6 มรดกโลกแห่งใหม่จาก UNESCO ที่ไม่ควรพลาด!
เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกๆ ปีจะมีสถานที่หลายแห่งยื่นเรื่องต่อ UNESCO เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่ โดยในปีนี้องค์การ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกเพิ่มขึ้น 21 แห่ง แบ่งเป็นสถานที่ทางธรรมชาติ 3 แห่ง และสถานที่ทางวัฒนธรรม 18 แห่ง งานนี้ แรบบิท แคร์ ก็ไม่รีรอขอคัดสรร 6 แหล่งมรดกโลก ที่น่าสนใจมาให้คุณผู้อ่านได้ชมกัน
UNESCO คืออะไร ?
ยูเนสโก หรือ UNESCO มีชื่อเต็ม ๆ ว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 หน้าที่ของ UNESCO คือ
- UNESCO ต้องการพัฒนาพื้นฐานการศึกษาสำหรับทุกคนในโลก ขจัดความไม่รู้หนังสือ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาส สตรี เด็ก ชนกลุ่มน้อย คนยากจนทั้งในเมืองและชนบท ส่งเสริมการพัฒนาวิธีการใหม่ๆ
ในการให้การศึกษา - ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาและการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
- อำนวยความสะดวกในการร่วมมือเพื่ออนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่า
โดย UNESCO เป็นองค์กรสากลที่หนึ่งในหน้าที่สำคัญคือการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทั่วโลก ปัจจุบัน UNESCO ขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้วกว่า 1,157 แห่ง โดยแบ่งหัวข้อใหญ่ ๆ ออกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ หรือจะเป็นทั้งสองอย่างในที่เดียว ผสมผสานกัน ไปจนถึงพื้นที่มรดกโลกที่เสี่ยงต่อการถูกทำลาย หรือเสียหายจากการความรุนแรงของมนุษย์ และภาวะโลกร้อน
1. อุทยานแห่งชาติลอสอาแลร์เซส (Los Alerces National Park)
ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาแอนดีสในรัฐชูบุต (Chubut Province) ประเทศอาร์เจนตินา สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ทางธรรมชาติที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก จากองค์การ UNESCO โดยชื่อของอุทยานแห่งนี้มีที่มาจากต้น “อาแลร์เซ” ซึ่งขึ้นอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้
นอกจากภูมิประเทศอันงดงามแล้ว อุทยาน UNESCO แห่งนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่าง นากอุยยิน กวางเวมุล และกวางปูดู้ อีกด้วย ซึ่งสัตว์เหล่านี้พบได้ในแถบปาตาโกเนีย
2. เขตปราสาทหินสมโบร์ไพรกุก แหล่งโบราณคดีอิศานปุระ (Sambor Prei Kuk)
อิศานปุระ คือ ราชธานีของอาณาจักรเจนละ อันเรืองอำนาจในอดีต ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลายเป็นมรดกโลก UNESCO ลักษณะคือปราสาทหินตั้งตระหง่านเรียงรายให้ได้ชมที่แหล่งโบราณคดีสมโบร์ไพรกุก จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา โดยสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นที่นี่ ได้วางรากฐานให้กับงานสถาปัตยกรรมและศิลปะเขมรอันมีเอกลักษณ์ของยุคนครวัดได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นของมรดกโลก UNESCO แห่งนี้ คือ ปราสาทหินทรงแปดเหลี่ยมอันมีเอกลักษณ์ รวมถึงระเบียง ทับหลัง และหน้าบันซึ่งประดับตกแต่งอย่างงดงาม
3. กู่ล่าง-อวี่ สถานที่ตั้งรกรากของชาวต่างชาติอันเก่าแก่ (Gulangyu)
เกาะเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำจิ่วหลง นอกชายฝั่งเมืองเซียะเหมิน ประเทศจีน จุดเริ่มต้นของที่นี่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2385 ท่าเรือของเซียะเหมิน ได้เปิดให้มีการค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาที่กู่ล่าง-อวี่ จนในปี พ.ศ. 2446 ที่นี่ก็ได้กลายเป็นสถานที่ตั้งรกรากของชาวต่างชาติ
ปัจจุบันกู่ล่าง-อวี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 10 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว เกาะมรดกโลก UNESCO แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ขับขี่รถยนต์หรือแม้แต่จักรยาน คุณสามารถเดินทางไปกู่ล่าง-อวี่ได้ด้วยการโดยสารเรือข้ามฟากจากย่านใจกลางเมืองเซียะเหมินเท่านั้น
4. ตาปูตาปัวเตอา (Taputapuāte)
เขตปกครองแห่งหนึ่งบนเกาะราอีอาเตอาของเฟรนช์โปลินีเซีย ที่แห่งนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางของสามเหลี่ยมโปลินีเซีย หากคุณมาที่นี่ไม่ควรพลาดที่จะไปเขตโอโปอาโดยเด็ดขาด เพราะที่นั่นคุณจะได้พบกับ “มาไร” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งชาวมาโอฮีใช้จัดงานเฉลิมฉลองต่างๆ จัดกิจกรรมทางการเมือง และพิธีศพ
มรดกโลก UNESCO แห่งนี้ประกอบด้วยลานหินกว้าง หากมองลงไปจะเห็นทะเล แท่งหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน และทิกิ (Tiki) หรือเสารูปคนมากมาย โดยที่นี่ถือเป็นมาไรที่ใหญ่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
5. มหาวิหารและอารามอัสสัมชัญแห่งเกาะสวียาชสก์ (Sviyazhsk)
เป็นชื่อเกาะและเมืองมรดก UNESCO ในสาธารณรัฐตาตาร์สถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ที่นี่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2094 โดยพระเจ้าซาร์อีวานผู้เหี้ยมโหด เพื่อใช้เป็นเมืองหน้าด่านในการพิชิตจักรวรรดิข่านคาซาน
เดิมที่นี่ไม่ได้เป็นเกาะแต่อย่างใด แต่หลังจากที่มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำกุยบูเชฟขึ้น พื้นที่โดยรอบของเมืองแห่งนี้ก็ถูกน้ำท่วม อย่างไรก็ตามถนนเชื่อมระหว่างสวียาชสก์กับแผ่นดินใหญ่นั้นยังคงมีอยู่
ที่เกาะแห่งนี้คุณจะได้พบกับอารามอัสสัมชัญ และมหาวิหารอัสสัมชัญ ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ภายในมีภาพเขียนสีเฟรสโกดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี นับเป็นหนึ่งในภาพจิตรกรรมฝาผนังของนิกายอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ที่หาชมได้ยากอย่างยิ่ง UNESCO จึงขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพื่อเก็บรักษาวัฒนธรรมที่งดงามนี้ไว้
6. ภูมิทัศน์วัฒนธรรมโคมานี (Khomani Cultural Landscape)
ตั้งอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารี ประเทศแอฟริกาใต้ บริเวณที่ติดกับชายแดนประเทศนามิเบีย และบอตสวานา ชนเผ่าเร่ร่อนโคมานีซานถือเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนแอฟริกาใต้ ที่สำคัญชนเผ่านี้ยังรู้วิธีในการปรับตัวให้เข้ากับทะเลทรายอันแห้งแล้ง รวมถึงสภาพภูมิประเทศอื่นๆ ในบริเวณที่อาศัยอยู่อีกด้วย UNESCO จึงได้ขึ้นทะเบียนพื้นที่นี้ และชนเผ่าที่อาศัยอยู่เพื่อปกป้องสภาพธรรมชาติ และวิถีชีวิตชาวบ้าน
หากคุณต้องการสัมผัสมรดกโลก UNESCO ภูมิทัศน์วัฒนธรรมโคมานีแล้วละก็ ห้ามพลาดอุทยานแห่งชาติคาลาฮารีเจมส์บอกโดยเด็ดขาด เพราะที่นี่เขาเด็ดจริง!
และนี่คือ 6 มรดกโลกแห่งใหม่จาก UNESCO ที่ แรบบิท แคร์ คัดมาแล้วว่าคุณผู้อ่านควรที่จะไปสักครั้งในชีวิต ใครคิดไม่ออกว่าจะเริ่มไปที่ไหนดี ก็เริ่มจากสถานที่ใกล้ตัวอย่างประเทศกัมพูชาก่อนก็ได้ ได้ที่หมายในการออกเดินทางแล้ว ก็อย่าลืมเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการเดินทางด้วย ซึ่งใครอยากเพิ่มความอุ่นใจให้ทั้งทริปของคุณ แรบบิท แคร์ แนะนำ ประกันเดินทาง จากสถาบันการเงินชื่อดัง ไม่ว่าจะไปประเทศลึกลับขนาดไหนก็อุ่นใจ คลิกเลย!
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี