ออยเกียร์คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

“ออยเกียร์” หรือออยคูเลอร์ในรถยนต์ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmission Oil Cooler) จะมีหน้าที่ในการระบายความร้อนสะสมในน้ำมันเกียร์ให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และจะช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเกียร์ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดอุณหภูมิสะสมภายในห้องเครื่อง ลดการสึกหรอของอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง ๆ และรวมไปถึงระบบเกียร์

จากข้อมูลในเว็บไซต์ของ autogenius247 ได้ให้ข้อมูลเรื่องประเภทของออยเกียร์ ไว้ว่าจะมีทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. ออยเกียร์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

จะเป็นออยเกียร์ที่ฝังมากับหม้อน้ำ โดยที่น้ำมันเกียร์จะไหลผ่านออยเกียร์เพื่อระบายความร้อนไปกับน้ำในหม้อน้ำ และออยเกียร์ประเภทนี้มักจะอยู่ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ที่ได้มีการถูกติดตั้งมาแล้วจากทางโรงงานของค่ายรถยนต์

2. ออยเกียร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ

หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ออยเกียร์แยก” จะเป็นออยเกียร์ที่มีตัวแยกออกมาจากหม้อน้ำ ที่ส่วนมากทางค่ายรถยนต์มักจะไม่ได้ทำการติดตั้งมาให้อยู่แล้ว แต่อาจจะมีติดตั้งมาในรถยนต์บางค่ายเท่านั้น โดยออยเกียร์ประเภทนี้มักจะติดตั้งอยู่บริเวณช่องรับลม กระจังหน้า หรือบริเวณอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ดังนั้นเมื่อน้ำมันเกียร์ไหลผ่าน ตัวแผงออยแยกก็จะมีการระบายความร้อนไปกับลมด้วย จึงสามารถติดตั้งได้ทั้งระบบเกียร์ AT และระบบเกียร์ CVT

ดังนั้นรถยนต์ที่ติดออยเกียร์แยกแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถซิ่ง หรือรถที่มีการโมดิฟายเครื่องยนต์มาแล้ว เนื่องจากว่ามีการสะสมความร้อนสูง การติดออยแยกจึงจะช่วยลดความร้อนภายในห้องเครื่อง ลดการสึกหรอภายในระบบเกียร์ และลดอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปหรือรถใหม่ ทางค่ายรถยนต์จะมีการออกแบบในด้านของการทำงาน และการระบายความร้อนที่เหมาะสมกับรถเอาไว้อยู่แล้ว เลยอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งออยเกียร์แยกเพิ่ม ถ้าหากว่ารถยนต์ไม่ได้ใช้ความร้อนสูงเหมือนรถที่โมดิฟายมา เพราะฉะนั้นการติดออยเกียร์แยกหรือว่าใช้ออยเกียร์เดิม จึงจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งานรถยนต์นั่นเอง

จริง ๆ แล้วสำหรับออยคูเลอร์ (Oil Cooler) นั้นจะมีหน้าที่ทำให้น้ำมันเย็นลง หรือช่วยระบายความร้อนของน้ำมันเครื่องที่หมุนเวียนอยู่ภายในเครื่องยนต์หรือเกียร์อัตโนมัติ เพื่อให้ได้อุณหภูมิของน้ำมันที่เหมาะสมกับการทำงานในรถยนต์ระบบนั้น ๆ โดยจะมีชื่อเรียกตามระบบเกียร์ของรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ หากใช้ในรถยนต์ระบบหล่อลื่นจะเรียกว่าออยน้ำมันเครื่อง หากใช้ในรถยนต์ระบบเกียร์อัตโนมัติจะเรียกว่าออยเกียร์นั่นเอง และนอกจากนี้ผู้ขับขี่ควรจะต้องดูความเหมาะสมของการติดตั้งออยเกียร์แยกเพิ่มด้วย เนื่องจากระบบเกียร์รถยนต์นั้นก็จะมีการทำงานได้เป็นอย่างดีในสภาวะตามปกติอยู่แล้ว เพราะว่ามีหม้อน้ำและพัดลมเป็นตัวรักษาอุณหภูมิให้คงที่ บวกกับทางวิศวกรก็ได้มีการคำนวณอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการติดตั้งออยเกียร์แยกเพิ่มเติมเข้าไปอีก

และนอกจากนี้ ในเรื่องอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ออโต้ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการทำงานของเกียร์อีกด้วย ได้แก่

• หากมีการรักษาอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ไม่ให้เกิน 80 องศาเซลเซียส ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์เพิ่มไปได้อีกมากกว่าหรือประมาณ 100,000 กิโลเมตร
• แต่ถ้าหากว่าปล่อยให้มีอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์เกิน 126 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้ซีลยางต่าง ๆ เริ่มแข็งตัว เนื่องจากซีลยางปกติจะสามารถรองรับอุณหภูมิได้ไม่เกิน 100 องศาเซลเซียสเท่านั้น จึงทำให้มีน้ำมันซึมออกมาตามซีลยางต่าง ๆ นั่นเอง
• หากปล่อยให้มีอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์เกิน 146 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้คลัตช์ลื่นแบบจับไม่อยู่ แผ่นคลัตช์เริ่มเสียหายมากขึ้น และจะมีอาการกระตุกหรือไม่ราบรื่นในขณะที่กำลังเปลี่ยนเกียร์ เนื่องจากแผ่นคลัตช์ที่เริ่มเกิดความเสียหาย และท้ายที่สุดก็จะทำให้เกียร์พังด้วย
• และถ้าหากปล่อยให้มีอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์เกิน 157 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้คลัตช์และซีลยางต่าง ๆ เกิดความเสียหายขึ้นทั้งหมด และจะไม่สามารถใช้งานเกียร์ได้อีกต่อไป จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนและอะไหล่ภายในเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รถยนต์กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

• รถยนต์ที่โมดิฟายมาแล้วมีการวางเครื่องใหม่และทำหม้อน้ำใหม่ การติดตั้งออยเกียร์แยกเข้าไปก็จะทำให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ในหม้อน้ำได้ อีกทั้งยังช่วยลดการเดือดของน้ำ ลดอุณหภูมิสะสมภายในห้องเครื่อง และยังช่วยทำให้พัดลมทำงานได้น้อยลงอีกด้วย
• จะช่วยป้องกันการเกิดเหตุการณ์น้ำมันเกียร์รั่วเข้าไปในหม้อน้ำได้ เนื่องจากมีการติดตั้งออยเกียร์แยกไว้ด้านนอกหม้อน้ำแล้ว
• รถยนต์ที่มีการวางเครื่องเทอร์โบที่มีอุณหภูมิสูง รถที่มีการดัดแปลงสภาพ หรือรถที่ใช้ในงานลากจูง เหมาะสมมากที่จะต้องติดตั้งออยเกียร์แยก เพราะจะช่วยลดความร้อน ลดอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ยืดอายุน้ำมันเกียร์ และช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในระบบเกียร์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะสามารถยื่นเคลมได้เฉพาะในกรณีที่เป็นความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นมาจากการเสื่อมสภาพของการใช้งาน ทางบริษัทประกันภัยก็จะไม่สามารถรับเคลมให้ได้ แต่ก็จะมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอยากจะได้รับความคุ้มครองในส่วนของอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ คือการทำประกันอะไหล่รถยนต์ควบคู่กันไปกับการทำ ประกันภัยรถยนต์ เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายกับอะไหล่รถยนต์ขึ้นมา เราก็สามารถที่จะแจ้งเคลมได้เลย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้อีกด้วย