Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้

🎵 เดือน 10 นี้!! Rabbit Care แจกลำโพง Marshall Emberton 2 และ Rabbit Voucher มูลค่ารวม 13,490 บาท แค่สมัครบัตรฯ UOB ผ่าน Rabbit Care คลิก! 💳

กระจกรถปิดไม่ได้ กระจกรถไม่ขึ้น มีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่กำลังประสบพบเจอกับปัญหากระจกรถเปิดไม่ได้ กระจกรถปิดไม่ได้ หรือกระจกรถไม่ขึ้นนั้น ถือว่าเป็นปัญหาที่อาจจะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็มักจะไปสร้างความหนักใจและความรำคาญใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะถ้าหากว่ากระจกรถปิดไม่ได้ ก็เท่ากับว่าเราจะไม่สามารถเปิดแอร์ภายในรถยนต์ได้เลย หรือถ้าหากว่ากระจกรถเปิดไม่ได้ ก็จะต้องมาลำบากเวลาที่มีการใช้งานต่าง ๆ เช่น เวลาจะจ่ายค่าทางด่วน เวลาจะซื้อของ หรือเวลาจะรับส่งของ เพราะเราจะต้องเปิดประตูรถแทนที่จะเปิดแค่กระจกรถก็เพียงพอ ดังนั้นปัญหากระจกรถเปิดไม่ได้ กระจกรถปิดไม่ได้ หรือกระจกรถไม่ขึ้นนี้ จึงอย่ามองว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรหมั่นตรวจเช็กและเอาใส่ใจกระจกรถอยู่เสมอ เพราะเวลาที่พบความผิดปกติอะไรขึ้นมา เราจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และถ้าหากว่าแก้ไม่หายก็จะได้นำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญช่วยซ่อมแซมและแก้ไขปัญหาได้เลยทันที คราวนี้ก็จะทำให้ผู้ขับขี่รวมไปถึงผู้โดยสารมีความสุข และทำให้เกิดความมั่นใจได้ในทุกการขับขี่ ไม่ต้องมาคอยปวดหัวกับปัญหาจุกจิกให้เสียบรรยากาศภายในรถด้วยนั่นเอง

กระจกไฟฟ้าคือ?

กระจกไฟฟ้าถือว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญของรถยนต์ ซึ่งจะพบได้ในรถยนต์รุ่นใหม่ทุกรุ่นในปัจจุบัน ที่จะเข้ามาแทนกระจกรุ่นเดิมสมัยก่อนที่จะต้องใช้การหมุนเพื่อเลื่อนกระจกรถให้ขึ้นลง ดังนั้นการทำงานของกระจกรถจึงจะอาศัยพลังงานทางไฟฟ้ามาใช้ในการทำงานแทนนั่นเอง โดยที่กระจกไฟฟ้านั้นจะมีแผงการทำงานควบคุมอยู่ทางฝั่งของคนขับ เพื่อที่จะได้ให้ผู้ขับนั้นสามารถสั่งการได้จากปุ่มสวิตช์ที่แผงควบคุมเลยทันที ไม่ว่าจะเป็นการล็อกประตู การปลดล็อกประตู หรือการใช้งานกระจกรถ เป็นต้น

กระจกรถปิดไม่ได้ เกิดจากอะไร?

จากข้อมูลในบทความ “กระจกรถยนต์กดไม่ขึ้น กระจกไฟฟ้าไม่ทำงาน ทำอย่างไร?” ของเว็บไซต์ sim.co.th ได้พูดถึงสาเหตุที่กระจกรถปิดไม่ได้ไว้ว่า สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • มอเตอร์ไฟฟ้าหลวม หรือมีการเสื่อมสภาพลง
  • ขอบยางกระจกเก่า เปื่อยขาด และเสื่อมสภาพ จึงทำให้เกิดความฝืดขึ้นมา และส่งผลทำให้กระจกรถปิดไม่ได้
  • มอเตอร์ไฟฟ้าหมดอายุการใช้งาน
  • เกิดความเสียหายต่อสวิตช์ที่ใช้กดเลื่อนกระจกขึ้น-ลง
  • เกิดจากความชื้นที่ซึมลงไปในร่องคิ้วรีดน้ำของกระจกรถทางฝั่งด้านนอก
  • เกิดการชำรุดของชิ้นส่วนต่าง ๆ เช่น ลวด ฟันเฟือง และข้อต่าง ๆ เป็นต้น

วิธีการแก้ไขปัญหากระจกรถเปิดไม่ได้ มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?

หากว่าเราพบเจอกับปัญหากระจกรถเปิดไม่ได้หรือกระจกรถปิดไม่ได้ เบื้องต้นให้เราลองทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ทำการสตาร์ตเครื่องยนต์ใหม่ แล้วหลังจากนั้นให้ลองทุบหรือเคาะที่บริเวณประตูรถโดยใช้น้ำหนักให้แรงพอสมควร พร้อมทั้งกดสวิตช์ใช้ที่เปิดปิดกระจกไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าหากว่ากระจกรถนั้นสามารถกลับมาใช้งานได้แล้ว ให้กดสวิตช์ย้ำ ๆ ไปอีก 2-3 ครั้ง เพื่อลดอาการฝืดของขอบยางกระจกรถ
  2. แต่ถ้าหากว่าใช้วิธีการทุบแล้วยังไม่ได้ผล ก็ให้ลองกดสวิตช์กระจกรถให้เลื่อนต่ำลงจนสุด แล้วให้กดค้างไว้เป็นเวลาประมาณ 5-6 วินาที
  3. หลังจากนั้นให้กดสวิตช์เพื่อให้กระจกรถเลื่อนขึ้นจนสุด แล้วกดค้างไว้เป็นเวลาประมาณ 5-6 วินาทีเช่นเดียวกัน เพราะว่าโดยปกติแล้ว ถ้าหากว่าทำขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น กระจกรถก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ สามารถเลื่อนขึ้นและเลื่อนลงได้เหมือนเดิม
  4. เมื่อกระจกรถปิดไม่ได้กลับมาใช้งานได้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะตรวจสอบว่าขอบยางกระจกนั้นมีเศษขยะชิ้นเล็ก ๆ หลุดเข้าไปติดอยู่ข้างในด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าหากว่าพบเจอก็ควรที่จะรีบทำความสะอาดโดยทันที
  5. พร้อมทั้งเช็กด้วยว่าขอบยางกระจกนั้นมีลักษณะที่เสื่อมสภาพด้วยหรือเปล่า หากพบว่ายางเสื่อมสภาพ มีการเปื่อยหรือขาดขึ้นมา ก็ควรที่จะรีบนำรถเข้าอู่ทันที เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญช่วยเปลี่ยนขอบยางกระจกให้ใหม่
  6. แต่ถ้าหากว่าลองทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดแล้ว กลับพบว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหากระจกรถเปิดไม่ได้ กระจกรถปิดไม่ได้ หรือกระจกรถไม่ขึ้น ก็ควรรีบนำรถไปตรวจเช็กอย่างละเอียดอีกครั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่อู่หรือศูนย์บริการจะดีที่สุด เพื่อรีบแก้ไขปัญหาก่อนที่จะเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ในภายหลัง

ประโยชน์ของกระจกรถไฟฟ้ามีอะไรบ้าง?

สำหรับกระจกรถยนต์ไฟฟ้าในทุกวันนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาในรถยนต์แทบจะทุกรุ่น เพราะว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะคอยอำนวยความสะดวก และเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่เข้ามาแทนที่กระจกรถยนต์แบบมือหมุนในอดีตที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเปิดปิดกระจกรถยนต์ทั้งทางฝั่งคนขับและทางฝั่งผู้โดยสารด้วย ซึ่งทางผู้ขับขี่และผู้โดยสารก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกแรงในการหมุนอีกต่อไป โดยเฉพาะทางฝั่งของคนขับที่จะต้องมีการจ่ายค่าทางด่วน มีการซื้อของ มีการรับของ หรือมีการรับบัตรจอดรถ อีกทั้งตัวกระจกไฟฟ้าก็จะมีแผงควบคุมการเปิดปิดประจำอยู่ที่ประตูรถยนต์ในทุกบาน และแผงควบคุมทั้ง 4 บานก็จะอยู่ที่ทางฝั่งคนขับอีกด้วย และนอกจากนี้ก็ยังมีปุ่มล็อกกระจกรถ เพื่อช่วยป้องกันอันตรายในยามที่มีผู้โดยสารเป็นเด็กเล็ก แต่ถึงอย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีจะให้ความสะดวกสบายเรามากเพียงใด มันก็จะต้องแลกมาด้วยปัญหาการใช้งานที่จุกจิกและมักจะเกิดได้ง่ายกว่ากระจกรถแบบมือหมุนในอดีต ทั้งนี้ก็เพราะกลไกภายในนั้นมันจะประกอบไปด้วยระบบไฟฟ้า เครื่องมอเตอร์ และฟันเฟืองต่าง ๆ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งชำรุดหรือสึกหรอไป ก็อาจทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ

แนวทางในการดูแลรักษากระจกรถยนต์ มีอะไรบ้าง?

  • หมั่นเลื่อนกระจกรถขึ้น-ลงบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ระบบนี้เกิดการความขัดข้องในอนาคต
  • หมั่นตรวจเช็กสภาพของขอบยางกระจกรถอยู่เสมอว่ายังอยู่ในลักษณะที่เป็นปกติอยู่หรือไม่ เพราะถ้าหากพบว่ายางเริ่มเสื่อมสภาพ มีการเปื่อยขาด หรือหลุดออกจากขอบ แบบนี้ก็ควรที่จะรีบนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญช่วยเปลี่ยนให้ใหม่จะดีที่สุด
  • หมั่นทำความสะอาดและตรวจเช็กว่ามีเศษขยะชิ้นเล็ก ๆ เข้าไปติดอยู่ในขอบยางกระจกหรือไม่ เพื่อป้องกันการทำงานที่ขัดข้องของกระจกรถนั่นเอง

ในกรณีที่กระจกรถยนต์เสียหาย แบบนี้ทางประกันภัยจะรับเคลมไหม?

ถ้าหากว่ากระจกรถนั้นเกิดการสึกหรอไปตามสภาพการใช้งาน หรือว่าเกิดปัญหาโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ในส่วนนี้ทางบริษัทประกันภัยจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองหรือจะไม่ได้รับเคลมให้ แต่ถ้าเกิดว่ามีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุหรือว่าภัยธรรมชาติ ในกรณีนี้ทางบริษัทประกันภัยก็จะมีการรับเคลมให้ตามปกติ เนื่องจากว่าอยู่ในความคุ้มครองของแผนกรมธรรม์ นั่นก็คือจะคุ้มครองในส่วนที่เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุหรือจากภัยธรรมชาติเท่านั้น จึงแนะนำสำหรับใครที่ต้องการอยากจะได้รับความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุด ว่าให้เลือกทำเป็น ประกันภัยรถยนต์ ที่เป็นแผนกรมธรรม์ชั้น 1 ไปเลย เพราะไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากสาเหตุอะไร ทางบริษัทประกันภัยก็จะให้ความคุ้มครองคุณได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้อีกด้วย

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองรถผู้ทำประกัน
ประเภทประกันภัย
ชั้น 1
ชั้น 2+
ชั้น 2
ชั้น 3+
ชั้น 3
ชนแบบมีคู่กรณีชนแบบมีคู่กรณี
x
x
ชนแบบไม่มีคู่กรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี
x
x
x
x
ไฟไหม้ไฟไหม้
x
x
รถหายรถหาย
x
x
ภัยธรรมชาติภัยธรรมชาติ
x
x
ช่วยเหลือ 24 ชม. ช่วยเหลือ 24 ชม.
x
x
x
ซื้อประกันรถยนต์   
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
คลิก
ความคุ้มครองอื่นๆ ครอบคลุมทุกชั้นประกัน
คุ้มครองคู่กรณี และทรัพย์สินคู่กรณี
อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลที่สาม
คุ้มครองชิวิตบุคคลที่สาม
คุ้มครองชีวิตผู้ขับขี่
ค่ารักษาพยาบาลตัวผู้ขับขี่
การประกันตัวผู้ขับขี่

คำถามและข้อสงสัยที่พบบ่อย

ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

การมีประกันภัยรถยนต์ไว้จะช่วยทำให้ผู้ขับขี่นั้นเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น เพราะเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในอนาคตนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าหากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราก็จะได้รับความคุ้มครองค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้จากประกันภัยรถยนต์ที่เราได้ทำเอาไว้ ซึ่งก็จะแนะนำให้เลือกทำเป็น ประกันภัยชั้น 1 เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าเรายังจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วย และจะยังได้รับความคุ้มครองสำหรับการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ค่าซ่อมสีรถ ในกรณีที่รถนั้นเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาจากการเฉี่ยวชนของคู่กรณีอีกด้วย และถ้าหากว่าเราจะดูเฉพาะแค่เรื่องความคุ้มครองของยางรถยนต์ จะเห็นได้ว่าประกันชั้น 2+ และ 3+ นั้นจะสามารถเคลมได้เฉพาะในกรณีที่เกิดความเสียหายจากรถชนรถเท่านั้น ส่วนประกันภัยชั้น 2 และ 3 จะไม่สามารถเคลมได้นั่นเอง

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

นอกจากคุณจะได้รับแผนประกันภัยที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของคุณแล้ว ในเรื่องของราคาก็คุ้มค่ามากเช่นเดียวกัน เพราะแรบบิท แคร์ เรามีข้อเสนอจากบริษัทชั้นนำที่จะให้คุณได้เลือกสรรแบบหลากหลาย อีกทั้งยังมีสิทธิประโยชน์เฉพาะที่แรบบิท แคร์ มาให้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความอุ่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกับรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่เว็บไซต์ แรบบิท แคร์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา