คู่มือเลือกกระเป๋าเดินทาง เลือกกระเป๋าเดินทางยี่ห้อไหนดีต้องดูจากอะไรบ้าง
การเลือกกระเป๋าเดินทางให้ถูกใจสักใบถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเราเลือกกระเป๋าได้เหมาะสม ก็จะช่วยให้การเดินทางของเราสนุก สะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้น สำหรับที่กำลังจะไปเที่ยวและกำลังดูว่าจะซื้อกระเป๋าเดินทางยี่ห้อไหนดี แรทบิท แคร์ มีคำแนะนำดีดีเกี่ยวกับการเลือกกระเป๋ามาฝากกัน
กระเป๋าเดินทางมีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับใคร
ทุกครั้งที่เรานึกถึงกระเป๋าเดินทาง เรามักจะนึกถึงกระเป๋าแบบล้อลากที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ที่จริงแล้วกระเป๋าเดินทางนั้นมีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะเหมาะกับทริปที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ก่อนที่จะไปดูว่าควรเลือกกระเป๋าเดินทางยี่ห้อไหนดี เรามาดูกันก่อนว่าควรเลือกกระเป๋าแบบไหนให้เหมาะกับเรามากที่สุด
กระเป๋าเดินทางล้อลาก
กระเป๋าเดินทางแบบแรกคือกระเป๋าแบบล้อลากที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งมีจุดเด่นคือเราสามารถลากกระเป๋าในสนามบินหรือตามทางเดินเรียบ ๆ ได้ และไม่ต้องแบกกระเป๋าเองตลอดการเดินทาง กระเป๋าประเภทนี้จะเหมาะกับทริปทั่วไปที่ไม่ได้สมบุกสมบันมากนัก เช่น การเที่ยวในตัวเมืองหรือการเดินทางเพื่อธุรกิจ และไม่เหมาะกับการเดินป่า ตั้งแคมป์ ซึ่งต้องไปในที่ ๆ ไม่มีทางให้ลากกระเป๋า
กระเป๋าเดินทางล้อลากสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ กระเป๋าแบบแข็งและแบบผ้า
กระเป๋าเดินทางแบบแข็ง
กระเป๋าเดินทางแบบเข็งจะทำจากวัสดุแข็งอย่างโพลีโพรพิลีน โพลีคาร์บอเนต หรือพลาสติก ABS ซึ่งจะมีความแข็งแรงคงทนมากกว่า ช่วยลดโอกาสที่สิ่งของภายในกระเป๋าจะได้รับความเสียหายจากฝนหรือการกระแทก จึงเหมาะกับการเก็บของที่แตกหักได้ง่ายและการโหลดใต้ท้องเครื่อง นอกจากนี้ กระเป๋าแบบแข็งยังสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กระเป๋าเดินทางแบบแข็งจะไม่มีช่องใส่ของด้านนอก และเนื่องจากใช้วัสดุที่มีความแข็ง ทำให้ขยายขนาดไม่ได้ และใส่ในช่องเก็บของบนเครื่องหรือใส่ท้ายรถได้ยากกว่าถ้าขนาดไม่พอดี
กระเป๋าเดินทางแบบผ้า
กระเป๋าเดินทางแบบผ้าจะทำจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า เช่น โพลีเอสเตอร์หรือไนลอน ซึ่งทำให้ขยายขนาดได้ สามารถจุของเพิ่มได้ง่ายกว่า และยังสามารถใส่ในช่องเก็บของบนเครื่องหรือท้ายรถได้ง่ายกว่าด้วย นอกจากนี้ กระเป๋าแบบผ้ามักจะมีช่องใส่ของด้านนอก ซึ่งเหมาะกับการเก็บของชิ้นเล็ก ๆ ที่ต้องนำออกมาใช้บ่อย ๆ เช่น ที่ชาร์จโทรศัพท์ โน๊ตบุ๊ค หรือหนังสืออ่านเล่น
แต่ข้อเสียของกระเป๋าเดินทางแบบผ้าคือจะมีความแข็งแรงน้อยกว่า กันน้ำได้น้อยกว่า และเป็นรอยเปื้อนได้ง่าย จึงอาจไม่เหมาะกับการโหลดใต้ท้องเครื่อง
กระเป๋าเป้เดินทาง
กระเป๋าเป้เดินทางคือกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ที่มีฟังก์ชั่นเหมาะสำหรับการท่องเที่ยว เช่น สายคาดเอวหรือซิปแบบมีล็อก และมีความจุตั้งแต่ 20 ลิตรไปจนถึง 100 ลิตร กระเป๋าประเภทนี้เหมาะสำหรับทริปสไตล์แอดเวนเจอร์ เช่น เดินป่า ปีนเขา ตั้งแคมป์ หรือทริปที่ต้องเดินขึ้นลงบันไดเยอะ ๆ เพราะเราจะสามารถสะพายกระเป๋าเดินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการลากกระเป๋าหรือยกกระเป๋าขึ้นบันได
อย่างไรก็ตาม กระเป๋าประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบพกของเพราะอาจทำให้กระเป๋ามีน้ำหนักมากจนแบกไม่ไหว แต่ในปัจจุบันมีกระเป๋าเป้เดินทางแบบมีล้อลากที่ช่วยเปลี่ยนกระเป๋าสะพายให้เป็นกระเป๋าลากสบาย ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่มักมีราคาสูงกว่าและมีน้ำหนักมากกว่าด้วย
กระเป๋าทรงกระบอก (กระเป๋า Duffle Bag)
กระเป๋าทรงกระบอกหรือกระเป๋า Duffle Bag คือกระเป๋าสะพายไหล่ทรงกระบอกที่มีช่องใส่ของขนาดใหญ่และมีซิปเปิดตรงกลาง โดยมีขนาดตั้งแต่ 20 ลิตรสำหรับทริปวันหยุดเสาร์อาทิตย์สบาย ๆ ไปจนถึง 100 ลิตรสำหรับทริปตั้งแคมป์ที่ต้องพกอุปกรณ์จำนวนมาก เนื่องจากกระเป๋าประเภทนี้มีช่องเก็บของขนาดใหญ่เพียงช่องเดียว จึงสามารถใส่อุปกรณ์ขนาดใหญ่รูปทรงแปลก ๆ เช่น ขาตั้งกล้อง ถุงนอน เก้าอี้สนาม ได้ง่ายกว่ากระเป๋าแบบอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม กระเป๋าทรงกระบอกที่มีขนาดใหญ่อาจทำให้ถือหรือสะพายได้ไม่สะดวก ทำให้ในปัจจุบันมีกระเป๋าทรงกระบอกแบบมีล้อสำหรับความจุกระเป๋าตั้งแต่ 30 ลิตรขึ้นไป เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกขึ้น แต่ข้อควรระวังคือกระเป๋าแบบมีล้ออาจไม่เหมาะกับทางขรุขระหรือบันได
เลือกกระเป๋าเดินทางยี่ห้อไหนดีต้องดูจากอะไรบ้าง
การจะตัดสินใจว่าควรเลือกกระเป๋าเดินทางยี่ห้อไหนดีต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยด้วยกัน น้องแคร์ขอแนะนำให้ลองดูคำแนะนำด้านล่างก่อนติดสินใจเพื่อให้ได้ไอเดียชัดเจนว่าเราต้องการกระเป๋าเดินทางแบบไหน แล้วจึงเลือกกระเป๋ายี่ห้อที่มีฟังก์ชั่นที่เราต้องการทั้งหมดในราคาที่เหมาะสม เพียงเท่าเราก็จะได้กระเป๋าที่ตอบโจทย์การใช้งานของเราอย่างแน่นอน มาดูกันดีกว่าต้องดูจากอะไรบ้าง
ขนาด
ขนาดกระเป๋าเดินทางเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการตัดสินใจ ถ้าเลือกซื้อกระเป๋าที่มีขนาดเล็กเกินไปก็จะทำให้เก็บสัมภาระได้ไม่พอตามที่ต้องการ แต่ถ้าใหญ่เกินไปก็อาจทำให้เทอะทะ เดินทางไม่สะดวก ซึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกขนาดกระเป๋ามีดังนี้
- จำนวนวันของทริปที่เดินทางบ่อย ๆ
ลองสำรวจตัวเองดูว่าปกติแล้วชอบเที่ยวแบบไหน ชอบไปต่างจังหวัดใกล้ ๆ ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือไปต่างประเทศครั้งละหลายสัปดาห์ เพราะกระเป๋าเดินทางที่เหมาะกับทริปแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป โดยอาจใช้เกณฑ์ด้านล่างช่วยตัดสินใจได้
- สำหรับทริป 2-3 วัน ควรเลือกกระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว หรือกระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว
- สำหรับทริป 4-6 วัน ควรเลือกกระเป๋าเดินทาง 24 นิ้วหรือกระเป๋าเดินทาง 26 นิ้ว
- สำหรับทริป 7-14 วัน ควรเลือกกระเป๋ากระเป๋าเดินทาง 28 นิ้วหรือกระเป๋าเดินทาง 32 นิ้ว
นอกจากนี้ ยังมีไซส์กระเป๋าเดินทางแบบเล็กพิเศษ (14 นิ้ว 16 นิ้ว 18 นิ้ว) ซึ่งกระเป๋าขนาดเล็กพิเศษจะไม่เหมาะกับการเป็นกระเป๋าหลัก แต่จะเหมาะกับการเป็นกระเป๋าสำหรับเด็กหรือกระเป๋าเสริมไว้เก็บสัมภาระที่บอบบางเป็นพิเศษ เช่น เครื่องสำอางจำนวนมากหรืออุปกรณ์กล้องมากกว่า
- นิสัยในการขนสัมภาระของตนเอง
ปัจจัยถัดไปที่ควรพิจารณาคือนิสัยในการขนสัมภาระของตนเอง ถ้าเป็นคนง่าย ๆ มีข้าวของและเสื้อผ้าไม่มาก ก็อาจจะไม่ต้องใช้กระเป๋าที่ใหญ่มาก ส่วนใครที่มีสัมภาระเยอะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า อุปกรณ์ทำผม ก็อาจจะต้องเลือกกระเป๋าที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นอกจากนี้ ควรถามตัวเองว่าปกติแล้วเป็นคนชอบช็อปปิ้งหรือชอบซื้อของฝากหรือไม่ เพราะอาจจะต้องเลือกไซส์กระเป๋าเดินทางเผื่อขนของกลับเพิ่มเติม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่อง
ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับคนที่ไม่อยากโหลดกระเป๋า โดยเราสามารถใช้แค่กระเป๋า Carry On เพียงอย่างเดียวได้จะได้ไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มหรือต้องเสียเวลารอสัมภาระที่สายพาน อย่างไรก็ตาม ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระเป๋าของเราสามาถือขึ้นเครื่องได้หรือไม่ โดยแต่ละสายการบินจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องนกแอร์ : ขนาด 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องแอร์เอเชีย : ขนาด 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักรวมกับกระเป๋าถือไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องเวียตเจ็ท : ขนาด 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักรวมกับกระเป๋าถือไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไลอ้อนแอร์ : ขนาด 40 ซม. x 30 ซม. x 20 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 16 นิ้ว) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไทยสมายล์ : ขนาด 56 ซม. x 45 ซม. x 25 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องการบินไทย : ขนาด 56 ซม. x 45 ซม. x 25 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม
- ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องบางกอกแอร์เวย์ : ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องบิน โดยเครื่องบินใบพัด ATR72 จะกำหนดขนาดที่ 50 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. (กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว) ส่วนเครื่องบินเจ็ททั่วไปอย่าง Airbus 319 และ Airbus 320 จะกำหนดขนาดไว้ที่ 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. (กระเดินเป๋าทาง 22 นิ้ว) น้ำหนักของกระเป๋าทั้งสองแบบต้องไม่เกิน 5 กิโลกรัม
จึงสรุปคร่าว ๆ ได้ว่าสายการบินส่วนใหญ่จะกำหนดขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไว้ที่ 22 นิ้ว และกำหนดน้ำหนักสูงสุดไว้ที่ 7 กิโลกรัม ดังนั้น กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว จะขึ้นเครื่องได้ทุกสายการบินยกเว้นไทยไลอ้อนแอร์ ส่วนกระเป๋าเดินทาง 24 นิ้วจะขึ้นเครื่องไม่ได้ตามข้อกำหนดของสายการบิน
น้ำหนัก
สำหรับกระเป๋า Carry On เนื่องจากสายการบินมีการกำหนดน้ำหนักสัมภาระที่สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 7 กิโลกรัม ดังนั้น ยิ่งกระเป๋า Carry On มีน้ำหนักมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เราใส่สัมภาระได้น้อยลงเท่านั้น จึงควรเลือกกระเป๋าให้มีน้ำหนักเบามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เช่น ควรเลือกกระเป๋าเดินทางแบบผ้าแทนแบบแข็งเพราะมักจะมีน้ำหนักน้อยกว่า หรือเลือกกระเป๋าไม่มีล้ออย่างกระเป๋าเป้เดินทางหรือกระเป๋า Duffle Bag ก็จะมีน้ำหนักเบากว่าเช่นกัน
สำหรับกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องก็มีการกำหนดน้ำหนักเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 15 หรือ 20 กิโลกรัม จึงควรเลือกกระเป๋าที่มีน้ำหนักเบาหากเป็นไปได้ แต่ควรดูเรื่องความแข็งแรงของกระเป๋าร่วมด้วย เพราะกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องอาจถูกโยนหรือกระแทกจนทำให้สัมภาระภายในเสียหายได้
สี
นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว สีของประเป๋าเดินทางยังมีประโยชน์อื่น ๆ เช่น กระเป๋าสีดำจะช่วยให้มองไม่เห็นรอยขีดข่วนบนตัวกระเป๋า ส่วนกระเป๋าสีสด ๆ หรือกระเป๋าที่มีลวดลายไม่เหมือนใครก็จะช่วยให้สามารถหากระเป๋าบนสายพานได้ง่ายและป้องกันไม่ให้มีใครหยิบกระเป๋าผิด ใครที่วางแผนว่าจะโหลดกระเป๋าบ่อย ๆ ควรเลือกกระเป๋าสีสดไว้ก่อนจะดีกว่า หรือถ้าใครอยากใช้กระเป๋าสีเรียบ ๆ อาจต้องผูกผ้าหรือติดป้ายห้อยกระเป๋าเดินทางให้เด่นชัด
สำหรับใครที่เดินทางไปต่างประเทศ การซื้อประกันการเดินทางก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะให้ความคุ้มครองให้เราอุ่นใจในกรณีที่กระเป๋าเดินทางสูญหายหรือมาถึงล่าช้า
ความปลอดภัย
ความปลอดภัยก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกกระเป๋าเดินทาง โดยจะแนะนำให้เลือกกระเป๋าที่มีล็อกในกรณีที่โหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องบ่อย ๆ เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้ของมีค่าข้างในกระเป๋าถูกขโมยได้ อย่างไรก็ตาม หากเดินทางไปต่างประเทศแล้วเจ้าหน้าที่ของสนามบินต้องการเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจสอบสัมภาระภายใน เจ้าหน้าที่อาจงัดล็อกเพื่อเปิดกระเป๋าซึ่งอาจทำให้กระเป๋าเสียหายได้
ทางแก้อย่างหนึ่งคือการเลือกใช้ TSA Lock ซึ่งเป็นระบบกุญแจล็อกกระเป๋าเดินทางระดับโลกที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน Transportation Security Administration (TSA) ของสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย โดยเจ้าหน้าที่จะสามารถใช้กุญแจพิเศษเปิดกระเป๋าได้โดยไม่ต้องงัดล็อก ป้องกันกระเป๋าเสียหายได้อีกทางหนึ่ง
หูหิ้ว
การเลือกกระเป๋าเดินทางที่มีหูหิ้วด้านบนหรือด้านข้างจะช่วยให้ยกขึ้นบันไดหรือยกขึ้นบนชั้นเก็บของด้านบนเครื่องได้สะดวกขึ้น โดยควรเลือกหูหิ้วที่แข็งแรงและพับแนบไปกับกระเป๋าได้เมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการแตกหักในกรณีที่กระเป๋าหล่น แต่ข้อควรระวังคือกระเป๋าที่มีหูหิ้วจะมีน้ำหนักมากกว่า ควรตรวจสอบน้ำหนักของกระเป๋าทุกครั้งก่อนซื้อ
ล้อลาก
การเลือกล้อลากกระเป๋าให้เหมาะสมก็สำคัญเช่นเดียวกัน โดยกระเป๋าเดินทางมีทั้งแบบ 2 ล้อ และ 4 ล้อ ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป
กระเป๋าเดินทางแบบ 2 ล้อโดยทั่วไปแล้วจะมีราคาถูกกว่า และตัวล้อจะยื่นออกมาจากตัวกระเป๋าน้อยกว่า ทำให้มีโอกาสที่จะแตกหักจากการหล่นหรือการกระแทกน้อยลง แต่ไม่สามารถลากได้ทุกทิศทางและผู้ใช้จำเป็นต้องเอียงกระเป๋าเล็กน้อยจึงจะลากกระเป๋าได้ ทำให้ใช้พื้นที่ในการลากมากกว่า ไม่เหมาะกับการต่อคิวในพื้นที่แคบ ๆ เพราะอาจจะต้องยกกระเป๋าแทน
ส่วนกระเป๋าเดินทางแบบ 4 ล้อจะสะดวกกว่าตรงที่สามารถลากได้ทุกทิศทางและลากในพื้นที่แคบได้ แต่กระเป๋าอาจไหลได้หากวางกระเป๋าไว้บนพื้นเอียง และเนื่องจากตัวล้อของกระเป๋าแบบ 4 ล้อจะยื่นออกมามากกว่า ทำให้ตัวล้อเสียหายได้ง่ายกว่า
ช่องแบ่งในกระเป๋า
ช่องแบ่งในกระเป๋าช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน เช่น ช่องใส่โน๊ตบุ๊ค ช่องใส่ของเล็ก ๆ ช่องใส่เสื้อผ้าเปียกแบบกันน้ำรั่วได้ ช่องใส่สูทที่ช่วยไม่ให้ผ้ายับ หรือถ้าเป็นกระเป๋าแบบผ้าก็จะมีช่องแบ่งด้านนอกไว้สำหรับใส่ของที่ต้องหยิบใช้บ่อย ๆ ด้วย ลองตรวจสอบการใช้งานกระเป๋าเดินทางของตนเองเพื่อดูว่ากระเป๋าที่มีช่องแบ่งแบบไหนจะเหมาะกับเรามากที่สุด
ช่องเสียบชาร์จ USB
กระเป๋าเดินทางบางแบบอาจมาพร้อมกับช่องเสียบชาร์จ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตกับกระเป๋าได้ แต่ควรตรวจสอบข้อกำหนดของสายการบินเรื่องลิเธียมที่สามารถพกขึ้นเครื่องหรือโหลดใต้ท้องเครื่องได้ก่อนใช้กระเป๋าเดินทาง เพราะอาจไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องที่เคาน์เตอร์เช็คอิน
ซิปขยายขนาด
ซิปขยายขนาดคือซิปด้านข้างกระเป๋าที่ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระในกระเป๋าได้ ซึ่งถือเป็นอีกฟัก์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการช็อปปิ้งหรือซื้อของฝากตอนขากลับและกลัวว่าอาจมีพื้นที่ในกระเป๋าไม่พอ
น้องแคร์หวังว่าคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนเลือกกระเป๋าเดินทางที่ถูกใจและใช้งานได้สะดวกมากที่สุด และหลังจากเลือกกระเป๋าได้แล้ว อย่าลืมใช้บัตรเครดิตรูดเพื่อเก็บสะสมคะแนนหรือรับแคชแบ็กเพื่อเพิ่มความคุ้มไปอีกระดับด้วยนะ
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี