คู่มือเที่ยวสิงคโปร์ อัปเดต แนะนำที่เที่ยว ที่กิน คำนวณงบ รู้ครบจบในที่เดียว!
สิงคโปร์กลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวไทยแล้ว! สำหรับใครที่รอเที่ยวต่างประเทศมานาน รีบเก็บกระเป๋าเตรียมตัวไปเที่ยวกันได้เลย แต่สำหรับใครที่ยังหาข้อมูลอยู่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในสิงคโปร์ดี มีเมนูอะไรที่ต้องไปลองกินบ้าง ควรใช้งบประมาณเท่าไหร่ ไปเที่ยวสิงคโปร์เดือนไหนดี Ribbit Care ได้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาไว้ให้ทุกคนแล้ว
ข้อควรรู้ก่อนไปเที่ยวสิงคโปร์
- นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถเดินทางมาสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัวและไม่ต้องตรวจ ATK
- นักท่องเที่ยวต้องขอหลักฐานการได้รับวัคซีนและอัปโหลดเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนก่อนการเดินทาง (คนไทยสามารถขอผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อมได้โดยใช้เวลาประมาณ 3 วัน)
- นักท่องเที่ยวต้องลงทะเบียน SG Arrival Card และ Health Declaration ทางออนไลน์ภายใน 3 วัน ก่อนการเดินทาง (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
- นักท่องเที่ยวไทยสามารถอยู่ในประเทศสิงคโปร์ได้ 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า
- ในขณะนี้ประเทศสิงคโปร์ไม่มีการบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่กลางแจ้ง แต่ยังต้องใส่หน้ากากอนามัยหากอยู่ในโรงพยาบาล รถขนส่งสาธารณะ และเครื่องบิน
- สำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย สามารถเดินทางกลับเข้าไทยได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน Thailand Pass แล้ว
แนะนำที่เที่ยวสิงคโปร์ มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง?
ที่เที่ยวสิงคโปร์สำหรับคนเที่ยวครั้งแรก ถ้าไม่มาถือว่ายังมาไม่ถึง!
1. สิงโตพ่นน้ำ Merlion
มาเที่ยวสิงคโปร์ทั้งทีก็ต้องไปดูสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ซะหน่อย สิงโตพ่นน้ำหรือ Merlion ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ จะตั้งยู่ที่สวน Merlion Park ที่อ่าวมารีน่า นอกจากนี้ ผู้ที่ไปเยี่ยมชมสามารถดูการแสดงแสงสีเสียงในช่วงค่ำได้อีกด้วย โดยการแสดงจะเริ่มเวลา 20.00 น. และ 21.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี ส่วนวันศุกร์และวันเสาร์จะเริ่มเวลา 20.00 น. 21.00 น. และ 22.00 น.
ค่าเข้า Merlion Park: ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอดเวลา
2. ตึกเรือ Marina Bay Sands
ตึกเรือ Marina Bay Sands เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กที่คนมาเที่ยวสิงคโปร์จะพลาดไม่ได้ ลักษณะของตึกมีรูปร่างเหมือนเรือขนาดใหญ่ด้านบน โดยภายในมีทั้งโรงแรม ห้าง คาสิโน ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ สระว่ายน้ำลอยฟ้า และบริเวณดาดฟ้ายังมี SkyPark ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
ค่าเข้า SkyPark: ผู้ใหญ่ 26 ดอลลาร์สิงคโปร์ / ผู้สูงอายุและเด็ก 22 ดอลลาร์สิงคโปร์
เวลาเปิด-ปิด: 11.00-21.00 น.
3. สวน Garden by the Bay
ถ้ามาถึงอ่าวมารีน่าแล้ว อีกที่หนึ่งที่ต้องไปให้ได้ก็คือสวน Garden by the Bay ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่มากที่แบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ เช่น โซน Flower Dome ซึ่งมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลก โซน Cloud Forest Dome ซึ่งจำลองป่าดิบชื้นและมีน้ำตกขนาดใหญ่ และโซน Supertree Grove ซึ่งมีการแสดงแสงสีเสียงในช่วงกลางคืน เวลา 19.45 น. และ 20.45 น.
ค่าเข้า Garden by the Bay: ฟรี (ยกเว้นโซน Cloud Forest, Flower Dome และ OCBC Skyway ที่มีค่าใช้จ่าย)
เวลาเปิด-ปิด: 05.00-02.00 น.
4. สวนสนุก Universal Studio
สวนสนุก Universal Studio ตั้งอยู่บนเกาะเซ็นโตซาและเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวสิงคโปร์ที่ห้ามพลาด โดยมีเครื่องเล่นให้เลือกเล่นได้หลายโซน เช่น TRANSFORMERS The Ride: The Ultimate 3D Battle, Ancient Egypt, Shrek 4D Adventure, Jurassic Park และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงโซนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป นั่นก็คือ Minion Land นั่นเอง
ค่าเข้า Universal Studio: 61 ดอลลาร์สิงคโปร์
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวันยกเว้นวันอังคาร 11.00-18.00 น.
5. ห้าง Jewel Changi Airport
ถ้าใครตั้งใจจะไปเที่ยวสิงคโปร์โดยเครื่องบินอยู่แล้ว ห้าง Jewel Changi Airport ที่อยู่ติดกับสนามบินชางงีก็เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กของสิงคโปร์ที่ต้องแวะ ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ Rain Vortex หรือน้ำตกในอาคารที่มีความสูงกว่า 40 เมตร และ Forest Valley สวนป่าเขียวชอุ่มที่มีต้นไม้มากกว่า 2,000 ต้น นอกจากนี้ ชั้นบนยังมี Sky Nets ตาข่ายสูงที่ขึ้นไปเดินเล่นได้
ค่าเข้า: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอดเวลา
ที่เที่ยวสิงคโปร์สำหรับสายถ่ายรูป มีมุมไหนบ้างที่ต้องมาโดน
1. เขื่อน Marina Barrage
Marina Barrage คือเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับปากอ่าวมารีน่า ซึ่งบริเวณริมเขื่อนมีพื้นที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พื้นที่ออกกำลังกาย นั่งปิกนิกชมวิวอ่าว และเล่นกีฬาทางน้ำ ช่วงเย็น ๆ สนามหญ้าด้านบนจะเป็นมุมที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปมาก ๆ เพราะจะมีแบ็คดรอปเป็นตึกเรือ Marina Bay Sands สวน Garden by the Bay และชิงช้าสววรค์ Singapore Flyer
ค่าเข้า: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอดเวลา
2. สระบัว Water Lily Pond
สำหรับใครที่อยากได้รูปตึก Marina Bay Sands และสวน Garden by the Bay ในมุมที่แปลกใหม่อีกมุมหนึ่ง ต้องไม่พลาดโซนสระบัว Water Lily Pond ในสวน Garden by the Bay ตรงนี้จะมีก้อนหินที่ขึ้นไปยืนถ่ายรูปได้ แล้วก็จะได้ฉากหลังเป็นสระดอกบัวที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ รวมถึงตึก Marina Bay Sands และ Supertree Grove สีสันสดใส
ค่าเข้า: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 05.00-02.00 น.
3. สวน Fort Canning Park
สวน Fort Canning Park เป็นที่ตั้งของอุโมงค์ต้นไม้ขวัญใจช่างภาพพรีเวดดิ้งและสายถ่ายรูป มุมนี้เรียกได้ว่าเป็นมุมบังคับที่โด่งดังมากจนขนาดช่างภาพมืออาชีพยังต้องมา ส่วนการเดินทางก็ไปไม่ยาก เพียงแค่เดินมาจากสถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut ก็ถึงแล้ว
ค่าเข้า: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอดเวลา
4. อาคาร Ministry of Communications & Information (MCI)
อีกที่หนึ่งที่อยู่ใกล้กับอุโมงค์ต้นไม้ก็คืออาคาร MCI ซึ่งเป็นอาคารสีขาวที่มีการทาสีหน้าต่างไล่สีรุ้งสดใส สำหรับใครที่มองหามุมถ่ายรูปสวย ๆ ที่สิงคโปร์ มุมนี้ก็เป็นอีกมุมที่สวยทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน โดยในช่วงกลางวันก็จะเห็นสีหน้าต่างแบบชัด ๆ และตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟหลากสีให้สวยไปอีกแบบ
ค่าเข้า: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอดเวลา
5. พิพิธภัณฑ์ Art Science Museum
พิพิธภัณฑ์ Art Science Museum ก็เป็นอีกที่ที่มีมุมถ่ายรูปเยอะมาก ๆ ตั้งแต่อาคารด้านนอกที่มีรูปทรงแปลกตา ไปจนถึงนิทรรศการด้านในที่มีมุมบังคับอยู่ในส่วน Crystal Universe ที่ล้อมรอบไปด้วยไฟ LED กว่า 170,000 ดวง ถ่ายรูปออกมาแล้วได้ฟีลเหมือนอยู่ในหนัง Sci-fi เลย
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ / เด็กและผู้สูงอายุ 38 ดอลลาร์สิงคโปร์
เวลาเปิด-ปิด: 10.00-19.00 น.
ที่เที่ยวสิงคโปร์สำหรับสายกิน ย่านไหนมีอะไรเด็ดบ้าง
1. ศูนย์อาหาร Hawker Center ทุกแห่งในสิงคโปร์
ถ้าใครมาเที่ยวสิงคโปร์แล้วอยากลองชิมสตรีทฟู้ดอร่อยๆ สไตล์โลคอล ก็ไปลองกันได้ที่ศูนย์อาหาร Hawker Center ที่มีอยู่ทั่วไปในสิงคโปร์ ซึ่งที่นี่จะเป็นศูนย์รวมอาหารราคาประหยัดจากหลายเชื้อชาติ ทั้งอาหารจีน มาเลย์ อินเดีย รวมถึงของกินเล่นมากมาย ศูนย์อาหารที่แนะนำได้แก่ ศูนย์อาหาร Lau Pa Sat ที่มีเมนูเด็ดคือสะเต๊ะไก่ เนื้อวัว และกุ้ง และศูนย์อาหาร Newton Food Center ที่มีเมนูเด็ดคือปูผัดพริกที่ร้าน Alliance Seafood
2. ย่านไชน่าทาวน์ (China Town)
ย่านไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ก็เป็นอีกย่านหนึ่งที่มีของกินอร่อยเยอะมาก ๆ ทั้งร้านข้าวมันไก่ Tian Tian Chicken Rice ร้านบะกุดเต๋ Song Fah ร้านลักซา Sungei Road Trishaw และร้านขนมปังสังขยา Ya Kun Kaya Toast รับรองว่าเที่ยวสิงคโปร์ครั้งนี้ ตะลุยกินได้ทั้งวันแน่นอน
3. ย่านคลาร์กคีย์ (Clarke Quay)
ย่านคลาร์กคีย์เป็นแหล่งรวมที่เที่ยวกลางคืนและร้านอาหารหรูบรรยากาศดี ๆ หลายร้าน ซึ่งร้านอาหารที่แนะนำได้แก่ร้าน Red House Seafood และร้าน Jumbo Seafood Riverside Point สำหรับใครที่อยากหาร้านนั่งชิวต่อหลังจากกินข้าวเสร็จก็มีร้านดังอย่าง Chupitos Shots Bar ที่มีเครื่องดื่มแปลกใหม่ให้ลอง รวมถึง TheBungy Bar และ Crazy Elephant ที่มีดนตรีสดให้ฟังสบาย ๆ
4. ย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India)
สำหรับใครที่ชอบอาหารอินเดีย ต้องไปลองอาหารอินเดียสูตรดั้งเดิมที่ย่านนี้ โดยอาจจะไปที่ตลาด Tekka Center ที่มีแผงขายอาหารและร้านรวงต่าง ๆ ให้เลือกช็อปได้ หรือจะไปที่ร้าน The Banana Leaf Apolo เพื่อลองเมนูเด็ดอย่างแกงกะหรี่หัวปลาและข้าวหมกก็ได้
5. ย่านบูกิสและกัมปง กีลาม (Bugis, Kampong Glam)
ถึงแม้ว่าย่านบูกิสและกัมปง กีลามจะมีจุดเด่นอยู่ที่ตรอกฮาจิและมัสยิดสุลต่าน แต่ร้านอาหารของย่านนี้โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยมีทั้งอาหารฮาลาลและอาหารตะวันออกกลาง ไปจนถึงคาเฟ่และบาร์เก๋ ๆ อีกด้วย สำหรับใครที่ไปเที่ยวสิงคโปร์แล้วแวะไปแถวนี้ต้องลองโรตีมะตะบะที่ Zam Zam Restaurant แล้วไปจิบกาแฟกินครัวซองต่อที่ Mother Dough หรือจะไปฟังดนตรีแจ๊สที่ Blu Jaz Cafe ก็ได้
เดินทางในสิงคโปร์อย่างไรดี?
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีมาก และเราสามารถเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์ได้ทั่วเกาะด้วยรถไฟฟ้า MRT และรถบัส นอกจากนี้ การจ่ายค่าโดยสารก็ยังสะดวกมาก เพราะสามารถใช้ได้ทั้งบัตรเครดิต บัตร EZ-link และบัตร Singapore Tourist Pass (STP)
สำหรับบัตรเครดิตจะใช้ได้เฉพาะ Visa และ Mastercard เท่านั้น (และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม) ส่วนบัตร EZ-link จะเป็นบัตรโดยสารที่เราต้องเติมเงินเข้าไปก่อน แล้วจะใช้จ่ายค่าโดยสารและซื้อสินค้าในร้านบางร้านได้ สำหรับใครที่ตั้งใจจะไปหลาย ๆ ที่ อาจใช้บัตร Singapore Tourist Pass (STP) ที่เป็นบัตรแบบเหมาจ่ายรายวันสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะได้ โดยจะมีให้เลือกทั้งแบบ 1 วัน (10 ดอลลาร์สิงคโปร์) 2 วัน (16 ดอลลาร์สิงคโปร์) และ 3 วัน (20 ดอลลาร์สิงคโปร์)
ไปเที่ยวสิงคโปร์งบเท่าไหร่ดี?
สำหรับการคำนวณงบว่าเที่ยวสิงคโปร์ 2023 ต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ก็จะขึ้นอยู่กับว่าเราอยากเที่ยวสายไหน โดยในบทความนี้เราจะแบ่งการคำนวณงบเป็น 3 สายด้วยกัน และแบ่งค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ออกมาเป็น 4 ก้อน นั่นก็คือค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรม ค่าอาหาร และค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหรือกิจกรรมต่าง ๆ มาดูกันเลยว่าแต่ละสายจะใช้งบเท่าไหร่กันบ้าง
งบเที่ยวสิงคโปร์สายประหยัด
สำหรับคนที่อยากเที่ยวสิงคโปร์แบบประหยัด อันดับแรกก็คือควรจำกัดงบด้วยการนั่งสายการบิน Low-cost และถ้าเป็นไปได้ก็ควรจองตั๋วในช่วงโปร ซึ่งจะทำให้ค่าเครื่องตกอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 บาท ส่วนโรงแรม ถ้าเราเลือกโรงแรมแบบโฮสเทล ค่าใช้จ่ายก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 บาทต่อคนต่อคืน ค่าอาหารการกินถ้ากินแบบประหยัดตามร้านง่าย ๆ ก็จะตกอยู่ประมาณมื้อละ 100-200 บาท สำหรับค่าเที่ยว ถ้าเน้นเที่ยวตามสถานที่ที่ไม่เสียค่าเข้า ซึ่งในสิงคโปร์ถือว่ามีเยอะพอสมควร ก็จะประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้มาก
ดังนั้น สำหรับทริปเที่ยวสิงคโปร์ 3 วัน 2 คืนแบบประหยัดก็จะใช้งบอยู่ที่ประมาณ 6,000-9,000 บาท
งบเที่ยวสิงคโปร์สายกลาง ๆ
สำหรับใครที่อยากจะเที่ยวแบบสบาย ๆ ขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะจองเที่ยวบิน Premium Economy ราคาไป-กลับก็จะอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาท ส่วนโรงแรม ถ้าเราเลือกพักโรงแรม 3-4 ดาว ราคาก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อคนต่อคืน ค่าอาหารถ้าอัปเกรดขึ้นมาหน่อยก็จะตกอยู่ประมาณมื้อละ 500-1,000 บาท สำหรับค่าเที่ยว ถ้าไป Universal Studio สักวันหนึ่ง ไปเดินเล่นพิพิธภัณฑ์ Art Science Museum อีกนิดหน่อย ก็จะเสียค่าเข้าประมาณ 1,700 บาท
ดังนั้น สำหรับทริปเที่ยวสิงคโปร์ 3 วัน 2 คืนแบบสบายกลาง ๆ ก็จะใช้งบอยู่ที่ประมาณ 22,000-36,000 บาท
งบเที่ยวสิงคโปร์สายหรูหรา
มาดูทางสายหรูหรากันบ้าง สำหรับคนที่คิดว่าจะเที่ยวทั้งทีต้องไปให้ไปสุด ต้องการสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิต ก็มาเริ่มด้วยการนั่งเที่ยวบิน Businees Class กันไปเลย ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 23,000-35,000 บาท ส่วนโรงแรมก็พักโรงแรม 5 ดาว อย่าง Marina Bay Sands หรือ The Ritz-Carlton ราคาก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 บาทต่อคนต่อคืน ค่าอาหารถ้าต้องการกินแบบไม่ยั้ง ทั้งอาหารทะเลที่ร้าน Jumbo Seafood ไปจนถึงร้าน Fine Dining มิชลินสตาร์ 3 ดาว ค่าใช้จ่ายก็อาจจะเฉลี่ยอยู่ที่มื้อละ 3,000-7,000 บาท สำหรับค่าเที่ยว ถ้าจะไป Universal Studio แบบ VIP แล้วไปดินเนอร์บนชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer ก็จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000 บาท
ดังนั้น สำหรับทริปเที่ยวสิงคโปร์ 3 วัน 2 คืนแบบหรูสุด ๆ ก็จะใช้งบอยู่ที่ประมาณ 80,000-120,000 บาท!
ไปเที่ยวสิงคโปร์เดือนไหนดี?
เดือนที่น่าเที่ยวที่สุดจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน เพราะจะมีฝนตกน้อยที่สุด ประเทศสิงคโปร์มีลักษณะเป็นเกาะอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะร้อนชื้นคล้ายกับภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งมีฝนตกมากเกือบทั้งปีและมีอุณภูมิเฉลี่ยในแต่ละเดือนพอ ๆ กัน
แต่สำหรับใครที่กลัวร้อนอาจเลือกไปช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมที่อากาศเย็นกว่าแทนก็ได้ แต่ช่วงนี้ฝนจะตกมากเป็นพิเศษ ช่วงที่ไม่น่าเที่ยวที่สุดจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน เพราะอาจพบหมอกควันที่เกิดจากไฟป่าของประเทศอินโดนีเซียพัดมาปกคลุม
หวังว่าทุกคนคงจะได้ไอเดียคร่าว ๆ สำหรับทริปเที่ยวสิงคโปร์ กันแล้ว จะไปเที่ยวต่างประเทศทั้งที อย่าลืมหาบัตรเครดิตคุ้ม ๆ สักใบติดตัวไปด้วย จะได้ไม่พลาดสิทธิ์ประโยชน์ดีดีอย่างการแลกไมล์ การจองโรงแรมในราคาพิเศษ การรับคะแนนพิเศษเมื่อใช้จ่ายด้วยสกุลเงินต่างประเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น