โอเวอร์ฮอลเกียร์ คือ อะไร ทำไมรถยนต์ที่มีการใช้งานมานานถึงต้องทำกันหลายคัน
ในกรณีของผู้ใช้งานรถยนต์รุ่นใหม่อาจยังไม่เคยได้ยินคำว่า โอเวอร์ฮอลเกียร์มาก่อน เนื่องจากคำนี้จะเริ่มได้ยินก็ต่อเมื่อรถยนต์ที่ใช้งานมีอาการผิดปกติ ทำให้ต้องหาวิธีทางแก้ไข ซึ่งการโอเวอร์ฮอลเกียร์ถือเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ไขทางหนึ่ง และเพื่อให้ผู้ที่กำลังพบเจอปัญหาเกี่ยวกับเกียร์ออโต้ มาทำความเข้าใจกันอย่างละเอียดว่า โอเวอร์ฮอลเกียร์ คืออะไร ข้อดีของมันมีอะไรบ้าง โอเวอร์ฮอลเกียร์กี่บาท พร้อมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอาการเกียร์พังที่พบได้บ่อย และแนะนำการเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกียร์พัง กับวิธีดูแลเกียร์อย่างเหมาะสม ต่อให้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องซ่อมเกียร์ ก็สามารถอ่านบทความนี้เพื่อดูแลเกียร์ออโต้ของรถยนต์คุณให้ดีได้เช่นกัน
โอเวอร์ฮอลเกียร์ คืออะไร
โอเวอร์ฮอลเกียร์ คืออะไร การทำโอเวอร์ฮอลเกียร์หมายถึง การผ่าเกียร์ เพื่อตรวจสอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในทั้งหมดว่ามีปัญหา มีการสึกหรอ หรือมีการเสียในจุดไหน เช่น แผ่นคลัทช์ แผ่นเหล็ก ไส้กรองเกียร์ ทำความสะอาดสมองเกียร์ น้ำมันเกียร์ หรืออะไหล่ภายในเกียร์อื่น ๆ พอทราบจุดที่ต้องการซ่อมแซมแล้ว จะนำอะไหล่เข้าเปลี่ยนในจุดนั้น พร้อมกับทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วจึงประกอบเกียร์กลับไปเหมือนเดิม และสามารถนำไปใช้งานได้ตามปกติ เหมือนกับว่าเราได้เกียร์ลูกใหม่ ดังนั้นเมื่อทำการโอเวอร์ฮอลเกียร์เรียบร้อย จะสามารถใช้งานต่อไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว
ข้อดีของการโอเวอร์ฮอลเกียร์
ข้อดีของการโอเวอร์ฮอลเกียร์ คือ เกียร์จะถูกผ่านรื้อขึ้นมาเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด เพื่อทำการหาจุดที่เกิดความเสียหาย และทำการเปลี่ยนอะไหล่ ซ่อมแซมตามข้อมูลที่ได้กล่าวไปด้านบน ซึ่งถือว่าเป็นการซ่อมแซมได้ตรงจุด ช่วยทำให้เกียร์สามารถใช้งานไปได้อีกยาวนาน แบบที่ไม่ต้องเจออาการเกียร์ที่เสียหายอย่างต่อเนื่อง
โอเวอร์ฮอลเกียร์กี่บาท
โอเวอร์ฮอลเกียร์กี่บาท ที่จริงแล้วเรื่องราคาค่าบริการของการทำโอเวอร์ฮอลเกียร์ ขึ้นอยู่กับศูนย์หรืออู่ที่พร้อมให้บริการอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งส่วนมากจะมีราคาอยู่ที่หลักหมื่นบาท ตั้งแต่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้จะดูว่าเป็นราคาแพง แต่ถ้าคุณลองเอาไปเทียบกับการเปลี่ยนเกียร์ออโต้แบบยกลูก บอกเลยว่าการเปลี่ยนเกียร์แบบยกลูกนั้นแพงกว่ามากหลายเท่าตัว เพราะการเปลี่ยนเกียร์ยกลูกจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 80,000 – 100,000 บาทเป็นต้นไป ในขณะที่การโอเวอร์ฮอลเกียร์มีราคาที่ประมาณ 20,000 – 50,000 บาทเท่านั้นเอง
5 อาการเกียร์ออโต้เสียที่พบได้บ่อย
5 อาการเกียร์ออโต้เสียที่พบได้บ่อยจนต้องทำโอเวอร์ฮอลเกียร์ ได้แก่ การเข้าเกียร์แล้วรถไม่ขยับ, เกียร์กระตุก, เกียร์วืด, เกียร์ไม่เข้า และเกียร์เดินไม่ครบ เพื่อเป็นความรู้เอาไว้จับสังเกตได้ในกรณีที่คิดว่าเริ่มพบเจออาการเกียร์เสีย แล้วพิจารณาอีกครั้งว่าควรได้รับการซ่อมแซมด้วยวิธีโอเวอร์ฮอลเกียร์หรือไม่ โดยรายละเอียดอาการเกียร์ออโต้เสียทั้งหมด จะสามารถติดตามอ่านเพิ่มเติม ได้จากหัวข้อย่อยต่อไปนี้
เข้าเกียร์แล้วรถไม่ขยับ
เข้าเกียร์แล้วรถไม่ขยับ เป็นอาการที่ส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าหลังจากที่รถยนต์จอดดับสนิทมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเกิดปัญหาการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ กับชุดเกียร์ออโต้ ดังนั้นควรต้องสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วรอให้ร้อนประมาณ 3-5 นาที จากนั้นค่อยเข้าเกียร์เดินหน้า เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนได้ตามปกติ ตรงจุดนี้อาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นการโอเวอร์ฮอลเกียร์ เพียงแค่ลองให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ แล้วหาทางแก้ไขเบื้องต้นก่อนจะดีที่สุด
เกียร์กระตุก
เกียร์กระตุก อาการที่พบได้บ่อยอย่างมากกับรถยนต์ที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของระยะเวลาของตัวรถยนต์ หรือระยะการเดินทางที่สูงมาก มีโอกาสพบเจออาการเกียร์กระตุกได้เหมือนกัน ซึ่งอาการนี้จะเริ่มตั้งแต่ช่วงทำความเร็ว ที่เป็นการเปลี่ยนเกียร์จาก 1 ไป 2 หรืออาจเป็นในช่วง 2 ไป 3 พอเราเหยียบคันเร่งไปแล้ว จะสัมผัสถึงอาการกระตุกจากตัวรถยนต์ได้อย่างชัดเจน อาการแบบนี้สามารถแก้ไขปัญหาด้วยการโอเวอร์ฮอลเกียร์ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันที
เกียร์วืด
เกียร์วืด จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่ พร้อมทำความเร็วมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาการจะมาตอนที่รอบกำลังพุ่งสูงในขณะเปลี่ยนอัตราทด พละกำลังที่สะสมมากลับหายไปดื้อ ๆ จนเหมือนกับว่าต้องไปเริ่มเร่งใหม่อีกครั้ง แก้ไขปัญหาได้ด้วยการโอเวอร์ฮอลเกียร์ ในส่วนของคลัตช์ โอริง และซีล จะช่วยให้กลับมาทำงานได้เหมือนปกติอีกครั้ง
เกียร์ไม่เข้า
เกียร์ไม่เข้า ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเกียร์ D เพื่อเดินหน้า หรือการเข้าเกียร์ R เพื่อถอยหลัง แต่ตัวรถยนต์กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่สามารถเร่งให้รถขยับได้แม้แต่นิดเดียว หมายความเกียร์ออโต้ของคุณไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปแล้ว เป็นอาการเสียแบบยกลูก ทำให้ต้องเปลี่ยนเกียร์ใหม่หมด ซึ่งมีราคาค่อนข้างแพงกว่าโอเวอร์ฮอลเกียร์หลายเท่าตัว ตามที่เราได้กล่าวเอาไว้ในหัวข้อโอเวอร์ฮอลเกียร์กี่บาทนั่นเอง
เกียร์เดินไม่ครบ
เกียร์เดินไม่ครบ ถือเป็นอาการเสียของเกียร์ออโต้ที่เกิดขึ้นได้น้อยที่สุดจากอาการทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะระบบเกียร์จะทำงานแบบข้ามเกียร์ หรือเดินเกียร์ไม่ครบทั้งหมด เช่น จาก 1 แล้วข้ามไป 3 เลย หรือใช้งานเกียร์เพียงแค่ 1 กับ 2 เท่านั้น แม้ว่าจะมีความเร็วเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นอาจเริ่มได้จากการเช็กน้ำมันเกียร์ แผ่นคลัทช์ ทอร์ค แต่ถ้าหากไม่หาย อาจต้องมีการพิจารณาเพื่อทำการโอเวอร์ฮอลเกียร์เช่นเดียวกันอาการอื่น
เลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกียร์พัง
เลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกียร์พัง ถ้าไม่อยากเสียเงินทำโอเวอร์ฮอลเกียร์หลายหมื่นบาท ซึ่งพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงอย่างมาก ได้แก่ การเหยียบคันเร่งแรงเกินไป, ใส่เกียร์ว่างขณะรถวิ่ง และเข้าเกียร์ P ตอนที่รถยนต์ยังไม่นิ่งสนิท ส่วนผลเสียที่ตามมาจากพฤติกรรมเหล่านี้ มีดังนี้
- เหยียบคันเร่งแรงเกินไป ส่งผลให้เกียร์ทำงานหนักเกินกว่าปกติ ทำให้ลดอายุการใช้งานมากกว่าเดิม
- ใส่เกียร์ว่างขณะรถวิ่ง อาจทำให้น้ำมันหล่อลื่นในเกียร์ลดลง จนขาดแรงดัน จากนั้นก็จะเกิดความร้อนสูงตามมา จนกลายเป็นต้นเหตุทำให้เกียร์พังได้อย่างรวดเร็ว
- เข้าเกียร์ P ตอนที่รถยนต์ยังไม่นิ่งสนิท จะเป็นการบังคับให้ล็อคเกียร์ทันที แม้เกียร์จะยังทำงานอยู่ จึงเป็นต้นเหตุของการทำให้เกียร์พังได้เร็วเช่นเดียวกัน
วิธีดูแลเกียร์อย่างเหมาะสม
วิธีดูแลเกียร์ให้เหมาะสม ป้องกันโอกาสการพบเจอเกียร์เสียหาย จนต้องทำโอเวอร์ฮอลเกียร์ หรือหนักหน่อยก็ต้องเปลี่ยนเกียร์ยกลูก โดยวิธีที่ดูแลได้ดีจะมีอยู่ 4 วิธีที่ทำตามได้ง่าย คือ เช็กสภาพรถยนต์ให้สม่ำเสมอ, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามกำหนด, ไม่เร่งเครื่องแรงตั้งแต่ช่วงแรก และลดการขับแบบกระชาก สำหรับรายละเอียดวิธีการดูแลเพิ่มเติม ดูได้จากรายการด่างล่างนี้เลย
- เช็กสภาพรถยนต์ให้สม่ำเสมอ กรณีที่เจอสิ่งผิดปกติอยู่ภายในระบบเกียร์ หรือเกี่ยวข้องกัน จะสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ก่อนกลายเป็นต้นเหตุทำให้ต้องผ่านเกียร์ หรือโอเวอร์ฮอลเกียร์เพื่อซ่อมแซมอย่างหนักหน่วง
- เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามกำหนด เป็นการช่วยถนอมเกียร์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น อย่างน้อยควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 40,000 – 60,000 กิโลเมตร
- ไม่เร่งเครื่องแรงตั้งแต่ช่วงแรก เพราะหลังจากที่สตาร์ตรถยนต์ เครื่องยนต์และระบบเกียร์อาจจะยังไม่ร้อนพอที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ การกดคันเร่งแรงตั้งแต่เริ่ม เป็นต้นเหตุทำให้เกียร์และเครื่องยนต์มีความเสี่ยงสายไปพร้อมกันได้เลย
- ลดการขับแบบกระชาก เนื่องจากเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกียร์เสียหายได้ง่าย ๆ ในระยะยาว
เพราะนอกจากตัวรถยนต์ของเราจะมีราคาแพงมากแล้ว ระบบภายในเองก็มีราคาแพงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะส่วนของเกียร์ อันเป็นระบบสำคัญในการขับเคลื่อน ถ้าหากไม่ดูแลจนเสียหายถึงขั้นต้องโอเวอร์ฮอลเกียร์ ก็เตรียมเงินค่าซ่อมหลายหมื่นไว้เลย และถ้าแย่ถึงขั้นยกลูกเกียร์ อาจหมดเป็นแสนได้เลยทีเดียว
รถทำโอเวอร์ฮอลเกียร์มา ประกันแต่ละชั้นยังคุ้มครองไหม
การโอเวอร์ฮอลเกียร์ (overhaul gear) เป็นการซ่อมแซมหรือปรับปรุงระบบเกียร์ใหม่ ซึ่งอาจมีผลต่อการคุ้มครองจากประกันรถยนต์ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและเงื่อนไขของประกันภัยแต่ละชั้น โดยหลักการทั่วไปแล้ว ประกันภัยรถยนต์แต่ละชั้นจะคุ้มครองตามลักษณะของความเสียหายและการใช้รถยนต์ตามปกติ แต่ในกรณีที่มีการซ่อมหรือดัดแปลงชิ้นส่วนต่าง ๆ เช่น การโอเวอร์ฮอลเกียร์ อาจมีผลต่อการพิจารณาการเคลมประกันได้ โดยแต่ละชั้นมีการคุ้มครองดังนี้
1. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
- ประกันชั้น 1 คุ้มครองทุกกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการชนหรือความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดจากการใช้งานปกติ รวมถึงการซ่อมแซมระบบต่าง ๆ ของรถ เช่น เครื่องยนต์หรือเกียร์ที่เสียหายจากอุบัติเหตุ
- อย่างไรก็ตาม การโอเวอร์ฮอลเกียร์ ไม่อยู่ในเงื่อนไขการคุ้มครอง หากเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสึกหรอตามปกติของการใช้งาน หรือการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน
- ในกรณีที่ทำการโอเวอร์ฮอลเกียร์แล้วต้องการเคลมประกัน ควรแจ้งบริษัทประกันให้ทราบถึงการซ่อมแซมดังกล่าว หากการซ่อมแซมไม่ได้ส่งผลต่อความปลอดภัยหรือความผิดปกติของการใช้งาน บริษัทประกันมักจะยังคงคุ้มครองการใช้งานรถตามปกติในกรณีอุบัติเหตุ
2. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+
- ประกันชั้น 2+ คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุชนกับยานพาหนะอื่นที่สามารถระบุตัวคู่กรณีได้ การโอเวอร์ฮอลเกียร์ จะไม่ส่งผลต่อการคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หากเป็นการชนที่เกี่ยวข้องกับคู่กรณี
- แต่เช่นเดียวกับชั้น 1 ประกันชั้น 2+ จะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการสึกหรอของเกียร์หรือการซ่อมบำรุงเกียร์ตามปกติ เช่น หากเกียร์เสียจากการใช้งานเอง ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ประกันจะไม่ครอบคลุม
3. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2
- ประกัน ประเภท 2 คุ้มครองอะไรบ้าง ประกันชั้น 2 คุ้มครองความเสียหายเฉพาะของรถคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น รถของผู้เอาประกันจะไม่ครอบคลุมการซ่อมแซมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมเกียร์หรือการโอเวอร์ฮอล
- การโอเวอร์ฮอลเกียร์ไม่อยู่ในขอบเขตการคุ้มครองใด ๆ ในประกันชั้น 2 ยกเว้นกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับคู่กรณี
4. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+
- ประกันชั้น 3+ ราคาประหยัด คุ้มครองเฉพาะกรณีการชนกับยานพาหนะที่มีคู่กรณี การโอเวอร์ฮอลเกียร์ไม่ส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองในกรณีนี้
- อย่างไรก็ตาม ประกันชั้น 3+ จะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการสึกหรอหรือปัญหาเกี่ยวกับการซ่อมแซมเกียร์ที่เกิดจากการใช้งานทั่วไป
5. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3
- ประกันภัยชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น รถของผู้เอาประกันจะไม่ได้รับการคุ้มครองไม่ว่าจะเป็นการซ่อมเกียร์หรือความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ
- การโอเวอร์ฮอลเกียร์ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการคุ้มครองใด ๆ ในประกันชั้น 3
รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำโอเวอร์ฮอลเกียร์ไปแบบครบถ้วนแล้ว รวมถึงอาการเกียร์เสียที่พบได้บ่อย กับวิธีการดูและพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงไปเรียบร้อย ทีนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลของคุณแล้วว่าจะทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน
ส่วนใครที่กังวลว่าจะเกิดปัญหาเกียร์เสียหายเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรเลือกประกันรถยนต์เสริมเอาไว้ เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือดูแลคุ้มครองตลอดเวลา ทั้งการได้รับคำปรึกษา และการมีรถยก รถลากให้บริการ ซึ่งคุณสามารถติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลตัวเลือกประกันรถยนต์ จากบริษัทประกันภัยชั้นนำจาก แรบบิท แคร์ ได้โดยตรง แถมทางเรายังมีโปรโมชันพิเศษ มอบส่วนลดสูงสุดให้ถึง 70% โทรมาได้เลยที่เบอร์ 1438 (24 ชั่วโมง)
สรุป
โอเวอร์ฮอลเกียร์ คือ การผ่าเกียร์เพื่อตรวจสอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในทั้งหมดว่ามีปัญหา มีการสึกหรอ หรือมีการเสียในจุดไหน เช่น แผ่นคลัทช์, แผ่นเหล็ก หรือไส้กรองเกียร์ โดยเกียร์ที่ถูกผ่าจะสามารถนำมาตรวจสอบโดยละเอียด เพื่อทำการหาจุดที่เกิดความเสียหาย และทำการเปลี่ยนอะไหล่ซ่อมแซมได้ สำหรับ 5 อาการเกียร์ออโต้เสียที่พบได้บ่อยจนต้องทำโอเวอร์ฮอลเกียร์ ได้แก่
- การเข้าเกียร์แล้วรถไม่ขยับ
- เกียร์กระตุก
- เกียร์วืด
- เกียร์ไม่เข้า
- เกียร์เดินไม่ครบ
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology