รถชนต้องแจ้งประกันภายในกี่วัน และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?
ชนแล้วหนี ยอมความได้ไหม?
จากข้อมูลในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 78 ได้กล่าวถึงเรื่องการชนแล้วหนีไว้ว่า “ผู้ใดที่ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตาม จะต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงโดยทันที อีกทั้งจะต้องแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และหมายเลขทะเบียนรถให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายด้วย หากผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่ไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ในจุดเกิดเหตุ ก็ให้สันนิษฐานได้เลยว่าเป็นผู้กระทำความผิด และให้ทางเจ้าหน้าที่นั้นมีอํานาจในการยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีได้เลยทันทีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และถ้าผู้ขับขี่ไม่ยอมมาแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 6 เดือน (นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ) ก็ให้ถือว่ารถคันนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิด และให้ตกเป็นของรัฐโดยทันที” ดังนั้นตัวผู้เสียหายสามารถยอมความได้ หากได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามควรจดจำข้อมูลของผู้ที่ชนแล้วหนีไว้ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในภายหลังได้นั่นเอง
และในส่วนของผู้ที่ชนแล้วหนีนั้นจะต้องได้รับโทษ ดังนี้
- จำคุก 3 เดือน หรือถูกปรับ 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือว่า เสียชีวิต
- จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือถูกปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ หรือว่าเสียชีวิต
เราสามารถแจ้งความย้อนหลังได้ไหม?
สำหรับคำถามที่ว่า “ชนแล้วหนี แจ้งความภายในกี่วัน หรือสามารถแจ้งความย้อนหลังได้ไหม” เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แนะนำว่าควรรีบแจ้งความทันที เพราะถึงแม้ว่ากฎหมายจะระบุว่าสามารถแจ้งความได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่ส่วนใหญ่ทางบริษัทประกันภัยรถยนต์มักจะไม่รับใบแจ้งความย้อนหลังนั่นเอง ดังนั้นจึงควรแจ้งความทุกครั้งหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุขนาดเล็กก็ตาม เพื่อประโยชน์ของตนเองในอนาคต และอาจจะมีผลทางกฎหมายตามมาอีกด้วย
รถชนต้องแจ้งประกันภายในกี่วัน?
หากเป็นการเคลมแบบแห้ง หรือเป็นการเคลมรถยนต์หลังจากที่ได้มีการเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยผ่านไประยะหนึ่งแล้ว แนะนำว่าไม่ควรแจ้งเคลมนานเกิน 2-3 วัน โดยที่ผู้ถือประกันจะต้องเป็นฝ่ายบันทึกเหตุการณ์อย่างชัดเจนและครบถ้วน เช่น ถ่ายรูปหลักฐานที่มีให้ได้มากที่สุด บันทึกเวลา สถานที่ และวันที่ แล้วจึงดำเนินการแจ้งเคลมประกันกับทางบริษัทประกันภัยด้วยตนเอง และเมื่อมีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทประกันภัยก็จะออกใบเคลมให้ และสามารถนำใบเคลมนี้ไปส่งซ่อมรถกับที่ศูนย์หรือที่อู่ซ่อมรถในเครือของบริษัทประกันภัยได้เลยทันที
การแจ้งเคลมค่าขาดประโยชน์ในระหว่างซ่อมรถมีอะไรบ้าง?
- ให้รอรับใบแจ้งเคลมจากเจ้าหน้าที่ประกันภัย และทำการถ่ายเอกสารเก็บไว้ด้วย
- นำรถยนต์ไปที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ พร้อมทั้งยื่นใบเคลมเพื่อแจ้งซ่อมได้เลย และควรให้ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถนั้นประเมินความเสียหายของรถ เพื่อส่งมาเป็นเอกสารไว้ให้เราเก็บด้วย
- ขอใบรับรถมาจากศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถมาให้เรียบร้อย และทำการถ่ายเอกสารเก็บไว้
- แจ้งทางศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถว่าให้คอยถ่ายรูปตอนซ่อมรถ แล้วส่งมาให้ดูเป็นระยะด้วย เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นหลักฐานในการยื่นเคลมค่าขาดประโยชน์ในระหว่างซ่อมรถ
- เมื่อรถซ่อมเสร็จแล้วก็ให้ไปรับรถกลับ พร้อมทั้งขอสำเนาใบรับรถหรือหนังสือส่งมอบรถเสร็จที่มีการระบุวันที่ไว้อย่างชัดเจน
- จากนั้นดาวน์โหลดแบบฟอร์มแจ้งเคลมค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถจากบริษัทประกันภัยของทางฝั่งคู่กรณี
- เตรียมเอกสารของตนเองให้พร้อม เช่น ใบขับขี่รถยนต์หรือสำเนาใบขับขี่ สำเนาหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ สำเนาทะเบียนรถยนต์ สำเนาบัญชีธนาคาร เป็นต้น
การเคลมประกันรถยนต์ มีกี่วิธี?
การเคลมประกันรถยนต์จะมีอยู่ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่
1. การเคลมประกันรถยนต์แบบสด
จะเป็นการเคลมทันทีหลังจากที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม โดยจะเป็นการโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัย เพื่อให้เดินทางมาตรวจสอบและออกเอกสารสำหรับทำเรื่องเคลมทันทีในจุดเกิดเหตุ แต่ถ้าหากว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมีผู้บาดเจ็บ ก็อาจจะต้องเดินทางไปแจ้งความที่โรงพักร่วมด้วย
- แบบมีคู่กรณี ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องขอข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ เช่น เลขทะเบียนรถ ชื่อนามสกุล และเบอร์โทรศัพท์ของคู่กรณี ซึ่งประกันภัยที่จะสามารถเคลมสดแบบมีคู่กรณีได้ ก็จะเป็นประกันภัยรถชั้น 1 ประกันภัยรถชั้น 2+ และประกันภัยรถชั้น 3+
- แบบไม่มีคู่กรณี หรือว่าเป็นการชนแล้วหนี ประกันภัยที่จะสามารถรับเคลมสดแบบนี้ได้ ก็จะเป็นประกันภัยรถชั้น 1 แต่ก็จะต้องมีเสียค่าเสียหายในส่วนแรกไปก่อน (หากมีการตกลงไว้เรียบร้อยแล้วกับทางบริษัทประกันภัย) ส่วนประกันภัยรถชั้น 2+ และประกันภัยรถชั้น 3+ ก็จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานว่ามีคู่กรณีด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ หรือมีพยานรู้เห็น เป็นต้น
2. การเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง
จะเป็นการเคลมเมื่อเกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่งแล้ว หรือประมาณ 2-3 วัน ซึ่งมักจะเป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยหรือเกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ผู้ถือประกันนั้นจะต้องบันทึกข้อมูลและหลักฐานให้ชัดเจนและครบถ้วน เช่น สถานที่ วันที่ เวลา ร่องรอยการเฉี่ยวชน เป็นต้น เพื่อนำมาแจ้งเคลมกับทางบริษัทประกันภัยเอง
เอกสารในการทำเรื่องเคลมประกันมีอะไรบ้าง?
- รูปถ่ายหลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุ รวมไปถึงบันทึกความเสียหายต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น เวลา วันที่ และสถานที่อย่างชัดเจน (ในกรณีเคลมแห้ง)
- บัตรประจำตัวประชาชน
- ใบรับรองความเสียหายหรือใบเคลมประกันรถ ที่ทางบริษัทประกันภัยจะออกให้สำหรับยื่นให้อู่ซ่อมรถหรือศูนย์ซ่อมรถ
- ใบขับขี่ หรือสำเนาใบขับขี่
- สำเนากรมธรรม์ประกันภัย
- เล่มทะเบียนรถ หรือสำเนาเล่มทะเบียนรถ
ความแตกต่างระหว่างการเคลมสดและการเคลมแห้ง
เคลมสด | เคลมแห้ง |
มีคู่กรณีที่เป็นรถยนต์ และมีผู้ขับขี่ | มีคู่กรณีที่ไม่ใช่รถยนต์ |
การเคลมจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น | การเคลมจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเกิดอุบัติเหตุไปแล้ว |
เจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันภัยจะเดินทางมาตรวจสอบความเสียหายที่จุดเกิดเหตุทันที | สามารถยื่นเอกสารเพื่อทำเรื่องเคลมได้ภายหลังที่บริษัทประกันภัย |
คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย
กรณีใดบ้างที่บริษัทประกันภัยจะไม่ได้รับเคลม?
- เกิดอุบัติเหตุจากการที่ผู้ขับขี่นั้นมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัม (เมาแล้วขับ)
- นำรถยนต์ไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย เช่น ขนส่งยาเสพติด ปล้นทรัพย์สิน เป็นต้น
- นำรถไปใช้งานในทางที่ผิดประเภท เช่น ใช้งานแบบลากจูง เพราะจะทำให้รถยนต์นั้นได้รับความเสียหายโดยที่ไม่ได้มาจากการใช้งานรถแบบปกตินั่นเอง
- นำรถไปแต่งเพื่อนำไปแข่งขัน ซึ่งจะถือว่าเป็นการใช้รถยนต์ที่ผิดประเภท อีกทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอีกด้วย
- ได้รับอุบัติเหตุจากสงคราม การปฏิวัติ การต่อต้าน อาวุธปรมาณู และได้รับความเสียหายจากกัมมันตภาพรังสี
- นำรถออกไปใช้นอกอาณาเขตที่คุ้มครอง หรือการขับรถออกไปนอกประเทศนั่นเอง แต่ถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ก็ควรจะต้องรีบแจ้งไปยังบริษัทประกันทันที
ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?
ถ้าหากว่าคุณเพิ่งซื้อรถป้ายแดงมาใหม่ หรือกลัวว่ารถยนต์ของคุณนั้นจะโดนเฉี่ยวจนเป็นรอยต่าง ๆ ก็แนะนำว่าให้เลือกทำเป็นประกันชั้น 1 ไว้จะดีที่สุด เพราะประกันภัยชั้นนี้จะให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุด และตอบโจทย์เราได้มากที่สุด เนื่องจากจะได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่รถยนต์ชนสิ่งของ หรือรถยนต์ชนรถยนต์ด้วยกันเอง จึงทำให้เรานั้นมีความมั่นใจและอุ่นใจทุกครั้งที่ขับขี่รถยนต์อย่างแน่นอน สามารถคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของแรบบิท แคร์ ที่หมวด ประกันรถยนต์ชั้น 1
ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?
แรบบิท แคร์ มีบริการให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบแผนประกันภัยและเบี้ยประกันภัยรถยนต์จากบริษัทชั้นนำของประเทศได้อย่างง่ายดาย ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาที เพียงกรอกข้อมูลง่าย ๆ ระบบก็จะแสดงผลมาให้ได้ดูทันที อีกทั้งเบี้ยประกันภัยยังสามารถผ่อน 0% นานถึง 10 เดือนได้อีกด้วย สามารถเช็กราคาประกันภัยรถยนต์และบริการสุดพิเศษได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์
ความคุ้มครองประกันรถยนต์