยไม่จำกัดระยะเวลาหรือระยะทางของรถยนต์ เช่น การเช็กสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง การล้างทำความสะอาดตัวรถ ทำความสะอาดกระจกรถ ทำความสะอาดล้อรถหรือยางรถยนต์ เพื่อป้องกันคราบสกปรกที่ติดแน่นจนไปกินสีรถและทำให้เกิดเป็นสนิมในที่สุด รวมไปถึงการเช็กรายการอื่น ๆ สัปดาห์ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำมันหล่อลื่น วันหมดอายุของแบตเตอรี่ ระดับของน้ำหล่อเย็น เครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ เช็กความดันลมยาง เป็นต้น
2. การเช็กสภาพรถตามระยะทางหรือระยะไมล์
โดยจะดูที่ระยะทางเป็นหลัก ดังนี้
2.1 เลขไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร หรืออายุรถ 1 เดือน ควรเช็กสภาพรถตามรายการต่อไปนี้
- ฝาหม้อน้ำ
- ความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่
- สายพานแอร์
- สภาพท่อน้ำหล่อเย็น
- การสึกของยางรถยนต์
- ระดับน้ำมันเบรก
- สายพานขับปั๊ม
2.2 เลขไมล์ที่ 5,000 กิโลเมตร หรืออายุรถ 3 เดือน ควรเช็กสภาพรถตามรายการต่อไปนี้
- ใบปัดน้ำฝน
- รอยรั่วที่ข้อต่อ
- สายพานและระดับความตึง
- ความสะอาดของคอยล์ร้อน
- ความสะอาดกรองอากาศ
- น้ำมันคลัตช์
- การทำงานของหัวฉีด
- ปริมาณน้ำยาทำความเย็น
- ระดับน้ำมันในปั๊ม
2.3 เลขไมล์ที่ 5,000 - 10,000 กิโลเมตร หรือในระยะเวลา 6 เดือน ควรมีการตรวจเช็กของเหลวอย่างเช่นน้ำมันหล่อลื่น เพื่อทำการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นใหม่ เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น ก็จะต้องมีการเปลี่ยนตัวกรองน้ำมันหล่อลื่นด้วย
2.4 เลขไมล์ที่ 10,000 กิโลเมตร หรืออายุรถ 6 เดือน ควรระมัดระวังในเรื่องความเสื่อมของอะไหล่รถยนต์ โดยเฉพาะในส่วนของยางรถยนต์ อีกทั้งยังควรเช็กสภาพของส่วนอื่น ๆ ประกอบด้วย ได้แก่
- สภาพเบรก
- ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
- ระยะหน้าทองขาวและเขี้ยวหัวเทียน
- การหล่อลื่นของข้อต่อต่าง ๆ
- พื้นยางของล้อหน้ากับล้อหลัง อาจจะสับเปลี่ยนตำแหน่งของยางใหม่ เพื่อที่จะทำให้ยางแต่ละเส้นนั้นสึกเสมอกัน
- ระยะฟรีของแป้นคลัตช์
- ความลึกของดอกยาง
2.5 เลขไมล์ที่ 20,000 กิโลเมตร ในระยะนี้จะเริ่มมีอะไหล่บางอย่างที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนใหม่ อีกทั้งยังควรเช็กสภาพของอะไหล่ส่วนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น
- สายหัวเทียน
- น้ำหล่อเย็น
- ล้างหม้อน้ำ
- ระยะช่องว่างของวาล์ว
- ฝาครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์
- ตัวกรองอากาศ
- วาล์ว PVC
- ชุดทองขาวและคอนเดนเซอร์
- หัวเทียน
2.6 เลขไมล์ที่ 40,000 กิโลเมตร หรืออายุรถประมาณ 2 ปี ควรเช็กสภาพรถตามรายการดังต่อไปนี้
- ใบปัดน้ำฝน
- สายพาน
- สายพานแอร์
- น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
- สายพานขับปั๊ม
2.7 เลขไมล์ที่ 60,000 กิโลเมตร หรืออายุรถประมาณ 3 ปี ควรทำความสะอาดอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
- ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์
- เปลี่ยนสายหัวเทียน
2.8 เลขไมล์ที่ 100,000 กิโลเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จำเป็นที่จะต้องเช็กสายพานว่ามีรอยแตกหรือมีรอยฉีกขาดเสียหายหรือไม่ หากพบว่าชำรุด ควรรีบเปลี่ยนใหม่โดยทันที
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?
รถมือหนึ่งป้ายแดงแบบนี้ แนะนำว่าให้เลือกทำเป็น ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้จะดีที่สุด เพราะว่าสามารถให้ความอุ่นใจได้ตลอดการเดินทาง เนื่องจากอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแค่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไม่กี่บาทต่อปี จะได้ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา หรือสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกและการเช็กประกันรถยนต์ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง หรือคลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์
ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
เพราะการซื้อประกันรถยนต์กับแรบบิท แคร์ นั้นไม่เพียงแต่จะให้ความคุ้มค่าในเรื่องของแผนประกันภัยและการคุ้มครองเท่านั้น แต่ยังให้ความอุ่นใจมากกว่าที่อื่นอีกด้วย เพราะว่าแรบบิท แคร์ มีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัย 100% อีกทั้งยังได้รับการรับรองความถูกต้องจาก คปภ. และมีประสบการณ์ในการดูแลและให้บริการลูกค้ามาอย่างยาวนาน และนอกจากนี้ยังมีช่องทางในการชำระเบี้ยประกันรถยนต์มากมาย ไม่ว่าจะชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านช่องทางไหนก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต เป็นเงินสด หรือแม้แต่กระทั่งการผ่อนชำระก็มี ดังนั้นจึงทำให้ลูกค้ามีทางเลือกที่หลากหลายช่องทาง และสามารถวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงในเรื่องของส่วนลดก็มีให้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเรานั้นแคร์คุณยิ่งกว่าใคร สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แรบบิท แคร์
ความคุ้มครองประกันรถยนต์