Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

รู้หรือไม่!? ไฟ ECO ในรถยนต์มีไว้เพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่ารถหลาย ๆ รุ่นมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถบางรุ่นผลิตจากต่างประเทศแต่เข้ามาทำการตลาดที่ไทย และได้ผลตอบรับที่ดี แน่นอนว่ารถรุ่นใหม่มีอะไรที่แปลกใหม่และพัฒนามากกว่าเดิม อย่างไฟ ECO mode เพราะรถบางรุ่นอาจจะมีเพียงแค่ PWR mode วันนี้แรบบิท แคร์ จะพาทุกคนไปรู้จักกับไฟ ECO ว่ามันคืออะไร มีหน้าที่การทำงานอย่างไร และมันช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงหรือไม่ แล้วควรเปิดโหมดนี้เมื่อใด ไปดูกันเลย!!

โหมด ECO คืออะไร?

ไฟ ECO หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า โหมดอีโค่ คือ โหมดที่แสดงช่วงเวลาการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะแสดงหลังจากที่คุณเหยียบคันเร่ง เพราะมันหมายถึงการเริ่มสิ้นเปลืองน้ำมันรถ ซึ่งรู้ไหมว่าช่วงเวลาที่ประหยัดน้ำมันที่สุด คือเมื่อรถยนต์มีอัตราส่วนผสมระหว่างอากาศกับน้ำมันเหมาะสมที่สุด เกิดจากการที่คุณควบคุมระดับความเร็วของรถยนต์ได้คงที่ ไม่เหยียบคันเร่งแรง ๆ และไม่ทำให้รถยนต์เกิดการพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ไฟ ECO ทำงานอย่างไร?

โหมดไฟ ECO ที่แสดงอยู่บนบริเวณหน้าปัดรถยนต์ จะถูกส่งต่อมาจากการวัดระดับปริมาณอากาศที่ถูกส่งเข้ามาผ่านห้องเครื่องรถยนต์ ซึ่งมีลักษณะการทำงาน คือ ระบบจะมีการวัดแรงดัน Vacuum จากท่อไอดี ซึ่งแรงดันเหล่านี้มักจะเปลี่ยนแปลงจากการเปิดและปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ อย่างไรก็ตาม หากคุณเร่งเครื่องยนต์ เพื่อให้รถพุ่งตัวไปข้างหน้า ลิ้นปีกผีเสื้อก็จะเปิดมาก ทำให้ระดับ Vacuum ลดต่ำลง

ในทางกลับกันหากคุณยกคันเร่งขึ้น นั่นแปลว่าคุณกำลังถอนคันเร่ง ระดับความเร็วของรถยนต์จะต่ำลง ทำให้ลิ้นปีกผีเสื้อปิด ทำให้ Vacuum เพิ่มขึ้น เป็นระดับที่จะช่วยให้รถของคุณประหยัดน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ไฟ ECO ก็จะติดขึ้นมา

ข้อดีของการใช้โหมด ECO ในขณะขับขี่ ไม่เพียงแต่จะเป็นการประหยัดน้ำมัน แต่มันจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถจดจำลักษณะการเหยียบคันเร่งแบบคงที่ และเหมาะสมได้

ลักษณะการทำงานของไฟ ECO?

ในปัจจุบันมีรถหลายรุ่นที่มีปุ่มเปิดและปิดโหมด ECO ตามการพัฒนาของค่ายรถ แต่ที่จริงแล้วระบบไฟ ECO บนรถยนต์จะถูกตั้งค่าและตั้งคำสั่งเหมือนสมองของรถ (ECU) โดยจะเป็นการสั่งจ่ายน้ำมันในปริมาณที่ต่ำลงจากระดับมาตรฐานที่รถเคยตั้งมาจากที่โรงงานดังนั้นลักษณะการทำงานของไฟ ECO จะประสานกันทั้งหมด มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับระบบคันเร่ง เกียร์ เครื่องยนต์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งแอร์ในรถ

ตารางสรุปการทำงานของไฟโหมด ECO

 

ลักษณะของคันเร่ง

ระดับของแรงดัน Vacuum

การทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ

การประหยัดน้ำมัน

การแสดงโหมด ECO บนหน้าปัด

เหยียบคันเร่งVacuum ลดต่ำลงลิ้นปีกผีเสื้อเปิดสิ้นเปลืองน้ำมันโหมด ECO ไม่แสดงผล
ถอนคันเร่งVacuum เพิ่มสูงขึ้นลิ้นปีกผีเสื้อปิดประหยัดน้ำมันโหมด ECO แสดงผล

โหมด ECO ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงหรือ?

โหมด ECO ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง หากผู้ขับขี่เปิดโหมดนี้ ระบบจะทำหน้าที่สั่งจ่ายน้ำมันเข้าระบบที่ต่ำลงจากมาตรฐานเดิม ถึงประสิทธิภาพและการทำงานของระบบรถยนต์จะแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้ขับขี่จะรู้เลยว่ารถมีความอืดขึ้น เมื่อเหยียบคันเร่งจะรู้สึกหน่วง ๆ รอบเครื่องก็จะวิ่งขึ้นช้ากว่าเดิม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเครื่องยนต์ค่อย ๆ ส่งกำลัง เพื่อให้การเผาไหม้หรือการสูญเสียน้ำมันน้อยลงกว่าโหมดปกติ อย่างไรก็ตาม แอร์ในห้องโดยสารก็จะเย็นน้อยลง ทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้ที่นั่งมาด้วยรู้สึกร้อนขึ้นได้

โหมด ECO ควรใช้เมื่อไหร่?

ปุ่ม ECO แท้จริงแล้วสามารถใช้งานได้ตลอดเวลาหากคุณต้องการประหยัดน้ำมัน แรบบิท แคร์ แนะนำให้ใช้โหมด ECO เมื่อคุณขับรถในเมือง เพราะการจราจรในกรุงเทพหรือในเมือง แตกต่างจากต่างจังหวัด คุณจะต้องเผชิญกับปัญหารถติดบนท้องถนน ไหน ๆ ก็ไม่สามารถใช้ความเร็วได้แล้ว แนะนำให้เปิดโหมดนี้เพื่อประหยัดน้ำมันไปเลย

อย่างไรก็ตาม การที่รถจะสิ้นเปลืองน้ำมันหรือประหยัดน้ำมัน ส่วนหนึ่งแล้วมาจากวิธีการขับขี่ของคุณด้วย เพราะถ้าหากเปิดโหมด ECO แต่พยายามเหยียบคันเร่ง เพื่อให้รถขยับอย่างรวดเร็ว ยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเหมือนเดิม ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณขับแบบค่อย ๆ เหยียบคันเร่ง ความเร็วรถคงที่ เข็มวัดรอบเรือนไมล์คงที่ ก็จะทำให้การเปิดโหมดนี้มีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการขับรถแบบแอร์เย็นฉ่ำ ขับแบบเหยียบคันเร่งแรง ๆ เพื่อให้รถวิ่งเร็วและแซงคันอื่น แนะนำให้ปิดโหมด ECO แต่ถ้าหากคุณต้องการขับรถทางไกล แบบค่อย ๆ ขับ ไม่รีบร้อน และมีการใช้ความเร็วรถอย่างคงที่ แรบบิท แคร์ แนะนำให้เปิดโหมดประหยัดน้ำมัน

โหมด ECO แตกต่างกับโหมดอื่น ๆ อย่างไร?

โหมดรถยนต์ หรือ Drive Mode มีอยู่ด้วยกัน 3 โหมด ประกอบไปด้วย โหมดปกติ โหมดประหยัด และโหมดสปอร์ต ไหน ๆ เราก็รู้จักโหมดประหยัดน้ำมันไปแล้ว มันแตกต่างกับโหมดปกติและโหมดสปอร์ต ดังต่อไปนี้

โหมดปกติ หรือ Normal Mode

โหมดปกตินี้ เมื่อรถยนต์เริ่มสตาร์ท เครื่องยนต์เริ่มมีการทำงาน ค่าต่าง ๆ หรือระบบในรถยนต์จะถูกเริ่มต้นเป็นโหมดปกติ ซึ่งเป็นการขับขี่จะมีการใช้งานแบบธรรมดาทั่วไป อัตราเร่งของเครื่องยนต์ก็จะมีประสิทธิภาพ แอร์ในห้องโดยสารก็จะทำความเย็นได้แบบปกติ โดยจะสามารถตั้งค่าหรือปรับอุณหภูมิสูง ต่ำ ได้ตลอดเวลา

โหมดสปอร์ต หรือ Sport Mode

ใครที่เป็นสายเร่ง สายซิ่ง อยากสนุกในการขับขี่เหมาะมาก ๆ กับโหมดสปอร์ต โดยโหมดนี้จะให้อัตราการเร่งที่ดีที่สุด ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกสนุกในการขับขี่ ในการเร่งความเร็วของรถยนต์ มีความเร้าใจในขณะขับขี่เป็นอย่างมาก แต่ข้อเสียของโหมดนี้คือผู้ขับขี่จะต้องแลกมาด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหรือน้ำมันค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นโหมดที่ดึงประสิทธิภาพสูงสุดของรถยนต์ออกมาก

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โหมด ECO แตกต่างกับโหมดปกติและโหมดสปอร์ต อ้างอิงจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย โหมด ECO จะส่งผลให้รถยนต์มีการประหยัดน้ำมันที่มากขึ้น โดยระบบจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งหากเทียบกับโหมดปกติแล้ว อัตราการเร่งของโหมดอีโค่จะช้ากว่า แต่จะไม่ได้ส่งผลต่อความเร็วสูงสุด อย่างไรก็ตามหากผู้ขับขี่ต้องการแซง ในขณะที่กำลังเปิดโหมด ECO ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เหยียบคันเร่งมากขึ้น

วิธีการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน มีอะไรบ้าง?

ในยุคที่อะไร ๆ ก็แพงขึ้น ทำให้หลายคนอยากที่จะประหยัดน้ำมัน และถ้าหากรถไม่ได้ใช้พลังงานไฟฟ้า แต่เป็นรถที่ติดแก๊ส นอกจากการใช้โหมด ECO จะมีวิธีขับอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันได้อีกบ้าง แรบบิท แคร์ รวบรวมมาให้แล้ว

1. ออกตัวแบบไม่ต้องรีบ
พฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นการออกรถโดยกระชาก หรือเหยียบคันเร่งเต็มแรงเพื่อให้รถพุ่งไปข้างหน้า ถือเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ เนื่องจากการออกตัวไปข้างหน้า เครื่องยนต์ต้องใช้พละกำลังเครื่องที่สูงอยู่แล้ว ต้องแบกรับน้ำหนักทั้งรถยนต์และผู้โดยสาร นอกจากนี้การออกตัวแบบกระชาก เร่งเครื่อง จะทำให้ชิ้นส่วนภายในสึกหรอเร็ว นอกจากนี้ในระหว่างขับขี่ควรใช้ความเร็วที่คงที่และเหมาะสม ประมาณ 60 - 90 กิโลเมตร / ชั่วโมง

2. ปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น
แอร์ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในรถยนต์ ที่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการสิ้นเปลืองน้ำมัน หากเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่ต่ำหรือแอร์เย็น จะทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น

3. ใส่เกียร์ว่างเมื่อรถติดเป็นเวลานาน
หากติดไฟแดงบริเวณแยกต่าง ๆ หรือมีการจราจรที่ติดขัดเร็วระยะเวลานาน แนะนำให้เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ไปยังเกียร์ว่าง หรือตัว N เพราะการที่คุณใส่เกียร์เดินหน้าตลอด จะทำให้เครื่องยนต์ทำงาน และพร้อมออกตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการสิ้นเปลืองน้ำมัน

เหล่านี้คือตัวอย่างวิธีการประหยัดพลังงาน นอกเหนือจากการใช้โหมด ECO และยังมีอีกหลายวิธี เช่น ชะลอรถแทนการใช้เบรก หลีกเลี่ยงการบรรทุกของหนักมากเกินไป เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากรถยนต์เกิดเสียหายอันเนื่องมาจากการแตกหักของเครื่องยนต์ เครื่องจักร หรือการหยุดทำงานของเครื่องยนต์ เหล่านี้ประกันจะไม่ได้ให้ความคุ้มครอง แต่จะคุ้มครองเมื่อความเสียหายเกิดจากอุบัติเหตุและเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอก ดังนั้น อย่าลังเลที่จะซื้อประกันรถยนต์ กับแรบบิท แคร์ เพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้คุณในขณะขับขี่ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นเราจะให้ความคุ้มครองพร้อมมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และถ้าหากขับดีไม่มีเคลม มีต่อไปเบี้ยประกันลดสูงสุดถึง 70% หากสนใจโทรเลย 1438

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา