ไขข้อข้องใจ รถยนต์มีกี่ประเภทกันแน่?



หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาบ้างเรื่องการแบ่งประเภทรถยนต์ และอาจจะสงสัยว่าจริง ๆ แล้วมีรถยนต์กี่ประเภทกันแน่? วันนี้ Rabbit Care อาสาพาเพื่อน ๆ ไปไขข้อข้องใจพร้อม ๆ กัน

ไขข้อข้องใจ รถยนต์มีกี่ประเภทกันแน่?
รถอเนกประสงค์ MPV หรือ Multi-Purpose Vehicle
จะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า SUV และ PPV ลักษณะจะกึ่งรถตู้ เน้นจุคนได้มาก มีดีไซน์ที่หรูหรา ราคาในบางรุ่นอาจจะค่อนข้างแรง เช่น รถ Toyota Alphard หรือ Hyundai H1 ที่นั่งเยอะ เหมาะสำหรับการเดินทางเป็นหมู่คณะ หรือต้องเดินทางไกลพร้อมกันทั้งครอบครัว
Mini MPV
รถอเนกประสงค์ หรือรถครอบครัวที่มีขนาดเล็กลงมาจาก MPV ยังคงรูปแบบที่นั่งมากถึง 7 ที่นั่ง แต่เครื่องยนต์กำลังต่ำกว่า และราคาถูกกว่า MPV อีกด้วย เป็นที่นิยมในตลาดรถอย่างมาก เพราะจับต้องได้ง่าย เช่น Toyota Sienta หรือ Suzuki Ertiga

SUV หรือ Sport Utility Vehicle
จะมีรูปทรงสปอร์ต เน้นความปราดเปรียว ใช้งานได้ดีบนท้องถนน ขับได้ง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แถมสามารถขับลุยได้แม้เจอถนนที่ขรุขระ อาจจะไม่ได้แข็งแรงเท่ารถกระบะ แต่รับรองว่าดีกว่ารถเก๋งแน่นอน เช่น Honda CRV หรือ Nissan X-Trail
PPV หรือ Pick-Up Passenger Vehicle
มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ ก่อนถูกพัฒนามาเป็นรถอเนกประสงค์ รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 7 ที่นั่ง มีการพัฒนาให้ช่วงล่างนุ่มนวลกว่ารถกระบะ สามารถลุยไปในเส้นทางที่สมบุกสมบัน แต่ก็ยังนั่งสบาย เช่น รถ Isuzu Mu-X หรือ Mitsubishi Pajero

CUV หรือ Crossover Utility Vehicle
รถยนต์อเนกประสงค์แบบยกสูง นิยมตกแต่งด้วยวัสดุสีดำที่กันรอยขีดข่วนที่ชายกันชน ซุ้มล้อ และด้านข้างรถ โดยพัฒนามาเพื่อการวิ่งบนถนนเป็นหลัก ทำให้ช่วงล่างจะนุ่มนวลกว่า SUV แต่ที่นั่งภายในรถจะไม่เกิน 7 ที่นั่ง เช่น Toyota C-HR, Honda HR-V, Honda BR-V, Nissan Juke, Ford Ecosport และ Mazda CX-3 เป็นต้น
Eco Car
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับรถประเภทนี้อย่างดี โดยเฉพาะช่วงปีหลัง ๆ ที่หลายค่ายให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม Eco Car จะหมายถึง รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นคำที่เรียกเฉพาะในไทย และหลายคนเข้าใจผิดว่าคือรถยนต์ขนาดเล็ก แต่แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับระบบภายใน การใช้พลังงาน รวมไปถึงการปล่อยมลพิษในปริมาณที่กำหนดจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นรถประเภทอีโคคาร์

จะเห็นได้ว่า รถแต่ละประเภท แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ก็มีข้อดีต่างกันไป หากจะเลือกซื้อไปใช้งาน ก็เลือกให้เหมาะกับการใช้ แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยบนท้องถนน และการทำประกันรถยนต์ก็เป็นอีกหนทางที่ช่วยคุ้มครองคุณได้ ไม่ว่าอุบัติเหตุเหล่านั้นจะมาจากตัวเอง หรือผู้อื่นก็ตาม
ซึ่งการเลือกประกันรถยนต์ก็ต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย อาทิ ประเภทรถ ไลฟ์สไตล์การขับขี่ของผู้ใช้งาน อายุการใช้งานของรถ รวมทั้งงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ เพราะการเลือกประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์จะทำให้คุณได้รับความคุ้มครองอย่างคุ้มค่า ที่สำคัญยังเป็นตัวช่วยให้รู้สึกอุ่นใจตลอดเส้นทางอีกด้วย
เลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ
การเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละประเภทมีระดับความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้รถของคุณ
- ประกันรถยนต์ชั้น 1 : เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถเป็นประจำ โดยเฉพาะรถใหม่หรือรถที่มีมูลค่าสูง คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ ความเสียหายจากการชน สูญหาย ไฟไหม้ และน้ำท่วม
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+: ทําประกันรถยนต์ 2+ เหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองใกล้เคียงกับชั้น 1 แต่จ่ายเบี้ยถูกกว่า คุ้มครองอุบัติเหตุ ไฟไหม้ รถหาย แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถจากอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี
- ประกันรถยนต์ชั้น 3+: เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานน้อย หรือผู้ที่มีงบจำกัด คุ้มครองเฉพาะกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเท่านั้น
- ประกันรถยนต์ชั้น 3 : เหมาะกับรถเก่าหรือผู้ที่ต้องการคุ้มครองเฉพาะค่าเสียหายของคู่กรณีเท่านั้น ไม่มีการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถของผู้เอาประกัน
หากใครอยากรู้ว่า ต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี Rabbit Care โบรกเกอร์ประกันภัยที่ช่วยให้คุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์แบบง่าย ๆ เลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ แถมยังมีส่วนลดปัง ๆ ให้อีกด้วยนะ

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct
บทความตะลอนรีวิวรถ

เปิดสถิติ! ยอดรถไฟฟ้า (EV) จดทะเบียนใหม่จากแต่ละแบรนด์ ปี 2566

รถยนต์ Crossover คืออะไร? ต่างกับรถ SUV PPV MPV อย่างไรบ้าง พร้อมบอกข้อดี-ข้อเสีย

รวม 5 แบรนด์รถรุ่นใหม่เปิดตัวในงาน Motor Show 2023