6 ข้อควรระวังก่อนเริ่มเล่นคริปโต
การลงทุนในคริปโตเป็นเทรนด์การลงทุนที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเศรษฐีที่ร่ำรวยจากคริปโตมาให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็มีข่าวที่หลายคนเสียเงินหรือขาดทุนย่อยยับเช่นกัน เพราะการลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงแบบนี้ Rabbit Care จึงอยากบอก 6 ข้อควรระวังก่อนเริ่มเล่นคริปโต เพื่อให้ทุกคนเริ่มลงทุนในคริปโตได้อย่างมั่นใจ
1. ระวังรู้ไม่จริง : ศึกษาข้อมูลพื้นฐานอย่างละเอียดก่อนลงทุน
ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนในคริปโต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurreny) โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจขั้นพื้นฐานว่า คริปโตคืออะไร บิทคอยน์คืออะไร คริปโตกับบิทคอยน์ต่างกันยังไง บล็อกเชนคืออะไร ซึ่งความรู้พื้นฐานของคริปโตเคอเรนซี่เหล่านี้จะช่วยให้เราหาข้อมูลต่อได้ง่ายขึ้นและตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม
คริปโตหรือคริปโตเคอเรนซี่คือสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ถึงแม้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะจับต้องไม่ได้เหมือนเหรียญหรือธนบัตรที่ใช้แลกเปลี่ยนทั่วไป แต่ก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้โดยมีมูลค่าขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
ส่วนบิทคอยน์ (Bitcoin) คือคริปโตเคอเรนซี่เหรียญแรกของโลกซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ในปัจจุบันมีเหรียญคริปโตอยู่มากถึง 10,397 เหรียญแล้ว (ข้อมูลจาก Statista เดือนกุมภาพันธ์ 2022) โดยเหรียญคริปโตอื่น ๆ ที่หลายคนอาจจะได้ยินมาบ้าง ได้แก่ อีเธอเรียม (Ethereum) ลูน่า (Luna) ดังนั้น บิทคอยน์และคริปโตจึงไม่สิ่งเดียวกัน โดยบิทคอยน์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคริปโตทั้งหมดเท่านั้น
บล็อกเชน (Blockchain) ก็เป็นอีกคำหนึ่งในวงการคริปโตที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาก่อน ซึ่งบล็อกเชนนั้นก็ไม่เหมือนก็ไม่เหมือนกับคริปโตเช่นเดียวกัน แต่เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังคริปโตเคอเรนซี่อีกทีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในวงการคริปโตเคอเรนซี่แล้ว ยังสามารถใช้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา และการขนส่งได้อีกด้วย
หลังจากนั้นก็ควรทำความเข้าใจพื้นฐานการลงทุนในคริปโต ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการลงทุนในคริปโตคือการพยายามหากำไรด้วยการซื้อเหรียญคริปโตมาในราคาหนึ่ง แล้วขายออกไปในราคาที่สูงขึ้น แต่ก็มีการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ อยู่เช่นกัน เช่น การขุดคริปโต หรือการล็อคเหรียญ (Staking) สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นคริปโต การศึกษาความรู้พื้นฐานและการลงทุนในคริปโตแต่ละแบบก่อนเริ่มลงทุนจะช่วยไม่ให้เข้าใจผิดและขาดทุนหรือโดนโกงได้
2. ระวังเหรียญหาย : โอนเหรียญไม่ระวัง เงินหาย ตามกลับมาได้ยาก
ไม่ว่าจะเลือกลงทุนคริปโตในรูปแบบไหน อีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือการจัดเก็บเหรียญ เพราะคริปโตคือสินทรัพย์ดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ การจัดเก็บจึงแตกต่างจากการเก็บเงินทองไว้ในตู้เชฟอย่างมาก โดยเหรียญคริปโตจะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล (Wallet) ซึ่งเปรียบเสมือนบัญชีธนาคารที่แต่ละบัญชีมีเลขบัญชีที่แตกต่างกัน
เมื่อเราเล่นคริปโตไปสักระยะหนึ่ง เราอาจจะอยากโอนเหรียญคริปโตที่มีไปยังบัญชีอื่นหรือแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งในการโอนเหรียญเราจะต้องระบุ Wallet Address ของบัญชีที่เราจะโอนไป และเครือข่ายของบัญชีนั้น ซึ่งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็คือการโอนเหรียญผิดบัญชีหรือผิดเครือข่าย
การโอนเหรียญคริปโตผิดบัญชีนั้นมีผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด เพราะการทำธุรกรรมด้วยคริปโตเคอเรนซี่ซึ่งใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นจะมีผลถาวร และไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้ ทำให้โอกาสที่จะได้เหรียญคืนกลับมานั้นเป็นไปได้ยาก ซึ่งต่างจากกรณีที่เราโอนเงินผิดบัญชีในธนาคารทั่วไปที่เราสามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอยกเลิกการโอนเงินได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือการโอนเหรียญผิดเครือข่าย ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบแบบเข้าใจง่ายก็เหมือนกับการที่เราพยายามโอนเงินเข้าบัญชีหนึ่ง แต่เลือกธนาคารผิด ซึ่งในกรณีของธนาคารทั่วไประบบจะแสดงข้อผิดพลาดและเงินจะไม่ถูกโอนออกจากบัญชีของเรา แต่ในกรณีของคริปโตเคอเรนซี่ เงินนั้นอาจหายไปและไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้อีก
ดังนั้น คำแนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มเล่นคริปโตคือก่อนการโอนเหรียญคริปโตทุกครั้งจะต้องตรวจสอบ Wallet Address และเครือข่ายของบัญชีให้รอบคอบ หรือถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น อาจลองโอนในจำนวนน้อย ๆ ก่อน ถ้าเหรียญเข้ากระเป๋าอีกใบได้ไม่มีปัญหา ค่อยโอนเหรียญในจำนวนที่มากขึ้น
3. ระวังความปลอดภัย : อาจสูญเสียเงินจากการแฮ็กหรือการโกงได้
คริปโตเคอเรนซี่เป็นวงการที่ยังใหม่มากและยังมีแพลตฟอร์มบางแห่งที่ไม่มีการกำกับดูแล จึงมีความเสี่ยงที่แพลตฟอร์มดังกล่าวอาจถูกแฮ็กหรือเป็นการหลอกลวง ซึ่งทำให้เสียเหรียญคริปโตทั้งหมดที่ลงทุนไปทั้งหมดได้
เหตุการณ์หนึ่งที่ใช้เป็นอุทาหรณ์ได้คือการแฮ็กแพลตฟอร์ม Mt. Gox ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมในช่วงปี 2010-2014 แพลตฟอร์มนี้ถูกแฮกเกอร์ขโมยบิทคอยน์ไปจำนวนมากถึง 840,000 BTC (มูลค่าเกือบ 6 แสนล้านบาทในปัจจุบัน) และในปัจจุบันหลังจากผ่านไป 7 ปี ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการแฮ็กแพลตฟอร์มนี้ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มชื่อ QuadrigaCX ที่เจ้าของอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่แต่กลับนำเงินของลูกค้าไปลงทุนต่อจนขาดทุนมากถึง 150 ล้านดอลลาร์ (5,600 ล้านบาท) และไม่สามารถหาเงินมาคืนลูกค้าได้ ซ้ำร้ายเจ้าของแพลตฟอร์มรายนั้นดันเสียชีวิตลงกระทันหัน ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถตามตัวใครมาผิดชอบได้อีก
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มที่ใช้เป็นแพลตฟอร์มที่ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น หน่วยงานที่กำกับดูแลจะเข้ามาช่วยคุ้มครองสิทธิ์ของเราได้
นอกจากนี้ ผู้ที่เริ่มเล่นคริปโตควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึงการเก็บรหัสผ่านเป็นความลับและเปิดการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน หรือถ้าต้องการเก็บเหรียญคริปโตไว้ด้วยตนเอง ควรศึกษาเรื่องตัวเลือกกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลแบบต่าง ๆ ทั้ง Software Wallet และ Hardware Wallet ซึ่งมีการทำงานและวิธีใช้ที่แตกต่างกัน
4. ระวังความเสี่ยง : คริปโตมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนแบบอื่นอยู่มาก
หลายคนให้ความสนใจกับคริปโตเคอเรนซี่เพราะเห็นว่าได้ผลตอบแทนสูง แต่อาจไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามมา ที่จริงแล้วเรามีตัวเลือกการลงทุนมากมาย ตั้งแต่เงินฝากในธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล กองทุน อสังหาริมทรัพย์ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ไปจนถึงหุ้น ซึ่งจากตัวเลือกการลงทุนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การลงทุนด้วยการเทรดคริปโตมีความเสี่ยงสูงที่สุด
ลองเปรียบเทียบกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือหุ้น ตลาดหุ้นยังมีการกำหนดเพดานซื้อขายของหุ้นในแต่ะวันไว้ที่ไม่เกิน 30% หมายความว่า ราคาหุ้นตัวหนึ่งจะเพิ่มขึ้นในวันนั้นได้ไม่เกิน 30% และจะลดต่ำลงได้ไม่เกิน 30% เช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นด้วยเงิน 10,000 บาท โอกาสที่จะขาดทุนสูงสุดในวันนั้นก็จะไม่เกิน 3,000 บาท เพราะเพดานราคาเข้ามาช่วยปกป้องความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง
แต่ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ไม่ได้มีการกำหนดเพดานราคาในลักษณะนี้ ทำให้ราคาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ไม่จำกัด ราคาบิทคอยน์ก็เคยขึ้นลงเกิน 30% ต่อวันมาแล้วหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา และอีกเเหตุการณ์หนึ่งที่โด่งดังในวงการคริปโตคือเหรียญลูน่า (Luna) ราคาลดลง 96% ในเวลาแค่วันเดียว
ลองนึกดูว่าถ้าคุณลงทุนซื้อเหรียญลูน่าด้วยเงิน 10,000 บาทในวันนั้น แล้วมูลค่าของเหรียญเหลือเพียงแค่ 400 บาทในวันถัดมา คุณจะรับความเสี่ยงนี้ไหวหรือไม่ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนที่จะเริ่มเล่นคริปโต และถ้าหากคิดว่าไม่สามารถรับความเสี่ยงของการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ได้ ก็อาจลองหาทางเลือกในการลงทุนอื่น ๆ ที่เหมาะกับตนเองมากกว่า
5. ระวังขาดทุน : จัดพอร์ตการลงทุนและหากลยุทธ์ที่เหมาะกับตนเอง
เมื่อเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนในคริปโตแล้ว สิ่งที่ต้องระวังเป็นอันดับถัดไปสำหรับผู้ที่เพื่งเริ่มเล่นคริปโตก็คือระวังขาดทุน ซึ่งเราสามารถลดโอกาสในการขาดทุนได้ด้วยการกระจายความเสี่ยง จัดพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม ไปจนถึงการหากลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะกับตนเอง
เริ่มจากการจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลาย ๆ อย่าง อย่านำเงินทั้งหมดมาลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่เพียงอย่างเดียว แต่ให้แบ่งเงินไปลงทุนในทางเลือกอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าด้วย และเงินที่นำมาลงทุนในคริปโตทั้งหมดควรเป็นเงินเย็น หรือเงินทุนที่นำมาลงทุนได้โดยไม่เดือดร้อน
หลังจากนั้นควรกระจายความเสี่ยงในเหรียญคริปโตหลายเหรียญด้วย อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับเหรียญเดียว ถ้าดูจากตัวอย่างเหรียญลูน่าด้านบน จะเห็นว่าถ้าแบ่งเงิน 10,000 บาทไปลงทุนในเหรียญอื่น ๆ อย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมด้วยแล้ว ความเสียหายที่เกิดจากเหรียญลูน่าก็จะไม่รุนแรงเท่า
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการขาดทุนจากคริปโตเคอเรนซี่ได้คือการหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับตนเอง โดยเริ่มจากการตอบตัวเองว่าจุดประสงค์ในการลงทุนคืออะไร ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้ในระดับไหน แล้วจึงเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด
กลยุทธ์การลงทุนที่พบเห็นได้บ่อย ๆ คือการเทรดและการถือยาว โดยการเทรดจะเน้นไปที่การอ่านกราฟราคาและหาจังหวะซื้อขายในแต่ละวันเพื่อทำกำไร ซึ่งต้องมีทักษะในการวิเคราะห์กราฟและเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนการถือยาวจะเป็นการซื้อเหรียญคริปโตทิ้งไว้ในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ด้านโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญว่ามีโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาวหรือไม่
6. ระวังเหรียญกาว : เหรียญขายฝันที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
“กาว” เป็นคำศัพย์ในวงการคริปโต หมายถึงความเพ้อฝันหรือความคาดหวังว่าเหรียญคริปโตจะสร้างผลตอบแทนได้สูงโดยไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามหลักการวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลงทุน เหมือนการดมกาวที่เป็นสารเสพติดจนหลอนนั่นเอง
ส่วนเหรียญกาวหมายถึงเหรียญคริปโตขายฝันที่มีคนคาดหวังจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงแม้ว่าตัวเหรียญเองจะไม่ได้โครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการอะไรที่สามารถสร้างประโยชน์ได้ ซึ่งการลงทุนในเหรียญกาวนั้นถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก
การลงทุนในคริปโตเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นจากการนำเหรียญนั้น ๆ มาใช้ ดังนั้น เราจึงควรทราบว่าเหรียญที่สนใจถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์หรือโครงการอะไร มีแผนการดำเนินงานที่เป็นไปได้จริงหรือไม่ รวมถึงหาข้อมูลว่าผู้สร้างเหรียญมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
ผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นคริปโตอาจพยายามค้นหาว่าเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ตัวไหนน่าเล่น เพื่อค้นหาเหรียญคริปโตน่าลงทุน แต่การค้นหาในลักษณะนี้อาจทำให้เจอกับเหรียญกาวต่าง ๆ ที่โฆษณาตนเองว่าจะสร้างผลตอบสูงหรือมีโครงการยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นการสร้างกระแสให้มีคนเข้ามาซื้อเหรียญเยอะ ๆ เพื่อให้มีราคาสูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น แทนที่จะตัดสินใจลงทุนตามกระแสของเหรียญเพียงอย่างเดียว ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของเหรียญอย่างละเอียด ไปจนแนวทางการพัฒนาหรือโครงการในอนาคตของเหรียญนั้น ๆ เพื่อทำการวิเคราะห์ตนเองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตจริงหรือไม่ นอกจากนี้ ยังควรติดตามข่าวสารของตลาดคริปโต รวมถึงบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข่าวต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
จะเห็นได้ว่าการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนที่มีการเติบโตสูงและเป็นกระแสที่ทำให้หลายคนต่างพากันมาลงทุน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงมากมายและอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน หากใครที่สนใจตัวเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มีผลตอบแทนที่แน่นอน Rabbit Care มีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จากหลายบริษัทให้คุณเลือกเปรียบเทียบได้อย่างง่ายดาย พร้อมบริการให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายสุดพิเศษให้คุณได้อุ่นใจอยู่เสมอ
บทความการเงินการลงทุนอื่น ๆ
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี