Rabbit Care Logo
ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ในการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งาน และเพื่อเก็บข้อมูลสถิติ ท่านสามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นโยบายคุกกี้

กฎหมายท่อไอเสียรถยนต์ รถท่อดัง ที่ควรรู้?

ในสังคมมนุษย์นั้นจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบทางสังคมหรือกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ เพื่อช่วยให้มนุษย์เราไม่ออกนอกลู่นอกทางหรือปฏิบัติตัวโดยไร้ข้อกำหนด เพราะการที่สังคมมีการจัดระเบียบขึ้นมานั้นจะถือว่าเป็นการช่วยให้มนุษย์เราได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีการทำงานของระบบส่วนย่อยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกฎเกณฑ์หรือกฎหมายจราจรก็ต่างเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยสร้างระเบียบวินัยให้กับคนในสังคมได้เช่นเดียวกัน

เพราะถ้าหากไม่มีกฎหมายจราจร การขับขี่ก็จะมีความปลอดภัยน้อยลง อีกทั้งประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่าง ๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย เพราะฉะนั้นการทำผิดกฎจราจรทั่วไปที่ไม่ว่าจะเป็นการขับรถเร็วเกินกว่าที่กำหนด การปรับแต่งสภาพรถและอะไหล่ให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือการปรับแต่งท่อไอเสียรถยนต์ให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดเป็นกฎหมายท่อไอเสียรถยนต์ รถท่อดัง ที่ทุกควรทำความเข้าใจเบื้องต้น เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขมากยิ่งขึ้น

กฎหมายจราจรว่าด้วยเรื่องของท่อรถยนต์ที่ควรรู้?

ตามในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 คำว่า “รถยนต์” หมายถึง รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง รถยนต์บริการ รถยนต์สามล้อแบบส่วนบุคคล และรถยนต์สามล้อแบบรับจ้าง แต่จะไม่รวมรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือ Battery Electric Vehicles

กรมการขนส่งทางบกได้มีประกาศกำหนดวิธีการวัดระดับเสียงและมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์จากท่อรถยนต์ โดยจะต้องใช้เครื่องตรวจวัดระดับเสียงที่เป็นไปตามมาตรฐานของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศที่มีชื่อว่า International Electrotechnical Commission หรือ IEC ส่วนมาตรวัดความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่จะนำมาใช้ร่วมกันนั้น จะต้องมีความคลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 3% ของค่าเต็มสเกล ซึ่งจะมีการตรวจวัดระดับความดังของท่อรถยนต์จากความเร็วรอบของเครื่องยนต์ดังนี้

การตรวจวัดระดับเสียงของท่อรถยนต์จากความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายจราจร

  • รถยนต์ที่มีความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่เกิน 5,000 รอบต่อนาที ให้ตรวจวัดระดับเสียงที่ 3 ใน 4 ของความเร็วรอบที่ให้กำลังสูงสุด
  • รถยนต์ที่มีความเร็วรอบของเครื่องยนต์ 5,000 - 7,500 รอบต่อนาที ให้ตรวจวัดระดับเสียงที่ 3,750 รอบต่อนาที
  • รถยนต์ที่มีความเร็วรอบของเครื่องยนต์เกินกว่า 7,500 รอบต่อนาที ให้ตรวจวัดระดับเสียงที่ 1 ใน 2 ของความเร็วรอบที่ให้กำลังสูงสุด

มาตรฐานระดับเสียงของท่อรถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายจราจร

  • รถยนต์สามล้อ ต้องมีค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ไม่เกิน 95 เดซิเบลเอ (ไม่รวมเสียงแตรรถยนต์)
  • รถยนต์ที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ต้องมีค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ไม่เกิน 100 เดซิเบลเอ (ไม่รวมเสียงแตรรถยนต์)
  • รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ต้องมีค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ไม่เกิน 99 เดซิเบลเอ (ไม่รวมเสียงแตรรถยนต์) และจะต้องเป็นรถยนต์ที่มีน้ำหนักของรถเปล่ามากกว่า 2,200 กิโลกรัม
  • รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ต้องมีค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ไม่เกิน 95 เดซิเบลเอ (ไม่รวมเสียงแตรรถยนต์) และจะต้องเป็นรถยนต์ที่มีน้ำหนักของรถเปล่าน้อยกว่า 2,200 กิโลกรัม

วิธีการตรวจวัดระดับเสียงของท่อรถยนต์

  1. สภาพแวดล้อมที่ใช้ในการตรวจวัดระดับเสียงท่อรถยนต์นั้นจะต้องเป็นพื้นที่ราบและโล่ง ไม่มีเสียงรบกวนที่ดังเกินกว่า 85 เดซิเบลเอ โดยพื้นถนนจะต้องทำมาจากคอนกรีตหรือแอสฟัลต์ที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนเสียงได้ดี
  2. ทำการปรับมาตรระดับเสียงกับเครื่องกำเนิดเสียงมาตรฐานให้ถูกต้อง คือ ปรับวงจรถ่วงน้ำหนักไว้ที่ตัว A และเลือกลักษณะการตอบสนองของเสียงไว้ที่ Fast
  3. หลังจากนั้นให้ทำการจอดรถในตำแหน่งเกียร์ว่าง และควรเดินเครื่องยนต์มาก่อนเป็นเวลา 5 นาที ก่อนทำการตรวจวัดระดับเสียงท่อรถยนต์
  4. ตั้งไมโครโฟนให้ขนานกับพื้น โดยให้อยู่ในระดับเดียวกันกับปลายท่อไอเสียรถยนต์ (ไม่ควรวางต่ำกว่า 20 เซนติเมตร) โดยให้เป็นไปตามตำแหน่ง ดังนี้
    • ท่อไอเสียทีม 1 ท่อ ให้หันไมโครโฟนไปที่ปลายท่อไอเสีย โดยทำมุม 45 องศา และให้ห่างจากปลายท่อไอเสีย 50 เซนติเมตร
    • ท่อไอเสียมีมากกว่า 1 ท่อ โดยมีระยะห่างระหว่างท่อไม่เกิน 30 เซนติเมตร และต่อจากหม้อพักใบเดียวกัน ให้หันไมโครโฟนไปที่ปลายท่อไอเสียตัวนอกสุดของรถยนต์ โดยทำมุม 45 องศา และให้ห่างจากปลายท่อไอเสีย 50 เซนติเมตร
    • ท่อไอเสียมีมากกว่า 1 ท่อ โดยมีระยะห่างระหว่างท่อเกิน 30 เซนติเมตร และต่อจากหม้อพักใบเดียวกันหรือคนละใบ ให้ทำการหันไมโครโฟนไปที่ปลายท่อไอเสียของรถยนต์ทุกท่อ โดยทำมุม 45 องศา และให้ห่างจากปลายท่อไอเสีย 50 เซนติเมตร
    • ท่อไอเสียรถยนต์ที่อยู่ในแนวดิ่ง ให้หันไมโครโฟนชี้ขึ้นไปที่ปลายท่อไอเสียรถยนต์ในแนวดิ่งเหมือนกัน โดยให้อยู่ห่างจากปลายท่อไอเสีย 50 เซนติเมตร
  5. หลังจากนั้นให้ทำการเร่งเครื่องยนต์ช้า ๆ จนได้ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่คงที่ โดยความเร็วรอบของเครื่องยนต์นี้จะสามารถคลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 5% ของการตรวจวัดระดับเสียงของท่อรถยนต์
  6. ทำการตรวจวัดระดับเสียงของท่อรถยนต์ 2 ครั้ง และให้ถือเอาค่าที่สูงสุดมาใช้เป็นค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ที่วัดได้
  7. ถ้าหากว่าค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์ที่วัดได้ทั้ง 2 ครั้งนั้นต่างกันเกินกว่า 2 เดซิเบลเอ ให้ทำการเริ่มต้นตรวจใหม่ทั้งหมด
  8. ระหว่างการอ่านค่าระดับเสียงของท่อรถยนต์นั้นจะต้องไม่มีบุคคลหรือสิ่งกีดขวางที่อยู่ภายในระยะ 50 เซนติเมตร ของไมโครโฟนและปลายท่อไอเสียรถยนต์

ลักษณะของท่อไอเสียแบบใดที่ถือว่าผิดกฎหมาย?

  • มีการเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง หรือแปรสภาพท่อไอเสียรถยนต์ให้แตกต่างไปจากเดิมที่เคยได้มีการจดทะเบียนไว้
  • ท่อรถยนต์ที่มีระดับเสียงที่ดังเกินกว่าที่กฎหมายจราจรกำหนดไว้

รถท่อดังปรับเท่าไหร่ 2565?

ตามกฎหมายจราจรที่ว่าด้วยเรื่องของท่อรถยนต์ข้างต้น จะพบว่าท่อรถยนต์นั้นไม่ควรจะมีระดับเสียงที่ดังเกินกว่า 95 เดซิเบลเอ เพราะถ้าหากว่าท่อรถยนต์นั้นมีเสียงที่ดังเกินไปหรือมีการฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ก็จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท

โทษของการที่รถท่อดัง?

  • สร้างความเดือดร้อนและความรำคาญให้แก่ผู้อื่น
  • รถท่อดัง ผิดกฎหมายจราจรในเรื่องของระดับเสียงที่ดังเกินกว่าค่าที่กำหนด
  • จะต้องเสียค่าปรับตามที่กฎหมายจราจรกำหนดไว้คือ 1,000 บาท

ถ้าหากว่ารถยนต์มีการปรับแต่งท่อไอเสียมา บริษัทประกันภัยจะรับทำประกันไหม?

สำหรับรถยนต์ที่มีการปรับแต่งท่อไอเสีย ทางบริษัทประกันภัยยังคงรับทำ ประกันภัยรถยนต์ ให้อยู่ เพียงแต่การปรับแต่งท่อรถยนต์นั้นจะต้องไม่ผิดกฎหมายจราจร คือ ห้ามท่อรถดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ห้ามดัดแปลงท่อรถยนต์ให้แตกต่างไปจากที่จดทะเบียนรถยนต์ไว้ เป็นต้น

และถ้าหากว่าได้มีการทำประกันไว้อยู่แล้ว แต่เพิ่งไปปรับแต่งท่อรถยนต์มา แบบนี้ก็ควรที่จะรีบแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยได้ทราบ เพื่อที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในการทำประกันภัยให้ถูกต้องตรงตามข้อมูลในปัจจุบัน ซึ่งการปรับแต่งรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับแต่งท่อไอเสียอาจส่งผลต่อการรับทำประกันภัยของบริษัทประกันภัย ดังนี้

1. การพิจารณาความเสี่ยง

บริษัทประกันภัยจะประเมินความเสี่ยงจากการปรับแต่งรถยนต์ ในกรณีของการปรับแต่งท่อไอเสีย อาจมีการพิจารณาว่าการปรับแต่งนั้นส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายต่อรถหรือไม่ หากบริษัทประกันภัยเห็นว่าการปรับแต่งดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงดังต่อไปนี้

  • เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้
  • เพิ่มโอกาสในการถูกตรวจสอบหรือโดนจับตามกฎหมาย บริษัทอาจปฏิเสธการรับทำประกัน หรือคิดเบี้ยประกันที่สูงขึ้น

2. ความถูกต้องตามกฎหมาย

การปรับแต่งท่อไอเสียที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย เช่น การทำให้ท่อไอเสียดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อาจทำให้รถถูกจับกุมหรือตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในกรณีนี้ บริษัทประกันอาจ ปฏิเสธการรับทำประกัน เนื่องจากรถยนต์ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางกฎหมาย หรือ ปฏิเสธการเคลม หากเกิดอุบัติเหตุในขณะรถไม่ผ่านมาตรฐาน

3. การแจ้งให้บริษัทประกันทราบ

หากมีการปรับแต่งท่อไอเสียหรือส่วนอื่น ๆ ของรถ เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งบริษัทประกันให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้บริษัทประเมินและปรับปรุงกรมธรรม์ หากไม่แจ้งและเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการเคลมได้ เพราะถือว่าผู้เอาประกันไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์

4. การปรับแต่งที่บริษัทประกันภัยอาจไม่ยอมรับ

  • การปรับแต่งที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น การเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์หรือการเปลี่ยนแปลงท่อไอเสียที่เพิ่มเสียงรบกวน
  • การปรับแต่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การใช้ท่อไอเสียที่ไม่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

5. การปรับเบี้ยประกัน

แม้ในบางกรณีที่บริษัทประกันรับทำประกันภัยสำหรับรถที่มีการปรับแต่งท่อไอเสีย บริษัทอาจปรับเพิ่มเบี้ยประกันตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับแต่งอาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายหรืออุบัติเหตุ

การปรับแต่งท่อไอเสียอาจทำให้บริษัทประกันภัย ปฏิเสธการรับทำประกัน หรือ ปรับเพิ่มเบี้ยประกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของการปรับแต่งและผลกระทบต่อความเสี่ยง หากการปรับแต่งไม่เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย หรือเพิ่มความเสี่ยงในการขับขี่ เจ้าของรถควรแจ้งบริษัทประกันเพื่อรับข้อมูลและคำแนะนำที่ชัดเจนก่อนทำประกัน

มีการปรับแต่งท่อไอเสียมา เราควรที่จะเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนดี?

สำหรับรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือมือสองก็ดี แนะนำอย่างยิ่งที่จะเลือกทำเป็น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพราะนอกจากแผนกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแบบสูงสุดแล้ว ก็ยังให้คุ้มค่ามากที่สุดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติ จากการชนแบบรถชนรถ หรือรถชนคน เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจมากที่สุดและเพื่อที่ตัวเราเองจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลทุกครั้งที่ขับรถ การเลือกทำประกันภัยชั้น 1 จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นจึงหมั่นต่อประกันไว้อย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาด เพียงเท่านี้เราก็สามารถอุ่นใจได้ทุกครั้งในการขับขี่

ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแรบบิท แคร์ จะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

นอกจากแรบบิท แคร์ จะมีบริการหลังการขายแบบ Exclusive ตลอด 24 ชั่วโมงให้กับลูกค้าทุกท่านแล้ว ทางแรบบิท แคร์ ก็ยังมีระบบเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยรถยนต์จากบริษัทชั้นนำของประเทศ ให้ได้เลือกสรรมากมายตามความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อให้เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ขับขี่ได้มากที่สุด และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณทุกเมื่อ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับการดูแลหลังการขาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ แรบบิท แคร์ หรือโทรขอคำปรึกษาได้ที่ Care Center เบอร์ 1438 แรบบิท แคร์ เพราะเราแคร์คุณยิ่งกว่าใคร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ความคุ้มครองประกันรถยนต์

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเรา