Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ นโยบายคุกกี้

🎵 9.9 Rabbit แจกฟรี!! หูฟัง Apple Airpods Gen 3 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 12,790 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

ฟลัชชิ่งเกียร์คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

Flashing คืออะไร?

จากข้อมูลในเว็บไซต์ acautoservice ได้พูดถึงความหมายของการฟลัชชิ่งเกียร์ไว้ว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์โดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Flushing Machine ที่จะมีหน้าที่ดูดน้ำมันเกียร์อันเก่าออกจากระบบ แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยเติมน้ำมันเกียร์ใหม่เข้าไป ซึ่งวิธีการฟลัชชิ่งเกียร์นี้จะดีกว่าวิธีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจากนอตถ่ายหรือก้นอ่างเป็นอย่างมาก เพราะว่าการฟลัชชิ่งเกียร์นั้นจะสามารถถ่ายน้ำมันเกียร์เก่าออกจากระบบได้เกือบ 100% แต่ในขณะที่การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จากนอตถ่ายจะยังคงมีน้ำมันเกียร์เก่าค้างอยู่ในระบบของทอล์คคอนเวอร์เตอร์ หรือว่าวาล์วบอดี้เกือบครึ่งหนึ่ง หรือว่าประมาณ 50% ดังนั้นจึงเท่ากับว่าน้ำมันเกียร์ใหม่ที่ถูกเติมเข้าไปนั้นจะต้องมีการไปผสมกับน้ำมันเกียร์เก่าแน่นอน และจะส่งผลทำให้คุณภาพของน้ำมันเกียร์ใหม่นั้นลดลงตามไปด้วยนั่นเอง อีกทั้งน้ำมันเกียร์ยังมีประสิทธิภาพที่ไม่เต็มร้อย แต่ในขณะที่การฟลัชชิ่งเกียร์จะต้องใช้ปริมาณน้ำมันเกียร์ใหม่ที่มากกว่า เพราะเมื่อเราถ่ายน้ำมันเกียร์เก่าออกจนหมด ก็จำเป็นที่จะต้องเติมน้ำมันเกียร์ใหม่เข้าไปให้ได้ตามปริมาณที่กำหนดไว้นั่นเอง

อาการแบบไหนที่ควรจะมีการฟลัชชิ่งเกียร์?

  • เวลาเปลี่ยนเกียร์แล้วรู้สึกสะดุด กระตุก หรือมีการกระชาก ไม่ราบรื่นเหมือนตอนซื้อรถมาใหม่ ๆ
  • หากถึงระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ครบรอบอายุการใช้งาน 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร ควรจะมีการฟลัชชิ่งเกียร์
  • เมื่อรอบรถยนต์ขึ้นสูง แต่เหมือนเกียร์จะไม่มีแรง หรือเริ่มวิ่งไม่ดี

ฟลัชชิ่งเกียร์จำเป็นไหม?

สำหรับการฟลัชชิ่งเกียร์นั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์รถยนต์ได้มากกว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แบบธรรมดาเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอาจจะไม่ได้จำเป็นมากนักสำหรับผู้ที่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้อยู่แล้ว หรือผู้ที่มีการตรวจเช็กสภาพของน้ำมันเกียร์อยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นก็อาจจะทำการฟลัชชิ่งเกียร์สลับไปกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แบบปกติก็ได้ แต่ถ้าหากคิดว่าเกียร์รถยนต์สกปรกมาก และอยากจะทำความสะอาดให้กับเกียร์ด้วย ก็ควรที่จะเลือกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ด้วยวิธีการฟลัชชิ่งเกียร์ไปเลยจะดีกว่า

ประโยชน์ของการฟลัชชิ่งเกียร์มีอะไรบ้าง?

  • การฟลัชชิ่งเกียร์จะช่วยให้การเข้าเกียร์หรือการเปลี่ยนเกียร์นั้นกระชับและฉับไวมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยลดการสึกหรอในระบบเกียร์
  • ช่วยยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนอะไหล่เกียร์
  • ช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังเร่งที่ดีขึ้น เวลาเปลี่ยนเกียร์จะไม่รู้สึกไม่กระชากเหมือนเก่า
  • ช่วยลดอาการกระตุกของเกียร์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นั้นราบรื่นขึ้น
  • ในระบบเกียร์แบบ CVT จะทำให้รอยต่อของเกียร์ราบรื่นขึ้น หรือไม่มีอาการเกียร์สลิป (Slip)
  • ทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น มีแรงส่งที่มากขึ้น และมีการเหยียบคันเร่งที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากไม่ได้มีการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนที่เยอะ
  • ช่วยทำความสะอาดระบบเกียร์แบบเต็มระบบ ซึ่งผลลัพธ์คือจะได้เกียร์ที่สะอาดมากยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีเหมือนใหม่ด้วย

วิธีการฟลัชชิ่งเกียร์มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?

สำหรับการฟลัชชิ่งเกียร์นั้นจะต้องอาศัยเครื่องมือที่เป็นเครื่องฟอกเกียร์ หรือฟลัชชิ่งเกียร์โดยเฉพาะ เนื่องจากจะต้องมีคุณสมบัติในการสร้างแรงดันและผลักดันน้ำมันที่อยู่ในสมองเกียร์ ทอล์คคอนเวอร์เตอร์ และชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง ๆ ของระบบเกียร์ออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งตลอดการทำฟลัชชิ่งเกียร์นี้ น้ำมันเกียร์ในระบบจะขาดไม่ได้เลย เพราะถ้าหากว่าเกิดปัญหาน้ำมันขาด ตัวชิ้นส่วนหรืออะไหล่ต่าง ๆ ของระบบเกียร์ก็จะเกิดการสึกหรอที่มากขึ้นตามมานั่นเอง เพราะระบบเกียร์เป็นระบบที่ค่อนข้างซับซ้อนและละเอียดอ่อนอยู่พอสมควร

ดังนั้นวิธีในการฟลัชชิ่งเกียร์จะแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่

  • การฟอกเกียร์ จะเป็นขั้นตอนในการนำเอาน้ำมันเกียร์เดิมไหลผ่านกรองออกมา เพื่อดักจับสิ่งสกปรก เศษโลหะต่าง ๆ และเศษผ้าคลัตช์ เพื่อให้น้ำมันเกียร์สะอาดมากยิ่งขึ้น
  • การฟลัชชิ่งเกียร์ จะเป็นการเติมน้ำมันเกียร์เข้าไปใหม่ โดยการดันน้ำมันเกียร์เก่าออกมาให้ได้มากที่สุด

โดยที่ทั้ง 2 ขั้นตอนนี้จะต้องมีการติดเครื่องยนต์อยู่ตลอด และค่อย ๆ เปลี่ยนเกียร์ไปจนครบทุกเกียร์ เพื่อเป็นการนำเอาสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในทุกส่วนนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด และแทนที่ด้วยน้ำมันเกียร์ใหม่เข้าไปนั่นเอง เพราะฉะนั้นการฟลัชชิ่งเกียร์จึงเป็นการบำรุงรักษา ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเกียร์กระชาก เกียร์กระตุก ที่ผู้ขับขี่ได้พบเจอ แต่เป็นผลพลอยได้จากการทำความสะอาดน้ำมันเกียร์ใหม่ ที่ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกออกไปจากระบบ ช่วยขจัดคราบเขม่าที่เกาะอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ จึงทำให้หลังจากที่มีการฟลัชชิ่งเกียร์แล้วจึงรู้สึกได้เลยว่าเกียร์ทำงานได้ดีขึ้น ราบรื่นขึ้น และไม่กระตุกเหมือนเก่านั่นเอง

ทำไมการฟลัชชิ่งเกียร์จึงมีค่าใช้จ่ายที่สูง?

เนื่องจากการฟลัชชิ่งเกียร์จะมีการใช้น้ำมันที่มากกว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แบบทั่วไป เช่น รถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ปกติจะใช้น้ำมันเกียร์ในการเปลี่ยนถ่ายอยู่ที่ 3-4 ลิตร แต่การฟลัชชิ่งเกียร์จะใช้น้ำมันเกียร์มากถึง 8 ลิตร ซึ่งจะเห็นได้ว่ามากกว่ากันเกือบเท่าตัว และยังมีในเรื่องของระยะเวลาที่จะรอนานมากกว่า 1 ชั่วโมงด้วย

การฟลัชชิ่งเกียร์จะทำให้ชิ้นส่วนของเกียร์ได้รับความเสียหายจริงหรือไม่?

จริง ๆ แล้วการฟลัชชิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ชิ้นส่วนของเกียร์ได้รับความเสียหาย แต่เป็นการเข้าใจผิดกันในเรื่องแรงดันของการทำความสะอาดน้ำมันเกียร์ กล่าวคือ การทำความสะอาดน้ำมันเกียร์นั้นจะมีทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ การใช้เครื่องแบบแมนนวน โดยช่างจะทำการปรับแรงดันให้เหมาะสมกับระบบเกียร์ของรถยนต์คันนั้น ๆ และจะมีเซนเซอร์คอยตรวจจับและแสดงผลที่เกจวัด และการใช้เครื่องแบบอัตโนมัติ โดยแรงดันจะเท่ากับตอนที่รถยนต์ทำงานตามปกติเลย เพราะฉะนั้นการฟลัชชิ่งเกียร์จึงไม่ได้ทำให้ชิ้นส่วนของเกียร์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด แต่กลับกันคือจะส่งผลทำให้เกียร์นั้นสะอาดขึ้น ทำงานราบรื่นขึ้น ไม่ติดขัด ไม่กระตุก และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบเกียร์ได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดกัน

หากมีการฟลัชชิ่งเกียร์แล้วรถยนต์เกิดความเสียหายขึ้นมา ทางบริษัทประกันภัยจะรับเคลมหรือไม่?

ในกรณีที่รถยนต์เกิดความเสียหายโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ในส่วนนี้ทางบริษัทประกันภัยจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองหรือจะไม่ได้รับเคลม แต่ถ้าหากว่ามีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุหรือว่าภัยธรรมชาติ เช่น ขับรถตกหลุมแล้วรถยนต์ยางรั่ว ในกรณีนี้เองที่เราจะสามารถทำเรื่องขอเคลมกับทางบริษัทประกันภัยได้ เนื่องจากเป็นส่วนที่อยู่ในความคุ้มครองของแผนกรมธรรม์ คือจะคุ้มครองในส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือว่าเกิดจากภัยธรรมชาติเท่านั้น เลยจะแนะนำสำหรับท่านที่ต้องการจะได้รับความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุดว่าให้เลือกทำเป็น ประกันภัยรถยนต์ ที่เป็นแผนประกันภัยชั้น 1 และนอกจากนี้ก็จะแนะนำสำหรับท่านที่ยังต้องการความคุ้มครองให้กับอะไหล่รถยนต์เพิ่มเติมว่าให้เลือกทำประกันอะไหล่รถยนต์ควบคู่ไปด้วย เพราะว่ามันจะช่วยทำให้คุณสามารถมั่นใจเพิ่มขึ้นไปได้อีกขั้นในทุกการขับขี่

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

ถ้าหากว่าคุณเพิ่งซื้อรถป้ายแดงมาใหม่ หรือกลัวว่ารถยนต์ของคุณนั้นจะโดนเฉี่ยวจนเป็นรอยต่าง ๆ ก็แนะนำว่าให้เลือกทำเป็นประกันชั้น 1 ไว้จะดีที่สุด เพราะประกันภัยชั้นนี้จะให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุด และตอบโจทย์เราได้มากที่สุด เนื่องจากจะได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่รถยนต์ชนสิ่งของ หรือรถยนต์ชนรถยนต์ด้วยกันเอง จึงทำให้เรานั้นมีความมั่นใจและอุ่นใจทุกครั้งที่ขับขี่รถยนต์อย่างแน่นอน สามารถคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของแรบบิท แคร์ ที่หมวด ประกันรถยนต์ชั้น 1

ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

แรบบิท แคร์ มีบริการให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบแผนประกันภัยและเบี้ยประกันภัยรถยนต์จากบริษัทชั้นนำของประเทศได้อย่างง่ายดาย ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาที เพียงกรอกข้อมูลง่าย ๆ ระบบก็จะแสดงผลมาให้ได้ดูทันที อีกทั้งเบี้ยประกันภัยยังสามารถผ่อน 0% นานถึง 10 เดือนได้อีกด้วย สามารถเช็กราคาประกันภัยรถยนต์และบริการสุดพิเศษได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา