6 โรคในเด็ก ที่ต้องระวัง!!! เมื่อลูกหลานคุณเปิดเทอม
วัยเด็กเป็นวัยที่ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อโดนเชื้อโรค จากผู้ใหญ่หรือจากเด็กด้วยกันในช่วงเปิดเทอม วันนี้ Rabbit Care จึงมี 6 โรคในเด็ก ที่เด็กๆ มักเป็นกันบ่อยในช่วงเปิดเทอมมาบอก เพื่อให้คุณได้เตรียมตัว และเฝ้าระวังลูกหลานให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ เหล่านี้
โดยช่วงอายุของเด็กที่เรากล่าวถึงจะอยู่ในช่วง 3-7 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะยังมีการดูแลตัวเองที่ไม่ดีนัก เอาเป็นว่าเราลองมาเช็กกันดูเลยว่าจะมีโรคอะไรกันบ้าง
ระวัง! 6 โรคในเด็ก ที่มักมาช่วงเปิดเทอม
1. โรคไข้หวัด
มาเริ่มกันที่โรคในเด็กอันแรกอย่าง โรคไข้หวัด เป็นที่รู้กันดีว่า เจ้าโรคนี้ ติดต่อกันได้ง่ายมากที่สุด โดยเฉพาะในเด็กๆ ที่อยู่ในโรงเรียน มักจะติดกันได้ง่ายกว่าปกติ เพราะไม่ว่าจะเป็น การไอ หรือจาม แค่โดนละอองน้ำมูก น้ำลาย ก็สามารถติดกันได้แล้ว
อาการเบื้องต้น : โดยทั่วไปแล้วอาการที่พบได้คือ เด็กจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ซึม ไม่ร่าเริง มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ-จาม หรือบางรายอาจจะมีอาการ ปวดท้อง ท้องเสียร่วมด้วย ซึ่งหากผู้ปกครองเห็นอาการผิดปกติเหล่านี้ ต้องรีบพาลูกหลานไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาก่อนที่อาการจะหนักมากขึ้น
วิธีป้องกัน : เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นไข้หวัดต่อลูกหลาน สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำ คือ
- ต้องรักษาความสะอาดภายในบ้านอย่างสม่ำเสมอ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน
- ดูแลสุขอนามัยของลูกหลานให้สะอาด พร้อมทั้งให้ทานอาหาร และพักผ่อนให้เพียงพอ
- ควรให้ลูกหลานได้รับวัคซีนตามที่แพทย์กำหนด
2. โรคไข้หวัดใหญ่
เมื่อเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้ว แน่นอนว่ามีสิทธิ์ที่จะเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่ได้เช่นกัน ซึ่งการเป็นไข้หวัดใหญ่ดูจะเป็นเรื่องที่หนักหนากว่าไข้หวัดธรรมดาหลายเท่านัก โดยเฉพาะการรักษาก็ต้องได้รับการดูแลที่มากกว่าไข้หวัดทั่วไปด้วย
อาการเบื้องต้น : อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ก็คล้ายๆ ไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่อาจจะรุนแรงกว่า
วิธีป้องกัน : เพราะโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนยิ่งต้องระวัง ซึ่งผู้ปกครองสามารถดูแลลูกหลานเบื้องต้นได้ ดังนี้
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ยิ่งในเด็กที่มีโรคประจำตัวยิ่งต้องให้ความสำคัญ เพราะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้
- บอกลูกหลานของคุณไม่ให้เล่น หรือคลุกคลีกับเพื่อนที่ป่วย ในทำนองเดียวกันหากลูกหลานของคุณป่วย ก็ควรให้หยุดพักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ
- สอนลูกหลานให้รู้จักดูแล ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะมือ เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรคเข้าปาก และจมูกจากการสัมผัส
3. โรคท้องร่วง
ท้องร่วงท้องเสีย เป็นอีกหนึ่งโรคที่เด็กๆ เป็นกันบ่อยไม่ว่าจะในเด็กเล็กหรือเด็กโต และก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของการป่วยและการตายของเด็กในทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเจ้าโรคนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ หรือเด็กที่มีสุขอนามัยไม่ดีพอ
อาการเบื้องต้น : สำหรับอาการของโรคท้องร่วงโดยทั่วไปเด็กจะปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ อ่อนเพลีย อาเจียน หรือมีไข้
วิธีป้องกัน : แม้ผู้ปกครองจะไม่สามารถดูแลบุตรหลานได้ตลอดเวลา แต่คุณก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและสุขอนามัยที่ดี เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้เขาได้ ดังนี้
- เรายังคงยืนยันเสมอว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานที่ดี
- ไม่ให้ลูกหลานรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารที่มีแมลงตอม
- สอนให้เขารู้จักเลือกรับประทานอาหารที่สด สะอาด
- สอนให้ลูกหลานรู้จักล้างมือบ่อยๆ ทั้งก่อน-หลังทานอาหาร และหลังการขับถ่าย
- ฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะในวัคซีนบางตัวสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคท้องร่วงได้ เช่น วัคซีนป้องกันโรต้าไวรัส
4. โรคมือ เท้า ปาก
โรคมือ เท้า ปาก อีกหนึ่งโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เป็นโรคที่เกิดกันมากในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี แต่ก็ยังสามารถพบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แต่อาการก็จะไม่รุนแรงเท่าเด็กเล็ก ซึ่งในเด็กเล็กส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้ว ก็จะต้องหยุดพักผ่อนกันยาวเลยทีเดียว
อาการเบื้องต้น : อาการที่พบได้ คือ เด็กจะมีไข้สูง ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง อ่อนเพลีย ไม่อยากทานอาหาร ที่สำคัญจะมีตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบ มีหนองที่ผิวหนังบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และภายในปาก
วิธีป้องกัน : การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ในเด็กเล็ก ผู้ปกครองสามารถทำได้ดังนี้
- เสริมสร้างสุขอนามัยในเรื่องของความสะอาดให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือให้ถูกต้อง รวมถึงไม่ให้เด็กใช้มือจับสิ่งของเข้าปาก
- ทำความสะอาดเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ใช้ของ สัมผัสของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก
- ใช้ผ้าสะอาด หรือทิชชู่ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจามจากนั้นให้ทิ้งลงถังขยะหลังใช้เสร็จแล้ว
- แยกเด็กหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคมือ เท้า ปากออกจากคนอื่นๆ เพื่อป้องกันการติดต่อ
5. โรคตาแดง
โรคตาแดง เป็นอีกหนึ่งโรคที่ต้องเฝ้าระวังในเด็ก ยิ่งช่วงเปิดเทอมเพราะโรคตาแดงนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ อีกทั้งหากรู้ช้าว่าลูกหลานของคุณเป็นโรคตาแดงก็อาจจะทำให้เด็กคนอื่นๆ ติดโรคได้
อาการเบื้องต้น : หากเด็กๆ เป็นโรคตาแดง จะมีอาการ เยื่อบุตาอักเสบ บวมแดง เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามากและแฉะ หรืออาจจะมีอาการเป็นหวัดร่วมด้วยในบางราย
วิธีป้องกัน : การป้องกันไม่ให้เด็กๆ เป็นโรคตาแดง ผู้ปกครองควรปฎิบัติดังนี้
- ห้ามลูกหลานอยู่ใกล้ หรือคลุกคลีกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคตาแดง
- ทำความสะอาดร่างกาย หรือล้างมือ บ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรค
- ไม่สัมผัส น้ำตา หรือสารคัดหลั่งต่างๆ ของผู้ป่วย ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือ ทางอ้อมอย่างการใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าห่ม ร่วมกันก็ตาม
6. อีสุกอีใส
มาถึงโรคในเด็กสุดท้ายที่เราจะพูดถึงนั่นก็คือ อีสุกอีใส โรคติดต่อทางผิวหนังที่จะทำให้มีตุ่มขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งเกิดได้กับทุกคนไม่เฉพาะในเด็กเท่านั้น ใครที่ไม่เคยเป็นก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เช่นกัน อีกทั้งโรคนี้สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วหากคุณไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี
อาการเบื้องต้น : ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ เหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ปวดหัว เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร จากนั้นจะเริ่มมีตุ่มขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการร้ายแรงเท่าไหร่นัก
วิธีป้องกัน : โรคอีสุกอีใส จริงๆ แล้วไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมากมายนัก โดยผู้ปกครองสามารถดูแลบุตรหลานได้ ดังนี้
- สำหรับการป้องกันอีสุกอีใสที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
- ดูแลลูกหลานไม่ให้สัมผัส หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นอีสุกอีใส
เพื่อลูกหลานของคุณแล้ว การดูแลสุขภาพของพวกเขา เป็นเรื่องสำคัญ คุณเองในฐานะผู้ปกครอง ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติ ความเปลี่ยนแปลงของลูกหลาน ว่ามีอะไรแปลกไปหรือไม่ มีตุ่มขึ้น เด็กซึมลงบ้างหรือเปล่า เพราะนั่นอาจจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคต่างๆ ก็ได้
ทั้งนี้เพื่อการดูแลที่ครอบคลุมแล้วการซื้อ ประกันสุขภาพ ติดไว้ให้ลูกหลาน ก็ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่าย ค่ารักษา ที่ผู้ปกครองอย่างเราๆ จะต้องจ่ายไปได้มากทีเดียวค่ะ
แต่นอกจากประกันสุขภาพแล้ว รู้ไหมคะว่าคุณยังสามารถวางแผนอนาคตให้พวกเขาได้ง่ายๆ ด้วยการทำประกัน Easy วัยเรียน จากไทยประกันชีวิต หรือจะเลือกเป็น iGrow ประกันเพื่อทุนการศึกษา จากกรุงไทย แอกซ่า ก็ได้เช่นกัน อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกเข้ามาคุยกันนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com / babimild.com / pobpad.com
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี