เด็กจบใหม่จะเอาชนะความไม่มีประสบการณ์ยังไงเมื่อต้องสมัครงาน
‘ไม่มีประสบการณ์’ ปัญหาหลักที่เด็กจบใหม่หลายคนต้องเจอเวลาหางาน เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ที่มองหาพนักงานก็มักจะมองหาคนที่มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เพราะจะได้ไม่ต้องมาคอยสอนหรือคอยแนะนำงานมาก ซึ่งตรงนี้เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กจบใหม่หลายคนถูกปฎิเสธในการสมัครงาน แล้วถ้าเรากำลังเจอกับสถานการณ์นี้อยู่ควรทำยังไง บทความนี้จาก JobThai เลยอยากมาแนะนำ 4 เรื่องที่เด็กจบใหม่ควรทำเพื่อเอาชนะความไม่มีประสบการณ์
เล่าประสบการณ์การทำงานในช่วงเรียน
ก่อนจะส่งใบสมัครงานข้อมูลแรกที่เราควรรวบรวมก็คือประสบการณ์การทำงานต่าง ๆ ที่จะทำให้ HR ได้ทำความรู้จักเรามากขึ้น ถึงแม้เด็กจบใหม่อาจไม่เคยได้ทำงานมาก่อน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่พูดถึงประสบการณ์ของเราไปเลย เพราะช่วงการเรียนของหลาย ๆ คนคงต้องเคยผ่านการฝึกงานหรือการทำงาน Part-time ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบในการหางานของเรา หากเรามีประสบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เรากำลังจะสมัคร ก็สามารถนำมาเขียนไว้ในเรซูเม่ได้เหมือนกัน เพราะการฝึกงานก็เหมือนการที่เราได้ลงไปทำงานจริง ๆ ได้ฝึกฝนตัวเอง และต่อยอดสิ่งที่ได้เรียนมา
ในขณะที่การทำงาน Part-time ก็จะเพิ่มประสบการณ์จากการทำงานจริง แม้งานที่เราเคยทำช่วงเรียนจะไม่ได้ทำงานตรงกับสายงานที่เราจะสมัคร แต่เราก็ยังได้ทักษะที่เป็น Soft Skills ต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งจะทำให้ Resume ของเราจะโดดเด่นกว่าเพื่อนนักศึกษาจบใหม่คนอื่น ๆ แน่นอน
เขียน Cover Letter และ Resume ให้ดึงดูด
Cover Letter เป็นสิ่งแรกที่จะบอกให้ HR รับรู้ถึงประสบการณ์การทำงาน หรือการฝึกงานที่ผ่านมาของเราเบื้องต้น ในขณะที่เรซูเม่เป็นสิ่งที่จะทำให้ HR ได้ทำความรู้จักกับเราเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การเรียน การฝึกงาน การทำงาน Part-time หรือทักษะต่าง ๆ ที่เรามี แต่สิ่งที่เด็กจบใหม่หลายคนทำผิดพลาดก็คือ ไม่ใส่ประสบการณ์ด้านอื่น ๆ นอกจากการเรียนเลย ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเรียกมาสัมภาษณ์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะทำงานเล็กน้อยแค่ไหน ก็สามารถใส่ลงไปในเรซูเม่หรือ Cover Letter ได้ เราอาจลองพิจารณาจากงาน Part-time หรือการฝึกงานของตัวเอง แล้วเขียนอธิบายถึงหน้าที่ที่เราทำและทักษะที่เราได้รับมา เพื่อ HR จะได้รู้จักตัวตนของเรามากที่สุด ที่สำคัญก่อนส่งเอกสารเพื่อสมัครงานทุกครั้ง ‘อย่าลืมตรวจเช็กคำผิดก่อนส่งเสมอ’
เทคนิคในการเขียน Cover Letter และ Resume
- Cover Letter เราควรเขียนแนะนำตัวเองเบื้องต้น และเล่าถึงทักษะและความสามารถที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตำแหน่งที่จะสมัครได้
- Resume เขียนรายละเอียดที่เกี่ยวกับตัวเองให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล ข้อมูลส่วนตัว จุดมุ่งหมายในอาชีพ ประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และอีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ในการติดต่อกลับ
แสดงทักษะให้มากที่สุดในห้องสัมภาษณ์
เมื่อได้รับโอกาสในการสัมภาษณ์แล้ว สิ่งที่เราควรทำในขั้นตอนนี้ก็คือการแสดงความเป็นมืออาชีพของเราให้ได้มากที่สุด และแสดงออกให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าเราอยากได้งานนี้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้านเกี่ยวกับองค์กร แสดงออกถึงความรู้ในสายอาชีพของตัวเอง และแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาระหว่างการสัมภาษณ์ด้วย เพราะบางครั้งคนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ต้องการจะรู้แค่ว่าเรามีความสามารถอะไร แต่เขาก็อยากรู้ด้วยว่าเรามีนิสัยยังไงและเข้ากับทีมได้หรือเปล่า
นอกจากนี้ก็ยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการส่งอีเมลตอบรับการสัมภาษณ์หรือไปก่อนเวลาสัมภาษณ์สัก 15-30 นาที และการรักษามารยาทที่ดีในการทักทายผู้สัมภาษณ์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน
เรื่องที่ต้องระวังในวันสัมภาษณ์งาน
หนึ่งเรื่องที่คนทำงานหลายคนมักทำพลาดในวันสัมภาษณ์งานคือการคิดว่าโกหกไปก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่มาสัมภาษณ์เราเขาก็ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ผ่านการสัมภาษณ์มาเป็นจำนวนมากแล้วทั้งนั้น พวกเขาเลยจะดูออกทันทีว่าคนไหนพูดความจริงหรือคนไหนกำลังโกหก
เรียนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ใบ Certificate หรือใบรับรอง
นอกจากนี้การเรียนเพิ่มเติมและการได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ในการทำงานก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้องค์กรรับรู้ว่าเราเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งคอร์สเรียนฟรีและคอร์สเรียนที่เสียค่าใช้จ่ายที่เราสามารถลงทะเบียนและเรียนได้เลยภายในไม่กี่นาที และใบรับรองหลังการเรียนหรือผลทดสอบต่าง ๆ จะทำให้เรากลายเป็นผู้สมัครที่น่าสนใจ นอกจากนี้หากเราได้ไปเรียนในสถาบันก็อาจทำให้เราเจอกับคอนเน็กชันใหม่ ๆที่จะนำไปสู่การได้งานในอนาคตของเราก็ได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology