Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้
info

💙 แจก Starbuck Voucher มูลค่า 800 บาทฟรี! เพียงเปิดบัญชี Webull ผ่านช่องทางของ Rabbit Care สนใจ คลิก! 💙

เลือกประกันสุขภาพที่ใช่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา

เปรียบเทียบแผนง่าย
ไม่ต้องติดต่อตัวแทนขายประกัน

ข้อมูลส่วนตัวของท่านปลอดภัยแน่นอน

โรคที่ประกันสุขภาพไม่คุ้มครองมีอะไรบ้าง
user profile image
เขียนโดยNok Srihongวันที่เผยแพร่: May 20, 2024

ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร สามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม?

ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร?

ซีสต์ (cyst) คือ ถุงน้ำที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย โดยจะเกิดขึ้นได้จากหลากหลายภาวะ ยกตัวอย่างเช่น เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จนส่งผลทำให้เกิดถุงน้ำที่บรรจุของเหลวด้านในสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีของช็อกโกแลต จึงทำให้เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “ช็อกโกแลตซีสต์” (chocolate cyst) นั่นเอง ซึ่งช็อกโกแลตซีสต์นั้นนับว่าเป็นอาการเรื้อรังที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพราะว่าอาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นมาได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพและสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อจะได้หาวิธีป้องกันช็อกโกแลตซีสต์ได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น

ช็อกโกแลตซีสต์ เกิดจากอะไร?

จากข้อมูลในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลสมิติเวชได้กล่าวถึงความหมายของช็อกโกแลตซีสต์ไว้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (chocolate cyst) เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ซึ่งจะเกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกไปเป็นประจำเดือนนั้นไหลย้อนกลับไปทางท่อนำไข่ และเข้าไปในช่องท้องกับอุ้งเชิงกราน จึงทำให้เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนั้นไปฝังตัวและเจริญเติบโตจนกลายเป็นถุงน้ำ โดยภายในจะถูกบรรจุไปด้วยของเหลวคล้ายกับเลือดประจำเดือน พอนานวันยิ่งสะสมไปเรื่อย ๆ จึงมีสีที่เข้มขึ้นคล้ายกับสีของช็อกโกแลตนั่นเอง โดยช็อกโกแลตซีสต์ส่วนมากมักจะพบว่าเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญเติบโตอยู่ในบริเวณผิวด้านนอกของมดลูกและในบริเวณใกล้เคียง เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ และเยื่อบุช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน อีกทั้งช็อกโกแลตซีสต์มักจะพบมากในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20-40 ปี ดังนั้นหากคุณมีอายุอยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ และปกติไม่เคยปวดท้องประจำเดือนมาก ๆ มาก่อน แต่แล้วก็กลับมีอาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกเดือน ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจจะมีโอกาสเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาโดยด่วนจะดีที่สุด

ใครมีโอกาสเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้บ้าง?

  • ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาในรอบสั้น ๆ โดยเฉพาะรอบห่างของประจำเดือนที่น้อยกว่า 27 วัน
  • ผู้หญิงที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย
  • ผู้หญิงที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเยื่อพรหมจรรย์ หรือมีความผิดปกติที่ปากมดลูก
  • ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมานานมากกว่า 7 วันต่อครั้ง
  • มีสมาชิกในครอบครัวที่เคยเป็นช็อกโกแลตซีสต์ เช่น แม่ ป้า ยาย พี่สาว เป็นต้น

ช็อกโกแลตซีสต์ อาการมีอะไรบ้าง?

  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน และจะปวดมากขึ้นในทุกๆ เดือน
  • มีบุตรยาก เพราะท่อนำไข่ตีบตันจนทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • มีอาการเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดท้องประจำเดือนมากจนเป็นลม
  • มีอาการลำไส้แปรปรวน ท้องอืด หรือท้องเสีย
  • อุจจาระเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปวดจุกเสียดในช่องท้อง
  • ปวดหลัง ปวดร้าวลงขา
  • ปวดท้องมากเวลาขับถ่าย
  • มีอาการเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์

ช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม?

ส่วนใหญ่แล้วช็อกโกแลตซีสต์มักจะมีขนาดที่เล็ก และไม่ค่อยเป็นอันตรายมากนัก ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับผู้ป่วยในแต่ละคนด้วยว่าจะมีอาการมากหรือน้อยเพียงใด

ช็อกโกแลตซีสต์ รักษาอย่างไร?

ส่วนใหญ่การรักษาช็อกโกแลตซีสต์มักจะเป็นการใช้ยาและการผ่าตัด โดยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นและความประสงค์ในการมีบุตรของผู้ป่วยด้วย ดังนี้

1. การรักษาโดยการใช้ยา

สามารถแบ่งตัวยาออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.1 ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non Steroidal Anti-Inflammatory Drugs)

หรือที่เรียกกันแบบย่อว่าเป็นยา NSAIDs ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องน้อย หรือปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนที่ไม่รุนแรง ซึ่งตัวอย่างยาที่นิยมใช้ก็จะมียา Ibuprofen หรือยา Naproxen เป็นต้น

1.2 ยาฮอร์โมนเพศหญิง (Hormone Therapy)

จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องมาก และไม่ได้วางแผนการตั้งครรภ์ในระยะอันใกล้นี้ โดยแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาฮอร์โมนเพศหญิงไปก่อน เพื่อช่วยเพิ่มหรือลดฮอร์โมนในช่วงที่เป็นประจำเดือน และอาจจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเยื่อบุมดลูกด้วย ซึ่งตัวยานี้จะไปชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์ให้ช้าลง และจะช่วยป้องกันการฝังตัวใหม่ของเซลล์เยื่อบุมดลูก ดังนั้นผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน (ตามในแต่ละบุคคล) แต่ในบางรายก็อาจจะมีอาการเกิดขึ้นได้ใหม่หลังจากที่มีการหยุดใช้ยาไป ซึ่งตัวอย่างยาที่ใช้บ่อยก็จะมียาคุมกำเนิดในรูปแบบต่าง ๆ ยากลุ่มฮอร์โมน GnRH (Gonadotropin Releasing Hormone) ยาฮอร์โมน Progestin หรือยา Danazol เป็นต้น

2. การรักษาโดยการผ่าตัด

หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ช่วยทำให้อาการดีขึ้น หรือผู้ป่วยยังคงมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจากถุงน้ำมีขนาดใหญ่จนอาจจะไปกระทบกับอวัยวะอื่น ส่วนมากแพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยนั้นรักษาโดยวิธีการผ่าตัดเพื่อนำเซลล์เยื่อบุออกจากรังไข่ และส่วนใหญ่แพทย์มักจะทำการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) มากกว่าการผ่าตัดทางหน้าท้อง เนื่องจากว่าจะทำให้รอยแผลที่เกิดจากการผ่าตัดนั้นมีขนาดเล็ก เป็นเทคนิคในการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย อีกทั้งยังสามารถมีบุตรได้ในอนาคตด้วย แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก ทางแพทย์ก็อาจจะพิจารณาให้มีการผ่าตัดมดลูกหรือผ่าตัดรังไข่ออกทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ป่วยนั้นเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนที่เร็วขึ้นกว่าปกติ พร้อมทั้งจะต้องมีการใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) เข้ามาช่วยเสริมด้วย

ช็อกโกแลตซีสต์ ห้ามกินอะไรบ้าง?

  • อาหารจำพวกปิ้งย่างต่าง ๆ
  • อาหารแปรรูป และอาหารที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ
  • อาหารจำพวกของทอด ของมัน
  • เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว หรือเนื้อหมูที่มีการฉีดสารเร่งเนื้อแดงหรือสารเร่งโต
  • อาหารที่มีรสหวาน เช่น ชา ช็อกโกแลต น้ำอัดลม เป็นต้น
  • ผักผลไม้ที่ฉีดยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเคมี

ช็อกโกแลตซีสต์สามารถกลายเป็นมะเร็งได้หรือไม่ ?

ช็อกโกแลตซีสต์มีโอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ประมาณ 1-2 % และมักจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ชนิดเบื่อบุผิว (Endothelial ovarian cancer) ได้มากขึ้น 2-3 เท่าอีกด้วย และถึงแม้ว่าช็อกโกแลตซีสต์นั้นจะไม่ใช่โรคร้ายที่อาจจะส่งผลอันตรายต่อชีวิต แต่การเป็นช็อกโกแลตซีสต์ก็มักจะไปรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงได้ไม่น้อยเลย เนื่องจากว่าจะต้องทนกับอาการปวดท้องที่หนักมาก

ช็อกโกแลตซีสต์หายเองได้ไหม?

สำหรับช็อกโกแลตซีสต์นั้นจะยังไม่สามารถหายเองได้ ดังนั้นถ้าเกิดว่ามีอาการปวดท้องขั้นรุนแรง แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป

ควรเลือกทำประกันสุขภาพแบบไหนดี เพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติม?

เนื่องจากเรื่องสุขภาพนั้นเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ หากเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาก็มักจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นการวางแผนดูแลในเรื่องของสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการเจ็บป่วยมักจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาด้วยเสมอ เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือความเสี่ยงในการใช้ชีวิตในอนาคต เป็นต้น เพราะฉะนั้นการวางแผนเลือกทำประกันสุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทำเอาไว้รองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ในอนาคต อีกทั้งยังช่วยทำให้คุณหมดกังวลเกี่ยวกับปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย

ซื้อประกันสุขภาพผ่านแรบบิท แคร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

แรบบิท แคร์ มีบริการซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ที่จะสามารถให้ความคุ้มครองในแผนประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด อีกทั้งยังมีเบี้ยประกันที่ถูกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพแบบไม่ต้องสำรองจ่าย ประกันสุขภาพรายเดือน ประกันสุขภาพรายปี ประกันสุขภาพแบบลดหย่อนภาษีได้ และประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย อีกทั้งยังมีบริการช่วยเปรียบเทียบแผนประกันที่หลากหลายจากบริษัทประกันสุขภาพชั้นนำทั่วประเทศ อาทิเช่น วิริยะประกันภัย เจนเนอราลี่ ไทยประกันชีวิต FWD LMG โตเกียวมารีนประกันชีวิต และ Aetna เป็นต้น อีกทั้งยังมีแผนประกันที่ครอบคลุมทั้งแบบบุคคลและแบบครอบครัวอีกด้วย เรียกได้ว่า ครบ จบ ในที่เดียว โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการสอบถามตัวแทนประกันสุขภาพในแต่ละบริษัทเองด้วย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ แรบบิท แคร์

ประกันสุขภาพที่ แรบบิท แคร์ แนะนำ

เติมเงินยามป่วย ประกันสุขภาพเหมาจ่ายเติมเงินยามป่วย

เหมาจ่าย

  • เบี้ยเริ่มเพียง 4 บาท/วัน คุ้มครองครบ
  • รับเงินชดเชย 1,500 บาท/วัน นาน 1 ปี
  • นอน ICU รับชดเชย 3,000 บาท/วัน นาน 30 วัน
  • ชำระเบี้ยสั้น อายุรับประกัน 16 - 60 ปี
  • ผ่าตัดใหญ่ รับเงินสูงสุด 30,000 บาท/ครั้ง
  • เสียชีวิตทุกกรณี รับเงินก้อน 300,000 บาท
  • รับเงินปลอบขวัญ 1,500 บาท/ครั้ง หลังออก รพ.
Delight Care ประกันสุขภาพเหมาจ่ายDelight Care

เหมาจ่าย

  • คุ้มครองครบ เบี้ยเริ่มต้น 53 บาท/วัน
  • เหมาจ่ายตามจริง สูงสุด 1.25 ล้าน ไม่จำกัดครั้ง
  • ค่าห้องจัดเต็ม สูงสุด 3,000 บาท/วัน 365 วัน
  • สมัครได้ ตั้งแต่อายุ 1 เดือน ถึง 60 ปี
  • พบมะเร็งลุกลาม รับเพิ่ม 1 เท่าต่อปี
  • คุ้มครองชีวิตเต็มที่ รับสูงสุด 150,000 บาท
  • นอนรพ.ทั่วไทย ไม่ต้องจ่ายก่อน
ยูนิเวอร์แซลพลัสยูนิเวอร์แซลพลัส

สุขภาพและอุบัติเหตุ

  • เบี้ยเริ่มต้นแค่ 19 บาท/วัน
  • เบี้ยไม่แพง สมัครได้ตั้งแต่ 16-60 ปี
  • คุ้มครองอุบัติเหตุ ไม่คาดฝัน 300,000 บาท
  • ครอบคลุมค่าผ่าตัด คุ้มครองสูงสุด 200,000 บาท
  • ค่าห้อง-ค่าอาหาร คุ้มครองสูงสุด 8,000/คืน
  • ค่ารักษาจ่ายตามจริง สูงสุด 2 ล้าน/ครั้ง
  • ช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. พร้อมรถพยาบาล
วิริยะ คลาสสิค บาย บีดีเอ็มเอส ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุวิริยะ คลาสสิค บาย บีดีเอ็มเอส

สุขภาพและอุบัติเหตุ

  • นอนรพ. ค่ารักษาเหมาจ่าย ไม่จำกัดครั้ง
  • รักษามะเร็งทุกระยะ คุ้มครอง 50,000 บาท/ปี
  • นอน รพ. คุ้มครองค่าห้อง 6,500 บาท/วัน
  • สมัครได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน - 65 ปี ไม่มีตรวจสุขภาพ
  • แคร์ผู้ป่วยใน คุ้มครองสูงสุด 800,000 บาท
  • คุ้มครอง OPD 2,500 บาท/วัน ซื้อเพิ่มได้
  • สบายกระเป๋า รักษา รพ. BDMS ไม่ต้องจ่ายก่อน

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา