Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 9.9 Rabbit แจกฟรี!! หูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

EGR คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

EGR คืออะไร?

จากข้อมูลในเว็บไซต์ kmotors ได้พูดถึงความหมายของ EGR ไว้ว่า ระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation) นั้นเป็นระบบนำไอเสียที่ผ่านการเผาไหม้จากห้องจุดระเบิดมาแล้ว นำมาใช้เพื่อเป็นการลดแก๊ส NOx (Nitrous Oxides) ซึ่งเป็นแก๊สพิษ NOx ที่เกิดจากแก๊สไนโตรเจนไปทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนในอากาศ และเกิดผสมรวมตัวกันจนกลายเป็นการเผาไหม้ในลูกสูบ หมุนเวียนกลับเข้ามาที่ห้องจุดระเบิดใหม่อีกครั้ง เพื่อทำการเผาไหม้อีกรอบ ผ่านตัววาล์วที่ทำหน้าที่เปิด-ปิดอากาศที่มาจากท่อไอเสียบางส่วน แล้วส่งกลับไปผสมกับอากาศที่ดูดจากภายนอกผ่านท่อไอดี โดยช่วงของอุณหภูมิในการเผาไหม้นั้นจะสูงถึง 1,800 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีการทำงานหรือขั้นตอนนั้นจะเริ่มจากการนำความร้อนในไอเสียวนกลับมาใช้ในเครื่องยนต์ จึงช่วยทำให้อุณหภูมิของไอดีนั้นสูงขึ้นในกระบวนการเผาไหม้ และเกิดเป็นการประหยัดพลังงานตามมานั่นเอง ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับนั้นก็คือจะสามารถช่วยลดออกไซด์ของแก๊สไนโตรเจนได้เป็นอย่างดี และยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะในไอดีนั้นจะมีเขม่าควันซึ่งจะไปสะสมจนทำให้เครื่องยนต์นั้นลดประสิทธิภาพในการทำงานลง หัวฉีดจะอุดตันเร็ว มีเขม่าควันดำ และทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมหัวฉีดที่สูงมากขึ้น

EGR มีความสำคัญอย่างไร?

สำหรับระบบ EGR นั้นจะถูกติดตั้งเข้าไปในเครื่องยนต์ เพื่อจุดประสงค์ในการลดมลภาวะที่เกิดขึ้นในอากาศ โดยจะทำการหมุนเวียนไอเสียขาออกบางส่วนกลับมาเข้าไอดีเผาไหม้อีกรอบ เพื่อเป็นการลดแก๊สไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) ที่เป็นมลพิษและจะออกไปสู่ชั้นบรรยากาศภายนอก อีกทั้งยังมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ และยังส่งผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย โดยเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ไอเสียนั้นผ่านมาตรฐาน EURO 4 นั่นเอง

การอุด EGR จะส่งผลต่อรถยนต์อย่างไรบ้าง?

ส่วนมากแล้วการอุด EGR นั้นจะแพร่หลายในรถกระบะแต่ง รถกระบะซิ่ง เช่น รถยนต์รุ่น ALL NEW ISUZU, ALL NEW CHEVROLET เป็นต้น โดยที่ราคาตัวอุด EGR นั้นจะไม่ได้สูงมากนัก อาจจะอยู่ที่หลักร้อยบาท จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มีการอุด EGR อย่างแพร่หลายนั่นเอง และเหตุผลหลัก ๆ อีกอย่างหนึ่งก็เพราะว่าผู้ขับขี่ต้องการให้ไอเสียทั้งหมดนั้นถูกปล่อยออกมาทางท่อไอเสีย และสามารถรับอากาศดีผ่านทางท่อร่วมไอดีได้ด้วย ซึ่งก็จะทำให้เครื่องยนต์นั้นเกิดการเผาไหม้ที่ดีมากยิ่งขึ้น มีกำลังในรอบรถยนต์ที่ต่ำ ช่วยให้น้ำมันเครื่องดำช้าลง มีลิ้นปีกผีเสื้อหรือหัวฉีดที่สะอาดมากขึ้นหรือสกปรกช้าลง และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของหัวฉีดได้อีกด้วย แต่การอุด EGR ก็จะขึ้นอยู่กับความเชื่อของในแต่ละบุคคลด้วยอีกเช่นกัน เพราะยังมีอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ผู้ขับขี่บางส่วนเลือกที่จะไม่อุดระบบ EGR นั่นก็คือเราจะได้ไอเสียที่ไม่สร้างมลภาวะที่เป็นพิษให้กับอากาศอย่างแน่นอน

ข้อดีและข้อเสียของการอุด EGR มีอะไรบ้าง?

ข้อดี

ข้อเสีย

ได้กำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มมากขึ้นไม่สามารถเคลมกับทางบริษัทประกันภัยได้
ท่อรวมไอดี และลิ้นเร่งมีความสะอาดที่มากกว่าเมื่อใช้ในระยะยาวตัวแปลงสภาพไอเสียอาจเสื่อมเร็วมากกว่าปกติ
น้ำมันเครื่องจะดำช้ากว่าปกติ เนื่องจากเขม่าควันในการเผาไหม้มีน้อยกว่ามีการกินน้ำมันที่มากกว่าปกติ จากส่วนผสมที่เข้าสู่ห้องเผาไหม้ที่ไม่ตรงตามค่าที่ตรวจจับได้
หัวฉีดสะอาดมากกว่าปกติเสียค่าใช้จ่ายในการอุด EGR ที่เยอะ

การล้างท่อไอดีและ EGR ควรล้างเมื่อไหร่?

สำหรับการล้างท่อไอดีหรือการล้างท่อร่วมไอดีนั้น โดยปกติแล้วควรจะเริ่มทำตอนที่รถยนต์วิ่งไปแล้วเป็นระยะทาง 50,000-100,000 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้แพงจนเกินไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหรือรถยนต์สัญชาติยุโรป ก็จะมีเครื่องยนต์เป็นแบบดีเซลให้เลือกใช้งานอยู่แล้ว และเนื่องจากน้ำมันดีเซลนั้นจะให้พลังงานที่ออกมามากกว่าน้ำมันเบนซิน เครื่องยนต์ดีเซลจึงมีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่น้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซินที่จะปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเยอะกว่านั่นเอง เนื่องจากระบบการเผาไหมที่แตกต่างกัน แต่ในทางตรงกันข้าม เครื่องยนต์ดีเซลกลับมีการปล่อยแก๊สไนโตรเจนออกไซต์ (Nox) และเขม่าดำ (Soot) ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศที่เยอะกว่ามาก

ดังนั้นทางฝั่งผู้ผลิตจึงมีการคิดค้นและออกแบบให้เครื่องยนต์ดีเซลนั้นช่วยลดการปล่อยแก๊สไนโตรเจนออกไซต์ (NOx) และเขม่าดำ (Soot) ให้ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศน้อยลง ด้วยวิธีการออกแบบให้เป็นระบบแบบคอมมอเรลหรือระบบท่อร่วม เพื่อดึงเอาไอเสียจากท่อออกมาหมุนเวียนกลับเข้าไปในกระบวนการเผาไหม้ใหม่ในลูกสูบใหม่อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากวิธีการนี้จะทำให้อุณหภูมิในห้องเครื่องนั้นเผาไหม้น้อยลง บวกกับในระบบท่อร่วมไอดีนั้นก็จะมีการถูกออกแบบมาให้มีตัวดักจับเขม่าอีกชั้น จึงทำให้เกิดแก๊สไนโตรเจนออกไซต์ (NOx) และเขม่าดำ (Soot) ที่ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศน้อยลงด้วย แต่สิ่งที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือการดูแลรักษาที่เพิ่มมากขึ้นด้วยการล้างท่อร่วมไอดี เพราะเขม่าจากไอเสียจะไปรวมตัวกันในระบบผ่านท่อร่วมไอดี จนเกิดเป็นปัญหาทำให้อากาศในการเผาไหม้นั้นไม่สมบูรณ์ และส่งผลทำให้รถยนต์วิ่งไม่ไป จนอาจก่อให้เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไปกับการซ่อมรถยนต์โดยที่ไม่จำเป็น อีกทั้งรถยนต์ยังมีการปล่อยควันดำออกสู่ชั้นบรรยากาศ และเกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้แก่ผู้ขับขี่ได้ในที่สุด

ส่วนการล้างท่อไอดีนั้นเราสามารถนำรถเข้าศูนย์ เข้าร้าน หรือเข้าอู่ได้เลยตามความสะดวกของผู้ขับขี่ แต่ก็ควรพิจารณาและเลือกร้านให้ดี ๆ เพราะในแต่ละร้านก็จะมีวิธีการล้างท่อไอดีที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น บางร้านใช้วิธีการเผาไฟ บางร้านใช้น้ำยาล้างคราบเขม่าโดยเฉพาะ ซึ่งในแต่ละวิธีก็จะส่งผลดีและผลเสียต่อท่อร่วมไอดีที่แตกต่างกันไปอีกเช่นเดียวกัน อย่างการใช้ไฟเผาก็อาจจะส่งผลเสียต่อท่อร่วมไอดีและเกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้ ดังนั้นการเลือกใช้น้ำยาล้างคราบเขม่าจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมมากที่สุด เพราะวิธีนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อท่อร่วมไอดีนั่นเอง โดยในแต่ละครั้งที่มีการล้างท่อไอดีนั้นจะใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับรถยนต์ในแต่ละรุ่นด้วย

หากท่อไอดีและ EGR เกิดความเสียหายขึ้นมา ทางบริษัทประกันภัยจะรับเคลมหรือไม่?

ถ้าหากว่าระบบ EGR นั้นเกิดการสึกหรอไปตามสภาพการใช้งาน หรือว่าเกิดปัญหาโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ในส่วนนี้ทางบริษัทประกันภัยจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองหรือจะไม่ได้รับเคลมให้ แต่ถ้าเกิดว่ามีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุหรือว่าภัยธรรมชาติ ในกรณีนี้ทางบริษัทประกันภัยก็จะมีการรับเคลมให้ตามปกติ เนื่องจากว่าอยู่ในความคุ้มครองของแผนกรมธรรม์ นั่นก็คือจะคุ้มครองในส่วนที่เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุหรือจากภัยธรรมชาติเท่านั้น จึงแนะนำสำหรับใครที่ต้องการอยากจะได้รับความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุด ว่าให้เลือกทำเป็น ประกันภัยรถยนต์ ที่เป็นแผนกรมธรรม์ชั้น 1 ไปเลย เพราะไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากสาเหตุอะไร ทางบริษัทประกันภัยก็จะให้ความคุ้มครองคุณได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้อีกด้วย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

ก็ยังคงสอดคล้องมาจากคำแนะนำข้างต้นที่ว่า ควรจะเลือกทำเป็น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไว้จะดีที่สุด เพราะถึงแม้ว่าราคาเบี้ยประกันจะแพงเป็นอันดับต้นในบรรดาประกันภัยทุกชั้น แต่ในเรื่องของความคุ้มครองที่จะได้รับนั้นก็คุ้มค่ามากที่สุด และยังช่วยทำให้ผู้ขับขี่นั้นมีความมั่นใจในการขับขี่ไปด้วย ดังนั้นจึงถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด เพราะประกันภัยชั้น 1 ถือว่าเป็นประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่รถชนรถ รถชนคน รถหาย รถไฟไหม้ หรือรถน้ำท่วม ทางประกันภัยก็จะรับเคลมให้ทั้งสิ้น

ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

นอกจากนี้ แรบบิท แคร์ ยังมีระบบเปรียบเทียบแผนประกันภัยออนไลน์ ที่จะช่วยให้คุณได้เช็กเบี้ยประกันของแต่ละบริษัทประกันภัยชั้นนำได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังใช้งานง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงแค่ 30 วินาที ก็สามารถที่จะให้รายละเอียดแผนประกันภัยที่ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของคุณได้มากที่สุดอีกด้วย จึงทำให้ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก และนอกจากนี้ แรบบิท แคร์ ยังมีข้อเสนอสุดพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา